ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 14 มี.ค.59 ปิดที่ 1,394.27 จุด เพิ่มขึ้น 0.86 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 47,849.05 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 2,053.32 ล้านบาท

บล.ทรีนีตี้ มองปัจจัยสำคัญที่สุดที่ต้องติดตามสัปดาห์นี้ คือการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) วันที่ 14-15 มี.ค.มองว่าโอกาสที่ BoJ จะสร้าง Positive surprise ให้กับตลาดยังพอมีอยู่ มอง 2 ทางเลือกที่อาจเกิดขึ้นได้แก่ การปรับลดดอกเบี้ยเงินฝากให้ติดลบมากขึ้นหรือเพิ่มวงเงิน QE ไปยังตราสาร ETF/REITs

ขณะที่การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) วันที่ 15-16 มี.ค.มองว่าโอกาสที่ FED จะมี Surprise นั้นค่อนข้างยาก เนื่องจากล่าสุดตลาดคาดการณ์ว่า FED จะขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้เพียง 1 ครั้งเท่านั้น

ดังนั้นในเชิงกลยุทธ์ แนะนำให้นักลงทุนขายหุ้นทำกำไรอย่างมีนัยสำคัญในสัปดาห์นี้ก่อนหน้าที่จะทราบผลการประชุม FED

นอกจากนี้ ทรีนีตี้มองตลาดหุ้นช่วงครึ่งเดือนหลังมีโอกาสอ่อนตัวจากครึ่งเดือนแรกจาก 1.Valuation ที่อยู่ในระดับแพงแล้วตามมิติ Earning yield gap โดยล่าสุดโมเดลของทรีนีตี้บ่งชี้ว่าระดับดัชนีที่เหมาะสมควรอยู่ที่ 1,280 จุด

2.แรงกดดันต่อหุ้นกลุ่ม Mobile operator (ADVANC, DTAC, TRUE, JAS) หาก JAS สามารถนำ Bank guarantee มาวางได้ภายในเส้นตาย 21 มี.ค.นี้ 3.หาก กนง.ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายวันที่ 23 มี.ค.นี้ตามที่คาดไว้ มองจะเป็นปัจจัยกดดันค่าเงินบาทให้มีการอ่อนค่า และทำให้ Fund Flow ไหลออกในระยะสั้นได้

แนะกลยุทธ์การลงทุน สำหรับผู้ที่ถือหุ้นมาตลอดทาง แนะขายทำกำไรอย่างมีนัยสำคัญเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมที่สุด จากการที่ข่าวดีจะเริ่มหมดลงต่อจากนี้ Valuation ที่อยู่ในระดับสูง และปัจจัยเสี่ยงที่จะเริ่มมากขึ้นในสัปดาห์หน้า

หากจำเป็นต้องลงทุนในช่วงนี้แนะนำหุ้น 3 กลุ่มที่น่าจะแข็งแกร่งกว่าตลาดในช่วงถัดไป ได้แก่กลุ่มหุ้นปันผลสูงที่เตรียมได้ประโยชน์หากมีการลดดอกเบี้ย ได้แก่ TCAP, TISCO, KKP

กลุ่มที่เตรียมได้ Sentiment เชิงบวกจากการปรับโครงสร้างภาษีบุคคลธรรมดา ได้แก่ HMPRO, BIG, COM7, JMART และกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า ได้แก่ KCE, SMT, CPF!!

ขณะที่ บล.เคทีซิมิโก้ มองสัปดาห์นี้ตลาดปรับขึ้น ให้เป้าหมาย 1,412-1,453 จุด แนะทยอยขายทำกำไรหุ้นกลุ่มธนาคาร พลังงาน และเก็งกำไรกลุ่มปิโตรเคมี PTTGC-IRPC รวมถึงหุ้นที่ยังคง Laggard เช่น CPF-DTAC หรือกำไรมี upward revision เช่น AUCT-SINGER-MONO-JASIF-SCN.

อินเด็กซ์ 51