ปตท.พร้อมก้าวข้ามวิกฤติน้ำมัน วางกลยุทธ์บริหารในภาวะการเปลี่ยนแปลง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/593526

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 21 มี.ค. 2559 05:01

 

ปรากฏการณ์ย้อนศรที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อน ว่ากลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และกลุ่มนอกโอเปก ที่เคยชี้เป็นชี้ตายกำหนดราคาขายน้ำดิบในตลาดโลกจะกลับตาลปัตร

กลับกลายเป็นผู้ขาดอำนาจเหนือตลาด เพียงในช่วง 2–3 ปีที่ผ่านมา

เมื่อราคาน้ำมันโลก ได้แปรเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ นับตั้งแต่กลางปี 2557 ที่ราคาเคยสูงแตะ 120 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จนมาถึงเดือน พ.ค.2558 ราคาค่อยๆไหลรูดลดลงมาเรื่อยๆ จนถึงระดับต่ำสุดที่ 26 เหรียญฯต่อบาร์เรล เมื่อเดือน ม.ค.2559

นับเป็นราคาที่ต่ำสุดในรอบหลายสิบปี ก่อนจะค่อยๆปรับตัวขึ้นมายืนอยู่ที่ระดับ 39–40 เหรียญฯ ในเดือน มี.ค.นี้

ราคาน้ำมันที่ลดลง ส่งผลดีให้ประเทศชาติสูญเสียเงินตราในการนำเข้าน้ำมันลดลง ส่งผลให้คนไทยได้ใช้น้ำมันราคาถูกลง ขณะที่บริษัทหรือผู้ประกอบการในธุรกิจน้ำมัน มีทั้งที่ได้รับผลบวกและผลลบจากกรณีดังกล่าวแตกต่างกันไป บางรายประสบปัญหาการขาดทุน ในการดำเนินธุรกิจท่ามกลางความผันผวนของตลาดน้ำมัน บางรายอาจใช้ช่วงเวลานี้ปรับกลยุทธ์องค์กรเพื่อเตรียมตัวเดินหน้าต่อไป ขณะที่บางรายอาจถึงขั้นปิดกิจการ หากไม่สามารถปรับตัวได้ทันท่วงที

“ทีมเศรษฐกิจ” ได้สัมภาษณ์ “เทวินทร์ วงศ์วานิช” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ ปตท. เป็นบริษัทน้ำมันแห่งชาติ ที่ทำธุรกิจตั้งแต่การจัดหา ขุดเจาะ ผลิตและจำหน่าย ครบวงจร รวมทั้งการมีหน้าที่ดูแลผู้บริโภคว่าเขาจะมีแผนยุทธศาสตร์เพื่อบริหารจัดการ นำพาองค์กร ปตท.ไปในทิศทางใด

ในช่วงเวลาที่ไม่มีใครคาดเดาสถานการณ์ราคาน้ำมันได้ในขณะนี้!!!

เห็นแน่ราคาน้ำมัน 60 เหรียญฯ

นายเทวินทร์ เปิดฉากสนทนาว่า ราคาน้ำมันนับจากนี้ไปคงไม่มีใครสามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ เพราะราคาน้ำมันไม่ได้มาจากปัจจัยพื้นฐานเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีเรื่องของเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน เช่น แท่นขุดเจาะน้ำมันระเบิด สงครามในอ่าวเปอร์เซีย การเก็งกำไรและอารมณ์ของตลาดผู้ซื้อผู้ขายเข้ามาเกี่ยวข้อง

ล่าสุด ขณะนี้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก คงจะผ่านพ้นจุดต่ำที่สุดไปแล้ว หลังจากได้เห็นราคาน้ำมันร่วงไปแตะที่ระดับ 25–26 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และล่าสุดเดือน ก.พ.–มี.ค.นี้ก็ค่อยๆขยับไปที่ระดับ 30–40เหรียญฯ

เนื่องจากการผลิตน้ำมันจากเชลออยล์ (Shale Oil) หรือ การผลิตน้ำมันจากหินดินดานของสหรัฐฯ ก็ทยอยลดปริมาณลง ขณะที่โอเปกและนอกโอเปกก็เริ่มหันหน้ามาเจรจากันเพื่อลดกำลังการผลิตน้ำมัน เพื่อควบคุมปริมาณการผลิตให้ใกล้เคียงกับความต้องการบริโภคน้ำมันในตลาดโลก

