‘เรืองไกร’ยื่น‘นายกฯ’สอบ‘วิษณุ’ปมจม.น้อย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160307/223704.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2559
‘เรืองไกร’ยื่น‘นายกฯ’สอบ‘วิษณุ’ปมจม.น้อย

‘เรืองไกร’ ยื่น ‘นายกฯ’ สอบ ‘วิษณุ’ ปมจม.น้อยถึงกรมราชทัณฑ์ ชี้เข้าข่ายผิดจริยธรรม ขณะที่ ‘อนุสรณ์’ อัด กกต. จัดเลือกตั้งไม่สำเร็จควรถูกฟ้องหรือไม่

      7 มี.ค.59 เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ศูนย์บริการประชาชน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ฝั่งสำนักงานก.พ. นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ คณะทำงานฝ่ายกฎหมาย พรรคเพื่อไทย(พท.) ยื่นหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เรื่องขอให้ตรวจสอบนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กรณีทำจดหมายถึงอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ว่า เป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2551 หรือไม่และการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ฝ่าฝืนมาตรา 123 แห่งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 หรือไม่
      นายเรืองไกร กล่าวว่า ได้พบเห็นการกระทำของนายวิษณุ ตามข้อเท็จจริงกรณีนายวิษณุได้เขียนหนังสือด้วยลายมือพร้อมลงลายมือชื่อของตนเองถึงอธิบดีราชทัณฑ์ ซึ่งต่อมานายวิษณุ ได้ทำจดหมายดังกล่าวจริง ต่อมานายวิษณุได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่าไม่คิดฟ้องร้องคนเปิดเผยจดหมายน้อย ชี้เป็นการส่งหนังสือถึงอธิบดีราชทัณฑ์ เพื่อถามความเห็นยันตั้งใจเปิดเผยไม่ได้หลบซ่อน ซึ่งตนมองว่าการทำจดหมายดังกล่าวของนายวิษณุอาจเข้าลักษณะที่ขัดต่อระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2551 เนื่องจากนายวิษณุเป็นรองนายกรัฐมนตรี จึงเป็นข้าราชการการเมืองที่ระเบียบดังกล่าวกำหนดให้ต้องปฏิบัติ และนายกรัฐมนตรีต้องกำกับดูแล
      นายเรืองไกร กล่าวต่อว่า การทำจดหมายดังกล่าวของนายวิษณุ ซึ่งทำที่ห้องประชุมที่ทำเนียบรัฐบาลตามเวลาราชการปกติ อาจเข้าลักษณะเป็นการฝ่าฝืนพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ในมาตรา 123 เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในพฤติการณ์ที่อาจทำให้ผู้อื่นเชื่อว่ามีตำแหน่งหรือหน้าที่ ทั้งที่ตนไม่ได้มีตำแหน่งหรือหน้าที่นั้น เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่ไม่ควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น ต้องระวางโทษจาคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อย่างไรก็ตามการทำจดหมายดังกล่าวของนายวิษณุ ซึ่งต้องรู้แล้วว่า การพักการลงโทษไม่ใช่สิ่งที่มาขอแต่เป็นเรื่องที่ราชการจะพิจารณาเอง อาจเข้าลักษณะเป็นการฝ่าฝืนกฎกระทรวงมหาดไทย ออกตามความในมาตรา 58 แห่งพ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2479 ดังต่อไปนี้ คือ ข้อ 91 และ ข้อ 46
