ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
http://www.thairath.co.th/content/590497
โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 15 มี.ค. 2559 05:01

ชาวชุมชน “บ้านอกโรย” เจอมรสุม เรื่องต้นทุน
ปัจจัยการผลิตและวัตถุดิบในการทำเกษตรมีราคาสูง…ปุ๋ย ข้าว เมล็ดพันธุ์พืชต่างๆ ทำให้ขาดทุน อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการประกอบอาชีพ …สาธารณูปโภคต่างๆก็มีราคาสูงขึ้น ทำให้ต้องระเบิดความคิดจากภายใน เร่งแก้ปัญหาปากท้อง…
“กองทุนหมู่บ้านอกโรย” หมู่ที่ 1 ตำบลพิกุลทอง อำเภอท่าช้าง จังหวัดสิงห์บุรี จึงตั้ง “โครงการร้านค้าเกษตรชุมชน” ขึ้นมา เพื่อให้คนในชุมชนมีสินค้าที่มีราคาถูกกว่าตลาด ไม่ว่า…สินค้าในครัวเรือน เครื่องมือทางการเกษตร ฯลฯ
ซื้อของถูกได้ยังไม่พอ ยังสร้างรายได้ให้ชุมชน ลดการว่างงานของคนในหมู่บ้าน แถมเป็นการส่งเสริมเกษตรในชุมชนให้เข้มแข็งไปในที ด้วยแนวคิดจัดตั้งกลุ่มสมาชิกเกษตรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรจำนวน 231 ครัวเรือน…คัดสรรวัตถุดิบต่างๆ เช่น ปุ๋ย เมล็ดพันธุ์ มาจำหน่ายในชุมชน
นอกจากนี้ยังได้ดำเนินงานศูนย์เรียนรู้ในชุมชนเพื่อส่งเสริม สอนทักษะในการสร้างรายได้ ซึ่งรูปแบบโครงการนี้เป็นโครงการสำหรับหมู่บ้านเดียว และเป็นโครงการที่ประชาชนทำเองทั้งหมด ใช้ระยะเวลาดำเนินการทั้งสิ้น 90 วัน…เป็นเครือข่ายความร่วมมือ สร้างความเข้มแข็งของคนในท้องถิ่นที่ใครก็เอาอย่างได้
ย้ายขึ้นเหนือไปดู “กองทุนหมู่บ้านยอด” หมู่ที่ 9 ตำบลหมอกจำแป่ อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่นี่อยู่ห่างไกลเมือง ประชาชนมีความต้องการเครื่องจักรเพื่อใช้ในการผลิตข้าวแปรรูป และเพิ่มผลผลิตในการเกษตรให้เกิดรายได้ สร้างงาน สร้างอาชีพที่มั่นคง สามารถต่อยอดอาชีพได้อย่างมั่นคงต่อไป
จึงเสนอ “โครงการแปรรูปข้าวอินทรีย์” เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับข้าวพื้นเมือง เพื่อเป็นการอนุรักษ์พันธุ์ข้าวพื้นเมือง และเพื่อให้เกษตรกรมีข้าวเพียงพอสำหรับอุปโภค บริโภค
การดำเนินงานเริ่มจากภายในชุมชน…ชาวบ้านทำกันเองภายในหมู่บ้านเดียว แต่ต้องขอคำแนะนำจากหน่วยงานอื่น เพื่อพัฒนาต่อยอดจนเกิดเป็นยุทธศาสตร์ที่เหมาะสมในการปฏิบัติ
ลงใต้ไปที่ ตำบลรับร่อ อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร “กองทุนหมู่บ้านเกล้าฯ” หมู่ที่ 13
ด้วยคนส่วนใหญ่มีฐานะความเป็นอยู่ไม่ดีนัก บางส่วนไม่มีเอกสารสิทธิในการถือครองที่ดิน มีปัญหาเงินทุนหมุนเวียนไม่เพียงพอ และไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาผลผลิตทางการเกษตร และตลาดรับซื้อผลผลิตก็อยู่ห่างไกล ทำให้ต้นทุนในการผลิตเพิ่มขึ้น ไม่สามารถต่อรองราคากับผู้รับซื้อ พ่อค้าคนกลางได้
จึงมีแนวคิดทำ “โครงการสร้างตลาดกลางรับซื้อสินค้าตำบลรับร่อ” ขึ้นมา เพื่อเป็นศูนย์กลางรับซื้อผลผลิตทางการเกษตร สร้างความเจริญให้เกิดขึ้นภายในตำบล โดยคนในตำบลบริหารจัดการเอง
ปลดล็อกปัญหาเดิมๆที่สั่งสมในอดีต ตัดวงจรพ่อค้าคนกลาง…ได้คัดเลือกคุณภาพสินค้า เพื่อเพิ่มมูลค่าด้วยตัวเอง สร้างรายได้…ได้แบ่งผลประโยชน์ให้กับกองทุนที่อยู่ในพื้นที่ตำบลรับร่ออย่างเท่าเทียมกัน
นี่คือตัวอย่างโครงการเพิ่มความเข้มแข็งเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ ในกรอบวงเงิน 3.5 หมื่นล้านบาท ตามถ้อยแถลงของ สุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จะใช้งบผ่านกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง จำนวน 79,566 กองทุน…วงเงินไม่เกิน กองทุนละ 500,000 บาท
เพื่อการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในหมู่บ้าน…ชุมชน และเพื่อดำเนินกิจกรรมอื่นๆที่หมู่บ้าน…ชุมชนเห็นว่าเป็นประโยชน์ในการส่งเสริมศักยภาพการประกอบอาชีพ…ความเป็นอยู่ในหมู่บ้าน หรือชุมชนให้ดีขึ้น