ทั้งนี้ ยังมีสาเหตุมาจากอิหร่านที่ได้รับยกเว้นการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ ทำให้จะเริ่มส่งออกน้ำมันได้ รวมทั้งเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัว โดยเฉพาะจีนในฐานะผู้ใช้น้ำมันรายใหญ่ของโลก ที่ภาวะเศรษฐกิจในประเทศยังซบเซา ทำให้ลดการนำเข้าน้ำมันลงอย่างต่อเนื่อง

“ผมมองว่า วันนี้เราคงจะไม่เห็นราคาน้ำมันลงดิ่งไปที่ระดับ 20 เหรียญฯอีก แต่จะได้เห็นราคาน้ำมันระดับ 50–60 เหรียญฯ ซึ่งจะเป็นราคาน้ำมันที่ยั่งยืนในระยะ 1–2 ปีข้างหน้า”

นายเทวินทร์กล่าวย้ำว่า นับจากนี้ไปไม่ว่าราคาน้ำมันจะปรับตัวขึ้นไปในระดับเท่าใดหรือลดต่ำลงกว่า 20 เหรียญฯ หรือปรับตัวเกินกว่า 60 เหรียญฯ ในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า ก็จะไม่มีผลกระทบต่อการทำธุรกิจของกลุ่ม ปตท.แต่อย่างใด เพราะ ปตท.ได้ปรับแผนการลงทุนให้มีความยืดหยุ่นไว้ในทุกๆสถานการณ์ ทำไว้แม้กระทั่งราคาน้ำมันดิ่งลงถึง 20 เหรียญฯ แต่เมื่อไปไม่ถึงก็นับว่าเป็นผลดีต่อ ปตท.

อย่างไรก็ตาม ด้วยโครงสร้างของธุรกิจในกลุ่ม ปตท.ที่มีความหลากหลาย และต้นทุนทางการเงินที่ต่ำ จึงมีส่วนสำคัญในการช่วยให้ ปตท.จะสามารถผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปได้ โดยจะเห็นได้จากผลการดำเนินงานปี 2558 ที่ราคาน้ำมันโลกปรับตัวลดลง 47% เมื่อเทียบกับปี 2557 ส่งผลให้รายได้จากการขายของทุกกลุ่มธุรกิจมีจำนวน 2,026,912 ล้านบาท ลดลง 22.2% จากปี 2557 แต่ปริมาณการขายโดยรวมยังเติบโตต่อเนื่อง เพราะเป็นกิจการแบบครบวงจรจากต้นน้ำถึงปลายน้ำ

“กรณีดังกล่าว ได้ทำให้ ปตท.สามารถรักษาศักยภาพการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ รองรับความเสี่ยงได้สูงกว่าหากเปรียบเทียบเฉพาะธุรกิจต้นน้ำหรือปลายน้ำเพียงอย่างเดียว จึงส่งผลให้ ปตท.มีสภาพเงินสดที่คล่องตัว สามารถลงทุนได้อย่างต่อเนื่องและตลอดเวลา”

วางยุทธศาสตร์ R–O–I–C

นายเทวินทร์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ผู้บริหาร ปตท.รุ่นต่อรุ่นที่ผ่านมา ได้ตั้งเป้าหมายให้ ปตท.ติดอันดับท็อป 100 นิตยสารฟอร์จูน ซึ่งถือว่าเราได้ทำสำเร็จแล้ว ที่สามารถพิสูจน์ผลของการทุ่มเทเพื่อทำให้ ปตท. เติบโต ยั่งยืน และแข็งแรง

“เป้าหมายจากนี้ไปคือการทำให้ ปตท.เป็นบริษัทที่มีการสร้างนวัตกรรม และสร้างความเข้มแข็งจากภายใน ภายใต้ยุทธศาสตร์ R-O-I-C การเอาตัวรอดในภาวะราคาน้ำมันผันผวน”

ยุทธศาสตร์ “R” หรือ Rationalization คือการก้าวออกจากธุรกิจที่เราไม่เก่ง และให้ความสำคัญกับสิ่งที่เราเก่ง สามารถทำต่อไปได้โดยมีต้นทุนที่แข่งขันได้ และมีอนาคต จากก่อนหน้านี้ ปตท.กระจายการลงทุนในธุรกิจที่หลากหลาย จึงต้องกลับมาทบทวนว่าพอร์ตการลงทุนอันไหนเป็นจุดอ่อน

