ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
http://www.thairath.co.th/content/590109
โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 14 มี.ค. 2559 05:01

เป็นเพราะ “ผิดฝา–ผิดตัว” มาตั้งแต่แรก เส้นทางสู่การรับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม 4 จีบนคลื่น 900 เมกะเฮิรตซ์ (MHz) ของ 2 ผู้ชนะการประมูลอย่าง บริษัททรูมูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมูนิเคชั่น จำกัด และ บริษัทแจส โมบาย บรอดแบนด์ จำกัด จึงเต็มไปด้วย “ขวากหนาม” และ “คำสบประมาท” เป็นรายวัน!
รายแรกนั้น แม้ “คร่ำหวอด” อยู่ในวงการมานาน มีฐานลูกค้าไม่น้อย แต่ตลอดเวลากว่า 26 ปีในการประกอบธุรกิจ กลับยังไม่สามารถทำกำไรได้ และมีภาระหนี้ต่อเนื่องสูงที่สุดเกิน 100,000 ล้านบาท ส่วนรายที่สองถือว่า “ใหม่ถอดด้าม” หวังใช้ใบอนุญาต 4 จีเป็น “ใบเบิกทาง” เข้าสู่ธุรกิจนี้
แต่ข้อจำกัดเหล่านี้ คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงของผู้ชนะการประมูลทั้ง 2 รายสักเท่าไร หากราคาประมูล 4 จีไม่พุ่งไปถึง 76,298 ล้านบาท สำหรับใบอนุญาตของทรู และ 75,654 ล้านบาทสำหรับใบอนุญาตของแจส โมบาย
สำหรับทรูนั้น การชนะการประมูลในคลื่น 900 MHz เพิ่มเติมในราคาระดับนี้ หลังมีภาระจากการต้องชำระค่าประมูล 4 จีคลื่น 1800 ก่อนหน้าด้วยราคา 39,792 ล้านบาทนั้น อาจถือเป็นวิบากกรรมด้านการเงินครั้งใหญ่
แต่สำหรับ “แจส โมบาย” มันคือนรกชัดๆ เมื่อพิจารณาถึงต้นทุนที่แจส “ต้องจ่าย” ในการเข้าสู่ธุรกิจใหม่ ซึ่งราคาประมูลนั้นเป็นแค่ต้นทุนน้ำจิ้มเบื้องต้น ไม่รวมเงินในการลงทุนสร้างโครงข่าย ขยายงานด้านบริการแข่งขันในตลาดที่ผู้ประกอบการรายเดิมทั้ง “โหด ดุ และทั้งเขี้ยวลากดิน” ทั้งสิ้น
ขณะที่ผู้แพ้ประมูลขาใหญ่อย่าง บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส และบริษัทโทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค ต่างพร้อมใจออกมาตอกย้ำ “ยอมรับความพ่ายแพ้ เพราะราคาที่สูงลิ่วไม่ตอบโจทย์ทางธุรกิจ” จึงต้องถอดใจนั้น ยิ่งทำให้ผู้ชนะประมูลส่อเผชิญแรงกดดัน
….. แม้วันนี้ “ศุภชัย เจียรวนนท์” ซีอีโอใหญ่แห่ง “ทรู คอร์ปอเรชั่น” จะสามารถผ่าทางตันในการระดมทุนจนสามารถเดินเข้าไปชำระเงินค่าประมูลงวดแรก 8,602 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) และวางแบงก์การันตีตามมูลค่าเงินประมูลที่เหลือ 73,036 ล้านบาทไปได้เรียบร้อย
……แต่สำหรับ “พิชญ์ โพธารามิก” แห่ง “แจส โมบาย” เรายังไม่ได้ยินข่าวคราวความเคลื่อนไหวใดๆจากเขา นอกจากความเคลื่อนไหวทางการเงินตลอด 2 เดือนที่ผ่านมาทั้งทางลับและทางแจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หลายคนยังแอบลุ้นอยู่ว่า ถึงอย่างไรเขาก็ต้อง “สู้ยิบตา”เข้ามาจ่ายเงินเพื่อรับใบอนุญาตในที่สุด เพราะประมูลสู้ราคามาถึงขั้นนี้คงไม่ได้มาเล่นๆ หาไม่เช่นนั้น ชื่อเสียงที่ไม่ค่อยจะมีคงจะป่นปี้ลงไปอีก
แต่หลายคนก็ดูเหมือนจะเชื่อไปแล้วว่า “แจส โมบาย” น่าจะถอดใจทิ้งใบอนุญาตไปแล้ว
วินาทีนี้ถนนทุกสายจึงต่างจับจ้องไปที่น้องใหม่ “แจส โมบาย” กับโค้งสุดท้ายที่ต้องเข้ามาจ่ายเงินค่าธรรมเนียมประมูลก้อนแรกในวันที่21 มีนาคมศกนี้ว่า จะมีเหตุพลิกผัน หรือ “ปาฏิหาริย์” ใดหรือไม่?