      “การทำจดหมายดังกล่าวของนายวิษณุ ที่อ้างเรื่องปัญหาสุขภาพ และมีความจำเป็นต้องออกมาจัดการงานกล้วยไม้เอเซียแปซิฟิก อาจไม่เข้าลักษณะเกี่ยวกับความประพฤติดี มีความอุตสาหะ ความก้าวหน้าในการศึกษาและทำการงานเกิดผลดี หรือทำความชอบแก่ราชการเป็นพิเศษตามหลักเกณฑ์ในพ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2479 มาตรา 32 (5) และการทำจดหมายดังกล่าว ที่อ้างว่าผู้ต้องโทษ มีความจำเป็นต้องออกมาจัดการงานกล้วยไม้เอเซียแปซิฟิกซึ่งได้จัดมาหลายปีนั้น อาจเป็นข้อมูลที่ไม่สอดคล้องกับที่เว็บไซต์ของรัฐบาลไทยได้ลงเผยแพร่ไว้ ซึ่งระบุว่า งานประชุมกล้วยไม้เอเซียแปซิฟิก ครั้งที่ 12 มีการะทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมวิชาการเกษตร เป็นเจ้าภาพ ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19 – 27 มีนาคม 2559 ณ ศูนย์การประชุมอิมแพ็คฟอรั่ม เมืองทองธานี ซึ่งได้รับอนุมัติโดยมติคณะรัฐมนตรีตั้งแต่วันที่ 3 กันยายน 2556 โดยกระทรวงเกษตรฯ ได้เตรียมแผนประสานงานกับสมาคมกล้วยไม้ต่างๆ เพื่อเชิญชวนผู้ประกอบการไทยเข้าร่วมงาน” นายเรืองไกร กล่าว
      นายเรืองไกร กล่าวว่า การทำจดหมายดังกล่าว ซึ่งกระทำในห้องประชุมที่ทำเนียบรัฐบาลตามเวลาราชการปกติ เพื่อขอให้พิจารณาพักการลงโทษเป็นกรณีพิเศษแก่นายเจตน์ มีญาณเยี่ยม ในฐานะเคยเป็นนายกสมาคมผู้ส่งออกกล้วยไม้ไทย อาจจะไม่ชอบด้วยจริยธรรมและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง จึงมีความจำเป็นต้องกราบเรียนให้นายกรัฐมนตรี พิจารณาดำเนินการต่อไปว่า การทำจดหมายดังกล่าวนั้นขัดต่อระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2551 หรือไม่ และการกระทำดังกล่าวมีลักษณะที่ฝ่าฝืนพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ประกอบพ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2479 หรือไม่ การทำจดหมายดังกล่าวเพื่อขอให้พักการลงโทษเป็นกรณีพิเศษนั้น อาจไม่เป็นไปตามหลักกฎหมายราชทัณฑ์ เพราะหากนักโทษเด็ดขาดจะได้รับการพิจารณาให้ออกไปทำงานสาธารณะนอกเรือนจำ ก็ควรจะต้องดำเนินการตามความในพ.ร.บ.ราชทัณฑ์ 2479 มาตรา 22 ทวิ (เพิ่มเติมโดยพ.ร.บ.ฯ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2523)
      “จดหมายของนายวิษณุ มีการอ้างถึง ท่านผู้หญิงอังกาบ บุณยัษฐิติ อาจารย์ใหญ่ โรงเรียนจิตรลดาไว้ด้วย จึงควรมีการเชิญท่านผู้หญิงอังกาบ บุณยัษฐิติ มาสอบถามข้อเท็จจริงด้วยว่า มีความเกี่ยวข้องกับการทำจดหมายนี้อย่างไร หรือไม่ และสามารถรับรองความประพฤติของผู้ต้องโทษได้จริงหรือไม่ และมีความเกี่ยวข้องกับกรณีนี้ในฐานะใด” นายเรืองไกร กล่าว
      นายเรืองไกร กล่าวว่า ส่วนกรณีที่นายวิษณุ ยอมรับว่าได้ทำจดหมายดังกล่าวถึงอธิบดีกรมราชทัณฑ์จริง จึงอาจเป็นกรณีการปฏิบัติหน้าที่บกพร่องหรือปฏิบัติหน้าที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรงที่นายวิษณุ ควรจะรับผิดชอบตัวเองตามความในระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2551 ข้อ 29 เพราะการพักการลงโทษกับการออกไปทำงานสาธารณะนอกเรือนจำเป็นคนละความหมายกัน แต่การชี้แจงเหตุและผลตามที่ปรากฏออกมา แสดงให้เห็นได้ว่านายวิษณุ ยังยืนยันว่า การทำจดหมายดังกล่าว ถ้าจะผิดคือไปทำโดยเปิดเผยโปร่งใส ทั้งที่นายวิษณุ เป็นผู้มีความรู้ทางกฎหมายและประสบการณ์ทำงานด้านกฎหมายเป็นอย่างดี