จับตาท่วงทำนองพี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160312/224014.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม 2559
จับตาท่วงทำนองพี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์

จับตาท่วงทำนองพี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ : สำนักข่าวเนชั่น

           บทบาทของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ตามหน้าข่าวในวันนี้ สะท้อนว่า…ไม่ธรรมดา !!!!

ตำแหน่งหลักอย่าง ประธานคณะที่ปรึกษาคสช., รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รวมทั้งยังเป็น ประธานในคณะกรรมการต่างๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี และยิ่งมาบวกกับการเป็นประธานคณะกรรมการบูรณาการแก้ปัญหาอิทธิพลท้องถิ่นหรือหัวหน้าชุดปราบมาเฟียที่ตอนนี้กำลังเดินเครื่องอยู่

หรือจะชำเลืองตำแหน่งการเจรจากับต่างประเทศที่เกี่ยวกับการลงทุนและการจัดหายุทโธปกรณ์นั้น “บทบาทของ พล.อ.ประวิตร” ก็มักปรากฏอยู่เนืองๆ

ในแวดวงกองทัพ  นักธุรกิจ คนการเมือง หรือแกนนำกลุ่มต่างๆ ทราบเป็นนัยดีว่า วันนี้ใครคือผู้มั่งคั่งและมีบารมีมากที่สุดคนหนึ่งในรัฐบาล…???

จนมีการตั้งข้อสังเกตในสังคมออนไลน์ สภากาแฟ หรือแม้แต่คนในเครื่องแบบ ที่พูดออกมาแทบจะเป็นเสียงเดียวกันว่า ความเห็นของบิ๊กป้อม “สามารถเป็นตัวชี้วัดอนาคตทางการเมือง-ความมั่นคง-การลงทุนเมกะโปรเจกท์ได้จริง แบบไม่ต้องตีความมากนัก”

กระทั่งใครบางคนนำท่วงทำนองวันนี้ของ พล.อ.ประวิตร ไปเปรียบเทียบกับ “อดีตนายกฯ” คนหนึ่งของเมืองไทยที่เปี่ยมไปด้วยบารมีแบบนี้เมื่อ 20-30 ปีที่แล้ว จนเจ้าตัวต้องออกมาเบรกข่าวนี้เพื่อมิให้เกิดแรงกระเพื่อมทางการเมืองขึ้นอีกหนึ่งวง

ส่วนโรดแม็พ+การปฏิรูปของรัฐบาลและคสช.นั้น แม้วันนี้แทบทุกฝ่ายยืนยันต้องเดินตามคำประกาศของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. แต่อีกหนึ่งความเห็นที่มีน้ำหนักไม่น้อยไปกว่าคำพูดของบิ๊กตู่เลย นั่นคือความเห็นของพี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์นั่นเอง

ยิ่งช่วงนี้ใกล้โค้งสุดท้ายการยกร่างรัฐธรรมนูญ ความเห็นเกี่ยวกับมาตราต่างๆ ที่มาจากความเห็นของคีย์แมนคสช.และครม.นั้น ย่อมเป็นเค้าลางที่มองเห็นแล้วว่า คสช.ยังจะทำงานในการปฏิรูปและสร้างความปรองดองให้ประเทศหลังการเลือกตั้งต่อไปหรือไม่

สนช.อย่าง พล.อ.นพดล อินทปัญญา หรือ “บิ๊กกี่” ซึ่งเป็นเพื่อนรักของรองนายกรัฐมนตรีคนนี้ แสดงความเชื่อมั่นว่า “เวลานี้ พล.อ.ประวิตรไม่คิดที่จะเล่นการเมือง ขอทำหน้าที่ในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีให้ดีที่สุด ซึ่งการทำงานในขณะนี้ผมก็เห็นว่าดีและเหมาะสม หลายฝ่ายให้การยอมรับและพอใจในผลงาน แม้แต่โพลล์ที่ออกมาก็ดี และไม่มีข้อตำหนิใดๆ ส่วนอนาคตทางการเมืองข้างหน้านั้นผมตอบไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของอนาคต แต่หาก พล.อ.ประวิตรจะลงสมัครส.ส. ก็ต้องดูเรื่องคุณสมบัติว่าขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่”