“ทีมเศรษฐกิจ” จึงถือโอกาสที่ถนนทุกสายยังเฝ้าลุ้นระทึกอยู่นี้ถอดรหัส 4 จีบนคลื่น 900 MHz ที่กำลังระอุแดดอยู่ในเวลานี้ ดังนี้ :
จาก “แจส ผู้ฆ่ายักษ์” สู่ความอึมครึม
หลังการประมูล 4 จีบนคลื่นความถี่ 900 MHz สิ้นสุดลง เมื่อวันที่ 21 ธ.ค.58 นายพิชญ์ โพธารามิก ผู้บริหาร “แจส โมบาย” ได้เลือกเอาวันที่ 21 ธ.ค.เปิดแถลงข่าวถึงความสำเร็จในการประมูล 4 จีที่ปาดหน้าเอาชนะยักษ์สื่อสารอย่าง “เอไอเอส–ดีแทค” ในเวลานั้น
โดยระบุว่า การเข้ามารุกตลาดผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ จะส่งผลให้ “แจส โมบาย” มีรายได้เพิ่มในธุรกิจใหม่ โดยตั้งเป้าว่า ภายในปี 2559 นี้จะมีจำนวนลูกค้าจากธุรกิจนี้ 2 ล้านเลขหมาย และเพิ่มเป็น 5 ล้านเลขหมายภายใน 3 ปี พร้อมยืนยัน “แจส โมบาย” จะช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดผู้ให้บริการมือถือให้ได้ร้อยละ 10 ภายใน 3 ปี จากเงินสะพัดในตลาดนี้ของทั้งสามค่ายเดิมที่มีอยู่กว่า 300,000 ล้านบาท
แต่คล้อยหลังการแถลงข่าวของผู้บริหารแจส โมบายไปไม่ทันข้ามวัน กระแสข่าวในอีกฟากฝั่งก็ถาโถมเข้าสู่ธุรกิจนี้ โดยเฉพาะในประเด็นมูลค่าของใบอนุญาต 4 จีที่ 2 บริษัทสื่อสาร “ทรูมูฟ เอช” และ “แจส โมบาย” ชนะประมูลมาว่าแพงเกินกว่าพื้นฐานที่จะนำไปให้บริการหรือไม่?
ยิ่งเมื่อค่ายทรูมูฟถึงกับต้องวิ่งโร่หาแหล่งเงินและสถาบันการเงินที่จะเข้ามาให้การสนับสนุนโครงการ โดยถึงขั้นต้องมีการ “จัดทัพ” โครงสร้างทางการเงินและการลดทุน-เพิ่มทุนขนาดใหญ่ถึง 60,000 ล้าน ก็ยิ่งทำให้สถานะของน้องใหม่ “แจส โมบาย”ถูกจับตาอย่างไม่กระพริบเข้าไปอีก
จนถึงกับมีกระแสข่าวแพร่สะพัด สถาบันการเงินพากันถอยกรูด ขยาดที่จะปล่อยกู้ให้ เพราะเริ่มไม่แน่ใจในอนาคตของธุรกิจจะไปได้หรือไม่ หลัง “แจส โมบาย” ถูก 3 ค่ายยักษ์มือถือเดินเกมต้อนรับน้องใหม่ชนิด “ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต” ที่ทั้งลดแลกแจกแถมอัดสงครามโปรโมชั่นกันจนละลานตา
จนถึงขนาดที่นักวิเคราะห์ฟันธง แม้จะแจกเครื่องฟรีวันนี้ ก็คงยากที่น้องใหม่จะเบียดมือถือ 3 ค่ายเดิมขึ้นมาผงาดได้ โอกาสที่จะระดมเม็ดเงินมาจ่ายค่าประมูลจึงแทบไม่หลงเหลืออยู่ กระแสสะพัดอื้ออึ้งวันนี้ จึงมีแต่ข่าว “แจสโมบาย” ถูกบีบให้ต้องทิ้งใบอนุญาตเป็นรายวัน!
