ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160309/223820.html
‘รัฐบาล-กรธ.’ในวันที่ไม่เหมือนเดิม : ขยายปมร้อน โดยอรรถยุทธ บุตรศรีภูมิ
เหมือนจะกลายเป็นชะตากรรมเสียแล้ว สำหรับการร่างรัฐธรรมนูญภายใต้การกุมบังเหียนประเทศของ คสช. เพราะหากจำกันได้สมัยกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่มี “บวรศักดิ์ อุวรรณโณ” เป็นประธานก็ประสบชะตากรรมหนักเช่นกัน
ตอนแรกขณะที่ร่างกันนั้น ไม่มีใครคิดด้วยซ้ำไปว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนั้นจะไม่ผ่าน แต่สิ่งที่เป็นจริงคือร่างถูกคว่ำตั้งแต่ชั้นสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เสียด้วยซ้ำ โดยไม่ต้องถึงชั้นประชามติ ทั้งๆ ที่ขณะนั้นหลายคนมองว่าร่างรัฐธรรมนูญที่ “บวรศักดิ์” เขียนออกมานั้นน่าที่จะตอบโจทย์ของ คสช. ได้เป็นอย่างดี
แต่สุดท้ายร่างฉบับนั้นก็เป็นได้แค่ร่าง โดยไม่มีโอกาสที่จะมาเป็นกฎหมายแม่บทของประเทศ
ครั้งนี้ก็เช่นกัน เบื้องแรกพอเห็นตัวประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ทุกคนก็มองแบบยาวๆ ไปว่าร่างฉบับนี้แหละที่น่าจะเป็นของจริง เพราะชื่อชั้น “มีชัย ฤชุพันธุ์” นั้นเป็นตัวจริงที่ทำงานมากับ คสช.ตั้งแต่เริ่มต้น ทุกคนคิดว่าเขาคงไม่ยอมเปลืองตัวลงมารับหน้าเสื่อหากไม่มั่นใจว่าที่สุดแล้วสิ่งที่เขาทำจะต้องประสบความสำเร็จ และในที่นี้ก็คือผ่านการประชามติประกาศออกมาใช้เป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
เราจะเห็นความเหมือนกันของร่างรัฐธรรมนูญทั้งสองฉบับ กล่าวคือพยายามทำตามโจทย์ที่ผู้มีอำนาจกำหนดเอาไว้เป็นอย่างดี ผ่านชั้นเชิงทางกฎหมายของมือระดับปรมาจารย์ แต่นั่นดูเหมือนว่าจะยังไม่เพียงพอสำหรับบางกลุ่มที่สมัยร่างของ “บวรศักดิ์” มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างบอกว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้ร่างถูกคว่ำในชั้น สปช. เพราะมีการเดินเกมของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) บางคนที่ต้องการให้กำหนดไปให้ชัดเลยว่าให้มี ส.ว.สรรหา ที่มาจากการแต่งตั้งโดย คสช. เพื่อการันตีว่าพวกของตัวเองจะได้กลับเข้าสู่สภาในฐานะ ส.ว.
หากมาเทียบดูกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ก็จะเห็นได้ว่าเป็นข้อเสนอที่คล้ายกันยิ่งนัก หากแต่ครั้งนี้เป็นข้อเสนอที่ออกมาจากคนในรัฐบาลเองด้วยซ้ำ ภายใต้วาทกรรม “ช่วงเปลี่ยนผ่าน” และ “ประชาธิปไตยครึ่งใบ”
แน่นอนว่าคนอย่าง “มีชัย” ย่อมรู้ว่าการเขียนอะไรแบบโต้งๆ ไม่มีชั้นเชิง รังแต่จะทำให้ร่างรัฐธรรมนูญไม่เป็นที่ยอมรับ เพราะข้อเสนอเช่นนี้หากพูดกันตรงๆ ก็คือมีความทับซ้อนกับคำว่า “สืบทอดอำนาจ” อยู่ไม่น้อยและเรื่องนี้เองจะทำให้สังคมไม่ยอมรับ และอาจขยายไปนอกเหนือขอบเขตการทำประชามติ และอาจจะกลายเป็นจุดแตกหักกับรัฐบาล เพราะหากดูประวัติศาสตร์แล้วจะพบว่าเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่เปราะบางไม่น้อย
“มีชัย” จึงพยายามยืนกรานสิ่งที่ออกแบบเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นที่มา หรืออำนาจ และในวันที่ถูกแรงกดดันถาโถมเข้ามาใส่ เขาก็บอกเพียงว่ายังพิจารณาไม่ถึง แต่หากดูท่าทีแล้วบอกได้ว่ายากที่เขาจะเปลี่ยนวิธีคิดในเรื่องนี้
เราจึงได้เห็นอาการที่เขาและกรรมการร่างรัฐธรรมนูญไม่เข้าร่วมประชุมแม่น้ำห้าสายที่จัดขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา
หากดูคำชี้แจงอย่างเป็นทางการก็คล้ายกับว่าไม่มีอะไร เช่น การที่ “วิษณุ เครืองาม” ระบุว่า “สาเหตุที่ไม่เชิญ กรธ.เข้าร่วมประชุมด้วย เพราะ กรธ.เหลือเวลาอีกไม่กี่วันต้องปรับแก้ร่างรัฐธรรมนูญให้เสร็จในวันที่ 29 มีนาคม โดยที่ประชุมมีการติดตามงานแต่ละด้าน เนื่องจากไม่ได้ประชุมนานแล้ว แต่ละฝ่ายรายงานถึงข้อติดขัดว่ามีอะไรบ้าง และนายกฯยังแจ้งด้วยว่าจะเรียกประชุมแม่น้ำ 5 สายเต็มคณะในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน”
แต่หากไปดูคำสัมภาษณ์ของ “มีชัย” จะเห็นได้ว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน โดยเขาบอกว่า “ที่ไม่เข้าร่วมประชุมแม่น้ำ 5 สายที่ทำเนียบรัฐบาล เพราะไม่ได้รับเชิญ กรธ.จึงไม่ได้ส่งใครไปร่วมประชุม ไม่ใช่เพราะ กรธ.หารือนอกรอบกับ ครม.ก่อนหน้านี้แล้ว และหากจะเข้าร่วมประชุมกลัวว่าจะถูกผูกมัด”
เมื่อนักข่าวซักต่อว่าที่ไม่ไปเพราะกลัวถูกใบสั่งใช่หรือไม่ “มีชัย” ก็มีคำตอบที่น่าคิดว่า “หากจะสั่งก็สั่งได้ แต่สั่งแล้วจะฟังหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเหตุผล”
น่าคิดว่าสุดท้ายแล้ว หากกรรมการร่างรัฐธรรมนูญยืนกรานในวิธีคิดของตัวเอง อนาคตของร่างฉบับนี้จะเป็นอย่างไร จะยังคงได้รับการสนับสนุนจากผู้มีอำนาจหรือไม่ หรือที่สุดแล้วผู้มีอำนาจอาจลอยแพปล่อยให้ตกไปตามยถากรรม เพื่อรอวันเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ให้เป็นอย่างที่ต้องการ ให้สมกับที่ใจคิดโดยที่ไม่ต้องมีชั้นเชิงหรือเหนียมอาย