ขณะที่สมาชิกสนช.คนหนึ่ง กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร เป็นคนมีประสบการณ์ ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก มีบารมี มีบุคลิกที่สามารถเข้าได้กับทุกกลุ่มการเมือง ทุกพรรคการเมือง ภาคเอกชน ไม่เว้นแม้แต่เอ็นจีโอ ซึ่งเท่าที่ทราบทุกคนให้ความเคารพนับถือ และจากการที่เข้าได้ทุกกลุ่มทำให้ พล.อ.ประวิตรรู้เส้นสนกลในทุกอย่าง รวมทั้งยังมีบุคลิกที่จะกล้าพูดกล้าทำ คิดอย่างไรก็พูดออกมา เช่น ที่มา ส.ว. ที่ต้องมาจากการสรรหา

อีกมุมมองหนึ่งจากสายตากรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ที่ใกล้ชิดกับ พล.อ.ประวิตร สะท้อนบางสิ่งให้ทีมข่าวการเมือง สำนักข่าวเนชั่นฟังว่า เคยสอบถามกับ พล.อ.ประวิตรระหว่างร่วมรับประทานอาหารว่า จะลงเล่นการเมืองสมัยหน้าหรือไม่???… ซึ่ง พล.อ.ประวิตรตอบว่า “ไม่อยากเล่นการเมือง ไม่อยากตั้งพรรค เหนื่อยแล้ว อยากอยู่สบายๆ อยู่บ้านเลี้ยงหลานดีกว่า”

แต่เอาเข้าจริงส่วนตัวมองว่า พล.อ.ประวิตร ถือว่าเป็นผู้มีบารมีมาก และมีดีกรีที่จะเป็นนายกฯ คนต่อไปได้ แต่ต้องขึ้นอยู่กับใจของพล.อ.ประวิตรว่า จะยอมให้พรรคการเมืองเสนอชื่อตามเงื่อนไขของร่างรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งท่าทีดังกล่าวสังเกตได้ไม่ยาก กล่าวคือ หากร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติ สมาชิกคสช. หรือสนช. ที่จะลงเลือกตั้ง ต้องลาออกจากตำแหน่ง ภายใน 3 เดือนนับแต่วันที่รัฐธรรมนูญมีผลประกาศใช้ หากวันนั้น พล.อ.ประวิตรลาออก ฟันธงได้ว่าจะลงเล่นการเมืองแน่นอน

ขณะที่เเกนนำกปปส.อย่างลุงกำนันนั้น ตั้งเเต่มีการยึดอำนาจ 22 พฤษภาคม 2557  “สุเทพ เทือกสุบรรณ” เเทบจะไม่ทำอะไรให้คสช.เคืองน้ำใจเเบบออกหน้าเลย

ส่วนมุมมองของคนการเมืองนั้น นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มองบทบาทของพี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ว่า “ถ้าวางระบบในรัฐธรรมนูญดีจนเอื้อแล้ว ถึงตอนนั้นจะส่งใครที่ต้องการมาลงก็ได้เพื่อให้มาเป็นผู้นำในอนาคต ไม่จำเป็นที่เจ้าตัวต้องลงมาเอง ยิ่งถ้ามี ส.ว. 200 คน ที่มีอำนาจใกล้เคียงกับ ส.ส. ถึงตอนนั้นใครก็ได้ทั้งนั้นที่จะเข้ามา”

หากแต่การเมืองในช่วงเปลี่ยนผ่านตามที่ พล.อ.ประวิตร ระบุไว้นั้น นิพิฏฐ์กล่าวว่า “ถ้ามองสถานการณ์ระยะยาวมากกว่าแค่ช่วงเปลี่ยนผ่าน ก็จำเป็นต้องมีฐานการเมือง มีพรรคการเมืองสนับสนุน หรือต้องตั้งพรรคใหม่ขึ้นมาหรือไม่นั้น ประสบการณ์ทางการเมืองของประเทศไทยในอดีต ทหารเวลายึดอำนาจมาแล้วจะลงจากอำนาจด้วยการตั้งพรรคการเมืองขึ้นมา ไม่เคยประสบความสำเร็จเลย เที่ยวนี้ผู้มีอำนาจก็คงไม่คิดตั้งพรรคการเมืองมารองรับ แต่น่าจะใช้พรรคการเมืองที่มีอยู่แล้วเข้ามารองรับแทน จะดูลื่นไหลเป็นธรรมชาติมากกว่า เพราะทุกพรรคการเมืองล้วนอยากเป็นรัฐบาลทั้งนั้น ถ้าผู้มีอำนาจมีหลักประกันว่าทำได้ ก็จะวิ่งกันมาทั้งหมด”