ดังนั้นการทำจดหมายเพื่อขอพักการลงโทษให้ผู้ต้องโทษดังกล่าว จึงอาจเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2551 ข้อ 28 ที่ระบุข้อความไว้ว่าข้าราชการการเมืองต้องไม่คบหาหรือให้การสนับสนุนแก่ผู้ประพฤติผิดกฎหมายหรือผู้มีความประพฤติหรือมีชื่อในทางเสื่อมเสีย เช่น ผู้เปิดบ่อนการพนันหรือผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดอันอาจกระทบกระเทือนต่อความเชื่อถือศรัทธาของประชาชนในการปฏิบัติหน้าที่ของตน และข้อ 14 ที่ระบุข้อความไว้ว่าข้าราชการการเมืองต้องไม่ใช้หรือยินยอมให้ผู้อื่นใช้สถานะหรือตำแหน่งการเป็นข้าราชการการเมืองไปแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นประโยชน์ในทางทรัพย์สินหรือไม่ก็ตามดังนั้น เมื่อเหตุการณ์ที่กระทำเกิดขึ้นในสถานที่ราชการคือทำเนียบรัฐบาล ตามเวลาราชการปกติ การกระทำดังกล่าว และนายวิษณุ ก็ระบุชัดเจนในจดหมายว่าผู้มีส่วนได้เสีย (นายกสมาคม และบุตรภริยา) ได้มายื่นคำร้องขอให้พิจารณาพักการลงโทษเป็นกรณีพิเศษจึงเป็นข้อเท็จจริงที่แสดงให้เห็นว่า การรับคำร้องดังกล่าวอาจทำไปในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ อันเข้าข่ายลักษณะความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐที่กระทำการฝ่าฝืนพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123 จึงขอให้นายกฯ พิจารณาตรวจสอบความผิดดังกล่าวด้วย
‘อนุสรณ์’ อัด ‘กกต.’ จัดการเลือกตั้งไม่สำเร็จควรถูกฟ้องหรือไม่
      7 มี.ค.59 นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี ที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) มีมติเป็นเอกฉันท์ ให้ดำเนินการฟ้องคดี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ฐานละเมิดการปฏิบัติหน้าที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ เรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 2,400 ล้านบาท ว่า ถือเป็นเรื่องกลับตาลปัตร แปลกประหลาดที่สุดในโลก ประชาชนที่ได้ฟังข่าวนี้รู้สึกสะเทือนใจ เป็นตลกร้ายแห่งยุค ใครก็รู้ว่าคนกลุ่มใดก่อจลาจลขัดขวางการเลือกตั้ง ปิดกั้นการสมัคร เพื่อทำให้ไม่สามารถสมัครได้ครบ นำไปสู่การเลือกตั้งที่ล้มเหลว ถ้าข่าวที่จะฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นจริง แนวคิดนี้จะสร้างความด่างพร้อยในประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศ สร้างความแตกแยก ประชาชนที่ออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งกว่า 20 ล้านคน ต้องตั้งคำถาม ทำไมต้องไล่ล่ากันขนาดนี้ กกต.บางท่านที่เขียนกลอนหอเอนเมืองปิซ่า ทำไมต้องเอียงมากกว่าหอเอนขนาดนี้ เพราะเมื่อมีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง ผู้มีหน้าที่บริหารจัดการการการเลือกตั้งคือ กกต.ใช่หรือไม่ และเมื่อเป็นหน้าที่แล้วทำไม่สำเร็จ ท่านควรฟ้องใคร นอกจากฟ้องพวกที่ขัดขวางการเลือกตั้ง แล้วพวกที่จัดการเลือกตั้งไม่สำเร็จควรถูกฟ้องด้วยหรือไม่ ดังนั้นถ้ายังดันทุรังจะฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ อาจจะเป็นการดำเนินการที่ขัดกฎหมาย ขัดจริยธรรม ขัดสามัญสำนึก ขัดหลักการแห่งความรับผิดชอบหรือไม่

Leave a comment