วัดใจ “แจส” ทิ้ง–ไม่ทิ้ง
ท่ามกลางกระแสดังกล่าว “แจส โมบาย” กำลังวิ่งวุ่นกับการหาสถาบันการเงินมาปล่อยสินเชื่อและออกแบงก์การันตี ที่กำหนดต้องนำเงินสดงวดแรกกว่า 8,000 ล้านบาท พร้อมแบงก์การันตีอีกกว่า 70,000 ล้านบาทไปจ่ายให้ กสทช.ในวันที่ 21 มี.ค.นี้
โดยธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ซึ่งแต่เดิมเคยถูกคาดหมายว่าจะเป็นผู้ปล่อยกู้หลักให้ “แจส โมบาย” ออกมาระบุว่า ได้ให้แจสกลับไปทำแผนธุรกิจใหม่มายื่นเรื่องขอกู้ โดยเฉพาะเรื่องการปรับโครงสร้างทุน นอกจากนั้น ธนาคารกรุงเทพเพียงรายเดียวก็ไม่สามารถปล่อยกู้หรือออกแบงก์การันตีให้แจสได้ เพราะวงเงินกู้รวมสูงกว่าเกณฑ์การปล่อยกู้รายใหญ่ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือมากกว่า 25% ของเงินกองทุน ซึ่งต้องมีสถาบันการเงินอื่นมาร่วมปล่อยกู้ “ซินดิเคทโลน” ด้วย ขณะที่ยังไม่มีธนาคารติดต่อให้ร่วมปล่อยกู้เช่นกัน
ทางรอดทางเดียวของ “แจส โมบาย” คือรีบเพิ่มทุน โดยหาพันธมิตรนำเงินมาซื้อหุ้นเพิ่มทุน โดยเร็วที่สุด หรืออีกทางคือยอมถอดใจ “ยกธงขาว”เสียค่าปรับ 644 ล้านบาท ทิ้งใบอนุญาต 4 จี
ท่ามกลางความอึมครึม “แจส โมบาย” ยังคงช็อกวงการ!! โดยออกข่าวแจ้งตลาดหลักทรัพย์ ว่า บอร์ดบริษัทมีมติให้ทำโครงการซื้อหุ้นคืน ในวงเงิน 6,000 ล้านบาท เพื่อซื้อหุ้นคืนราว 20% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด โดยตั้งโต๊ะรับซื้อหุ้นคืนจากผู้ถือหุ้นราคาประมาณ 5 บาท!! สร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์ให้กับคนในวงการตลาดหุ้นและวงการโทรคมนาคมให้มึนหัวตึ้บกันอีกครั้ง ว่า “แจส โมบาย”จะมาไม้ไหนกันแน่??
ยิ่งไปกว่านั้น ขณะที่บริษัทต้องเร่งหาเงินมาจ่ายค่าใบอนุญาต ต้องมีเงินเพื่อมาลงทุนทำเครือข่าย ขณะที่การขอสินเชื่อและพันธมิตรต่างชาติก็ยังไม่มีความชัดเจน แต่บริษัทกลับทำสวนทาง โดยปล่อยเงินให้เงินไหลออกจากบริษัท ทั้งการจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นก่อนหน้านี้กว่า 2,000 ล้านบาท และล่าสุดยังจะควักเอาเงินก้อนสุดท้ายที่มีอยู่มาซื้อหุ้นในตลาดคืน โดยแทบไม่มีคำชี้แจงหรืิคำอธิบายใดๆ จากผู้บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง “พิชญ์ โพธารามิก”
ส่งผลให้ห้บรรดานักวิเคราะห์สำนักต่างๆคาดเดาถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นของ “แจส โมบาย” ในหลายๆมุมมอง ทั้งการถอดใจทิ้งใบอนุญาต 4 จีและมีโอกาสที่ “แจส โมบาย”จะกลับมาผงาดได้อีกครั้ง
บล.ธนชาต มองว่า การกระทำของ “แจส โมบาย” ว่าสวนทางกับสิ่งที่ต้องทำ คือหาเงินมาจ่ายค่าใบอนุญาต แต่บริษัทกลับทำในสิ่งที่นำเงินออกไปจากบริษัททั้งการซื้อหุ้นคืน และการจ่ายเงินปันผลพิเศษ ซึ่งทำให้เงินออกไปจากบริษัทรวม 8,000 ล้านบาท เท่ากับเงินก้อนแรกที่จะต้องวางให้ กสทช.