ประเด็นสำคัญ…โครงการที่จะเกิดขึ้นนั้น ต้องยึดหลักการของประชารัฐ การมีส่วนร่วมทั้งจากภาคประชาชน ภาคเอกชน ภาคราชการ…มุ่งเน้นการผลิต แปรรูป อย่างครบวงจร มีระบบการติดตามประเมินผลที่มีประสิทธิภาพ
หัวใจสำคัญ…ชุมชนนั้นๆจะต้องมีศักยภาพเพียงพอที่จะดำเนินการได้จริง เหมาะสมกับพื้นที่…มีประโยชน์ระยะยาว ไม่ซ้ำซ้อนกับโครงการงบตำบลละ 5 ล้านฯ
ย้ำชัดเจนว่า…โครงการเป็นของส่วนรวมไม่ใช่ของกรรมการคนใดคนหนึ่ง เป็นความต้องการของชุมชน และต้องไม่มีทุจริตคอร์รัปชัน
รศ.ดร.นที ขลิบทอง ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ย้ำว่า โครงการที่จะเกิดขึ้นต้องมองเห็นรายได้เป็นทุนหมุนเวียน ต่อยอดกองทุนไปเรื่อยๆ
ที่สำคัญ…ต้องตอบโจทย์ สภาพปัญหา ความต้องการของคนในชุมชนเป็นหลัก
ในกรอบวงเงิน 35,000 ล้านฯ สนับสนุนเงินทุนผ่านกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง 79,556 กองทุน กระจายการลงทุนไปในพื้นที่ต่างๆ ผลักดันให้เกิดการพัฒนาศักยภาพในท้องถิ่น ภูมิภาคอย่างทั่วถึง
พิจารณาตรวจสอบเฝ้าติดตามผ่าน คณะอนุกรรมการดำเนินงานโครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ (อคป.) ซึ่งมาจากผู้แทนส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ผู้ทรงคุณวุฒิในกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ผู้แทนภาคเอกชน และผู้แทนภาคประชาชน
นอกจากนี้ยังสนับสนุนการจัดตั้ง “อาสาประชารัฐ”…อาสาสมัครทั่วประเทศ เพื่อทำหน้าที่ติดตามส่งเสริมการดำเนินโครงการของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองให้ประสบผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์
ปัจจุบันมีอาสาประชารัฐ เริ่มต้นจากทุกหมู่บ้าน…ชุมชน ราว 240,000 คน เป็นอาสาชุดแรกที่จะออกขับเคลื่อนการดำเนินงานนี้
พูดถึงเรื่องกู้ๆยืมๆ…ให้นึกถึงปัญหาแบบเดิมๆที่หลายคนอาจเคยได้ยินผ่านหู “มีเงินไหลเทลงมา เมื่อมีสิทธิกู้…แต่ยังไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไร ก็ขอกู้เอาไว้ก่อน” ทีนี้…กู้กันไป…กู้กันมา ประชานิยมกันบ่อยๆเข้าก็กลายเป็นการปลูกฝังนิสัย “คนไทยชอบกู้”
ประเด็นนี้ รศ.ดร.นที เคยสะท้อนมุมมองเอาไว้ว่า ความเป็นจริงกองทุนหมู่บ้านไม่ได้ให้กู้เป็นเงินจำนวนมาก ตัวเลขแค่หลักหมื่น…แล้วความรับผิดชอบคนในหมู่บ้านก็มีสูง อายที่จะไม่จ่ายหนี้
เวลาประกาศกลางศาลาวัดใครติดหนี้…จะรับไม่ได้ ก็เป็นแรงกดดันทางสังคม
“ส่วนใหญ่จะขวนขวายหาเงินมาใช้หนี้ หนี้เสียมีไม่ถึงร้อยละ 10 ของเงินกองทุนหมู่บ้านทั่วประเทศ…ส่วนปัญหาก็มี กู้แบบงูกินหาง กู้เงินสหกรณ์มาใช้หนี้กองทุนหมู่บ้าน เอาเงินกองทุนฯไปใช้หนี้สหกรณ์ หรือการให้กู้เฉพาะเครือข่าย ญาติพี่น้อง”
ปัญหามีว่า…กองทุนฯที่ดำเนินการผ่านโครงการต่างๆก็จะมีทั้งกองทุนที่เข้มแข็ง กองทุนที่อ่อนแอ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม แต่ละกองทุนฯมีขอบเขตจำกัด ดำเนินการภายในหมู่บ้าน ชุมชนของตนเองเท่านั้น
แนวคิดใหม่ที่เกิดขึ้น สำหรับกองทุนที่ประสบความสำเร็จ เข้มแข็งมีเงินเยอะ น่าจะเข้าไปช่วยกองทุนที่อ่อนแอ รศ.ดร.นที หมายถึงว่า กองทุนน้องจะได้มีกองทุนพี่คอยช่วยเหลือ มีที่พึ่ง เปรียบได้กับ “กองทุนหมู่บ้าน”…มีแก้วน้ำหมู่บ้านละ 1 ใบ ถ้าเรามี “ถังน้ำ” สัก 1 ใบตั้งอยู่ประจำตำบล แก้วไหนพร่องก็เอาน้ำจากถังมาเติม แก้วไหนล้นก็เอาน้ำไปฝากไว้ที่ถัง จะทำให้กองทุนหมู่บ้านมีความมั่นคงมากขึ้น
“กองทุนหมู่บ้าน” นโยบายประชานิยมที่หลายคนอาจจะยังไม่เข้าใจแก่นแท้ เป็นได้ทั้งของหวานและยาพิษ ความสำเร็จที่แท้จริง …ไม่ใช่ตัวเงิน รายได้ แต่เป็นความสุขสงบที่เกิดขึ้นในชุมชน.