คีย์เเมนพรรคเก่าเเก่ของประเทศไทยคนนี้ย้ำว่า “แต่ประชาธิปัตย์คงไม่เป็นฐานรองรับ เราไม่ไปคิดร่วมกับพวกเขาตรงนั้นอยู่แล้ว และพวกเขาก็ไม่เคยมาคิดร่วมกับเราในเรื่องเหล่านี้ เราหวังชนะการเลือกตั้งตามวิถีทางประชาธิปไตย จะไปคิดร่วมกับทหารว่าทำอย่างไรจะให้กลับมามีอำนาจร่วมกันหลังเลือกตั้ง เราไม่คิดอย่างนั้นอยู่แล้ว ผมว่าปล่อยการเมืองให้เป็นไปตามธรรมชาติผู้มีอำนาจอย่าไปเชื่อใคร ถ้าคนใกล้ชิดบอกว่า ทำอย่างนี้จะอยู่ต่อได้อีก 4-5 ปี อย่าไปเชื่อ ประวัติศาสตร์ไม่เคยสอนอย่างนั้น ไม่เคยเป็นไปในแนวทางนั้นเลย ดังนั้น จึงต้องปล่อย ถ้าฝืนหรือพยายามจะลงมาสู่สนามการเมืองเองจะมีปัญหา อย่างแรกคือไม่ได้รับการยอมรับจากพรรคการเมือง และประชาชน แม้ตอนนี้กระแสความนิยมของรัฐบาลจะดีอยู่ แต่นานๆ ไป ประชาชนจะเริ่มไม่ยอมรับ”

ขณะที่แกนนำพรรคเพื่อไทยคนหนึ่ง มองบทบาทของ พล.อ.ประวิตรว่า “พล.อ.ประวิตรคาดหวังที่จะมีบทบาททางการเมืองมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เห็นได้จากความพยายามในการสร้างเครือข่ายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกับนักการเมือง นักธุรกิจ ข้าราชการ และฝ่ายผู้มีอำนาจ ซึ่งแตกต่างจาก พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งไม่ได้มุ่งเน้นหรือมีศักยภาพเพียงพอในการสร้างบารมีและเครือข่ายมากนัก”

พล.อ.ประวิตรยังเป็นผู้ผลักดันหลักในการร่างรัฐธรรมนูญที่เปิดช่องสำหรับการเข้าสู่อำนาจของตัวเอง เช่น การเสนอให้ ส.ว.มาจากการแต่งตั้งในช่วงเปลี่ยนผ่านและสามารถโหวตเลือกนายกฯ ได้ ทั้งนี้เครือข่าย สปท. และ สนช. ในปัจจุบันก็เป็นบุคคลที่ พล.อ.ประวิตรสามารถควบคุมได้ ถ้ารัฐธรรมนูญระบุอำนาจและที่มา ส.ว. เป็นอย่างนี้จริง พล.อ.ประวิตรก็จะมีเสียง 200 เสียง เพื่อสนับสนุนตัวเองในการเข้าสู่อำนาจ โดยความมุ่งหวังของ พล.อ.ประวิตรคือการครองอำนาจแบบเดียวกับพลเอกคนหนึ่งในอดีต