ตลาดจึงคาดว่า “แจส โมบาย” ยอมถูกยึดเงินประกัน 644 ล้านบาทและจะไม่ร่วมวงในการประมูลใบอนุญาตอีกแล้ว หรือยอมทิ้งใบอนุญาติที่ชนะมา เพราะการตัดสินใจซื้อหุ้นคืนนั้น จะทำให้แจสไม่สามารถระดมเงินใหม่เข้าบริษัทได้อย่างน้อย 1 ปี ซึ่งไม่ทันแน่นอนกับระยะเวลาที่จะครบกำหนด 21 มี.ค.นี้
จะเห็นว่ามติการซื้อหุ้นคืนของ “แจส โมบาย” ส่งผลให้ราคาหุ้นของผู้เล่นอีก 3 รายในตลาดเพิ่มขึ้นทันที เพราะตลาดตีความว่าจะไม่มีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาในตลาดอีกแล้ว
ขณะที่ บล.เอเซียพลัส ระบุว่า หลังซื้อหุ้นคืน มีข้อกำหนดมิให้จําหน่ายหุ้นออกมาภายใน 6 เดือน ทําให้เงินสดลดลง แต่หลังครบกำหนดแล้ว “แจส โมบาย” มีสิทธิดำเนินการดังนี้ 1.ขายคืนภายใน 3 ปี 2.ลดทุนชําระแล้ว โดยกรณีลดทุนจํานวนหุ้นจะลดลง แม้ช่วยให้กําไรต่อหุ้นและมูลค่าพื้นฐานสูงขึ้น แลกกับฐานะการเงินบริษัทที่อ่อนแอลงถาวร ทั้งเงินสดและส่วนของผู้ถือหุ้นที่ลดลงเท่ากับมูลค่าที่ซื้อหุ้นคืน
ดังนั้น ความเป็นไปได้ที่ “แจส โมบาย” จะไม่จ่ายค่าใบอนุญาต 900 MHz จึงสูงขึ้น ภายใต้แนวโน้มฐานะการเงินที่แย่ลง ซึ่งจะสร้างข้อจํากัดให้ไม่สามารถจ่ายค่าใบอนุญาต 4 จี ที่ประมูลมาแพงมากขึ้น
และหาก “แจส โมบาย” ทิ้งใบอนุญาต ผลประกอบการจะดีกว่าที่ฝ่ายวิจัยคาดว่าจะขาดทุนจำนวนมากในปีนี้ เพราะไม่มีผลกระทบจากการรุกสู่ธุรกิจมือถือและกลับมาพึ่งพาธุรกิจอินเตอร์เน็ต ซึ่งมีกำไรปีละ 3,000-4,000 ล้านบาทเช่นเดิม แต่กรณีนี้ยังไม่รวมผลกระทบจากการเรียกร้องค่าเสียหายจาก กสทช.
ด้าน บล.ทรีนีตี้ มองการที่แจสประกาศซื้อหุ้นคืนในสัดส่วนการซื้อหุ้นคืนสูงถึง 20% เป็นไปได้ว่าบริษัทมีแผนในการเพิ่มทุน เพื่อขายให้นักลงทุนเฉพาะเจาะจง (PP) ในภายหลัง เนื่องจากการเพิ่มทุน PP ภายหลัง เพราะไม่ต้องการให้บั่นทอนอำนาจในการควบคุม (Control Dilution) ของ “พิชญ์” ให้ต่ำเกิน 20%
ทรีนีตี้ ยังเชื่อว่าธนาคารกรุงเทพพร้อมให้การสนับสนุน “แจส โมบาย” ในการให้สินเชื่อ 4 จี เพราะในอนาคต Fintech จะเข้ามามีบทบาทและเปลี่ยนอุตสาหกรรมทั้งโทรคมนาคม (Telcom) และธุรกิจสถาบันการเงิน (Banking) และ Any ID จะเป็นจุดเปลี่ยนที่จะรวม Banking กับ Telcom ไว้ด้วยกัน
ท้ายที่สุด นักวิเคราะห์ บล.บัวหลวง เชื่อมั่นว่า “แจส โมบาย” จะหาเงินมาจ่ายงวดแรกได้ทัน 21 มี.ค.นี้ โดยการประกาศซื้อหุ้นคืนครั้งนี้เกี่ยวข้องกับการเพิ่มทุนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และการขายหุ้นให้นักลงทุนรายใหม่แบบเฉพาะเจาะจง ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นก่อนการซื้อหุ้นคืน โดยใช้สมมติฐานว่า “แจส โมบาย” มีแนวโน้มใช้ธนาคารต่างชาติเพื่อออกแบงก์การันตีให้ โดยใช้ความสัมพันธ์ที่มีกับพันธมิตรรายใหม่ที่เข้ามา
กสทช.เรียกความมั่นใจ
ด้วยเหตุนี้ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จึงนั่งไม่ติด นายฐากร ตัณฑ-สิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. ได้ออกมาเรียกความเชื่อมั่นให้กับวงการโทรคมนาคมและต้องเตรียมมาตรการรองรับ ในกรณีที่ “แจส โมบาย” ถอดใจไม่มาชำระเงินขึ้นมาจริงๆ