แต่ทั้งหมดนี้จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ง่ายเพราะ 1.ในสมัยพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ สามารถควบคุมอำนาจกลุ่มต่างๆ รวมทั้งกลุ่มยังเติร์ก ได้อย่างมีเอกภาพและเสถียรภาพ ซึ่งแตกต่างกับ พล.อ.ประวิตรในยุคปัจจุบัน ซึ่งมีร่องรอยความแตกแยกใน “สายบูรพาพยัคฆ์” เด่นชัดมากขึ้น และ “สายป๋า” ก็มีความไม่พอใจต่อสายบูรพาพยัคฆ์อยู่ ฉะนั้นพล.อ.ประวิตรจึงไม่สามารถกุมอำนาจทุกๆ ฝ่ายได้เหมือนสมัย พล.อ.เปรม 2.สมัย พล.อ.เปรมนั้น ฝ่ายต่อต้านอำนาจทหารยังไม่เข้มแข็งเท่าปัจจุบัน รวมทั้งปัจจุบันการสื่อสารและการรับรู้ของประชาชนมีมากกว่าสมัยอดีตมาก

แกนนำพรรคเพื่อไทยยังอ่านอนาคตบนถนนการเมืองของพล.อ.ประวิตรต่อไปว่า  สำหรับความเป็นไปได้ในการตั้งพรรคของพล.อ.ประวิตรนั้น อาจมีความเป็นไปได้ แต่จะเป็นในลักษณะพรรคขนาดกลาง-เล็ก โดยอาศัยยุทธศาสตร์การบริหารจัดการเสียงในสภาแทน เพราะรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้เปิดช่องให้ ส.ส.ไม่ต้องยึดโยงกับพรรคมากนัก

นอกจากนั้นการตั้งพรรคในรูปลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับฝ่ายทหารในปัจจุบันนั้น ยังเป็นคำถามว่า “สังคมจะยอมรับเพียงใด” และมุมมองนี้คงไม่แตกต่างกับคนเสื้อแดงมากนัก

ขณะที่พรรคขนาดกลาง อย่างพรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนาและพรรคชาติพัฒนาที่ตอนนี้น่าจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะชี้อนาคตของแวดวงการเมือง หากมองประวัติศาสตร์ของพรรคเหล่านี้จะพบว่า ตั้งแต่อดีต-วันนี้ คีย์แมนของพรรคต่างแนบอิงกับขุนพลท็อปบู๊ท และเมื่อมีผลการเลือกตั้งออกมาครั้งใด พรรคเหล่านี้จะเป็นหนึ่งในแกนนำร่วมตั้งรัฐบาลเสมอมา

หากอ่านสิ่งที่ อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เคยระบุถึงท่าทีของพรรคต่อสถานการณ์การเมืองในยุคที่ คสช.เข้าบริหารประเทศว่า “พรรคภูมิใจไทย เป็นพรรคขนาดกลางคงต้องสงวนท่าทีในหลายๆเรื่อง แม้แต่เรื่องการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งในเรื่องการเสนอชื่อของผู้ที่เป็นนายกรัฐมนตรี บอกได้เลยว่า ผมต้องเสนอชื่อตัวเองอยู่แล้ว แต่ช่วงนี้ทุกคนในพรรคจะไม่ขอแสดงความคิดเห็นทางการเมืองในสถานการณ์ปัจจุบัน”

ยิ่งบทบาทใหม่ของพรรคต่างๆ ที่ร่างรัฐธรรมนูญวางไว้คือ “อำนาจต่อรองของพรรคใหญ่ลดลงจากความวุ่นวายทางการเมืองจนเกิดการยึดอำนาจมาสองครั้ง และพรรคขนาดกลางคือตัวแปรทางการเมืองและดีไม่ดีอาจจะเป็นแหล่งฝากเลี้ยงของใครบางคนที่กำลังเบ่งบารมีในช่วงนี้และอนาคตก็เป็นได้” ตรงนี้ต้องจับตากรธ.ให้ดีว่า จะเดินตามเส้นทางที่กรธ.วางเข็มทิศไว้แต่เดิม หรือจะมีการปรับใหม่ไปตามสภาวะ

และต้องดูลีลาและอารมณ์ของพี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ว่าจะออกอาการอย่างไรกับกฎหมายหลักของบ้านเมืองเพราะมันมีผลกับทุกสิ่งทุกอย่างกับอนาคตการเมืองไทยเป็นอย่างยิ่ง…!!!

Leave a comment