“ขณะนี้ “แจส โมบาย” ยังมีสิทธิเป็นผู้ชนะประมูล 4 จี ไปจนถึงวันที่ 21 มี.ค.59 จากนั้นถือว่าหมดสิทธิทันที ซึ่ง กสทช.ต้องทำหน้าที่พิทักษ์ผลประโยชน์ของรัฐและผลประโยชน์ของประชาชน ด้วยการยึดหลักประกันการประมูล 644 ล้านบาท และเรียกร้องค่าเสียหายตามกฎหมาย ซึ่งเป็นเงินการจัดการประมูลครั้งที่ผ่านมา 170-180 ล้านบาท”
นอกจากนี้ อาจตรวจสอบคุณสมบัติของการเป็นผู้ประกอบกิจการที่รับใบอนุญาตจาก กสทช.ทั้งกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม รวมถึงลักษณะการถือหุ้นไขว้ หรือการตรวจสอบอื่นๆตามอำนาจหน้าที่ของ กสทช.ที่กฎหมายกำหนดไว้ ตามการตัดสินใจของคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) ด้วย
“การยึดเงินประกันเป็นเพียงส่วนหนึ่ง และต้องมีการฟ้องเรียกร้องค่าเสียโอกาสของประเทศชาติ และของประชาชนด้วย และต้องกำหนดกรอบให้ชัดเจนเพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกในอนาคต คือประมูล 4 คืน 5 วัน แต่ไม่มาชำระเงิน”
ทั้งนี้ กสทช.ต้องเตรียมการเปิดประมูล 4 จี คลื่น 900 เมกะเฮิรตซ์ จำนวน 10 เมกะเฮิรตซ์ ภายใน 4 เดือน หรืออย่างช้าต้องเปิดประมูลในเดือน ก.ค.59 โดยราคาประมูลจะต้องเริ่มต้นที่ราคา 75,654 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาที่ชนะประมูลครั้งที่แล้ว และต้องเปิดโอกาสให้ผู้ที่ชนะประมูลคราวที่แล้วคือบริษัท ทรูมูฟ เอช มีสิทธิเข้าร่วมประมูลด้วย
แต่หากเปิดประมูลแล้วไม่มีผู้สนใจ กสทช.จะไม่นำคลื่นดังกล่าวมาเปิดประมูลใหม่ทันที แต่จะเก็บไว้ไม่น้อยกว่า 1ปี หรือนำไปประมูลพร้อมคลื่น 1800 เมกะเฮิรตซ์ที่สัญญาสัมปทานระหว่างบริษัท กสท โทรคมนาคมจำกัด (มหาชน) กับบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค จะสิ้นสุดลง ในปี 2561
เลขาธิการ กสทช. ยังระบุด้วยว่า ทันทีที่รู้ผลว่า “แจส โมบาย” ไม่มาชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตจริงๆ จะเรียกประชุมคณะทำงาน และจะขอให้บอร์ด กสทช.ประชุมด่วน เพื่อรับรองแนวทางการเตรียมการฟ้องร้องและเปิดประมูลใหม่ทันที อีกทั้งต้องทำหนังสือแจ้งให้คณะกรรมการเตรียมความพร้อมด้านดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่มี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้รับทราบถึงกรณีดังกล่าวด้วยตามขั้นตอนของกฎหมาย
*********
สำหรับประชาชนคนไทย ถนนทุกสายคงเฝ้าจับตามองความเคลื่อนไหวของน้องใหม่ “แจส โมบาย”ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนโทรคมนาคมที่สำคัญตาไม่กระพริบ เพราะท้ายที่สุดหาก “แจส โมบาย” ถอดใจ ทิ้งใบอนุญาต 4 จี
ไม่เพียงจะสะท้อนให้เห็นบทอวสานมือถือ 4 จีที่ไม่ได้เป็น Blue Ocean อีกแล้ว ประเทศจะสูญเสียรายได้และโอกาสจากการได้เม็ดเงินค่าธรรมเนียมประมูลกว่า 75,000 ล้านบาท คนไทยยังสูญเสียโอกาสที่จะได้ใช้บริการมือถือระบบ 4 จีบนคลื่น 900เมกะเฮิรตซ์ (MHz) ไปอย่างน่าเสียดาย ทั้งยังทำให้ตลาดสื่อสารโทรคมนาคมมือถือ สูญเสียโอกาสที่ควรจะมีผู้เล่นใหม่ที่เข้ามาเพิ่มการแข่งขันอีกด้วย.
ทีมเศรษฐกิจ