สิ่งที่เราทำแล้วเก่ง ทำแล้วประสบความสำเร็จมีอนาคต จะเป็นธุรกิจที่เราต้องให้ความสำคัญและขยายการลงทุนให้ต่อเนื่อง เช่น ธุรกิจกลุ่มน้ำมัน สถานีบริการน้ำมัน ธุรกิจขายปลีก และนอนออยล์ (ธุรกิจเสริมในสถานีบริการน้ำมัน) อาทิ ไก่ทอดเท็กซัส คาเฟ่อเมซอน ก๋วยเตี๋ยวเรือใจดี ที่มีศักยภาพ ซึ่งธุรกิจดังกล่าว จะมีการขยายการลงทุนออกไปให้ครอบคลุมภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่อง

ส่วนธุรกิจที่ ปตท.จะถอนตัวอย่างแน่นอน คือ ธุรกิจสวนปาล์มน้ำมันที่ประเทศอินโดนีเซีย ธุรกิจที่อยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะลงทุนต่อไปหรือยกเลิกลงทุนคือ เหมืองถ่านหินในอินโดนีเซีย แม้ว่าเริ่มมีการขุดถ่านหินไปบ้างแล้ว รวมทั้งเหมืองถ่านหินที่ประเทศบรูไนและมาดากัสการ์ที่ยังไม่ได้ขุดถ่านหิน

“ผมมองว่าราคาถ่านหินโลกจะยืนที่ระดับ 50เหรียญฯ ไปอีกนาน เพราะมีปัจจัยที่ทำให้ราคาไม่เพิ่มขึ้นจากการที่การประชุมโลกร้อนที่ประเทศฝรั่งเศสเมื่อเร็วๆนี้ สมาชิก 196 ประเทศรวมทั้งประเทศไทยได้ยืนยันความตั้งใจที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทำให้ ปตท.ต้องกลับมาทบทวนเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง”

นายเทวินทร์ กล่าวว่า ในส่วนของธุรกิจสำรวจและขุดเจาะปิโตรเลียม ที่บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ.มีการลงทุนสำรวจและผลิตหลายแปลงทั้งในและต่างประเทศ ที่มีทั้งแปลงสำรวจในน้ำลึกและแปลงที่ไกลๆ และบางแปลงเจอปิโตรเลียมแล้ว

หากยังผลิตไม่ได้หรือบางแปลงก็กำลังผลิตอยู่ ก็ต้องมาดูกันว่าที่ต้นทุนสูงก็จะหยุด แต่แปลงปิโตรเลียมที่ประเทศโมซัมบิกจะยังทำต่อ เพราะต้นทุนการผลิตต่ำ และผลิตก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ได้ด้วย จึงต้องใส่เงินเข้าไปลงทุนต่อ และ ปตท.ยังได้เตรียมเงินไว้สำหรับเข้าไปลงทุนในแหล่งปิโตรเลียมที่มีต้นทุนต่ำในทั่วโลกอีกด้วย

สำหรับยุทธศาสตร์ต่อมาคือ “O” หรือ Optimization คือการเพิ่มประสิทธิภาพในทุกธุรกิจที่ทำอยู่ เช่น โรงกลั่นน้ำมันต้องไม่มีการชัตดาวน์ (ปิดการผลิต) ยกเว้นการหยุดซ่อมบำรุงประจำปี แท่นผลิตน้ำมัน หรือโรงแยกก๊าซธรรมชาติต้องทำงานได้เต็มที่

เขาย้ำว่า สิ่งที่เราจะทำคือลดค่าใช้จ่ายโดยการใช้คลังน้ำมัน อุปกรณ์ต่างๆร่วมกันระหว่างธุรกิจของกลุ่ม ปตท. ซึ่งจะมีทั้งการควบรวมกันของบริษัทในเครือ ปตท.หรือการจับมารวมกลุ่มกันใหม่ในกรณีที่มีธุรกิจคล้ายๆหรือใกล้เคียงกัน และจะใช้เทคโนโลยีลดค่าใช้จ่าย ทั้งการลดเงินลงทุน และค่าดำเนินการภายใต้แนวคิด “ลด ละ เลื่อน” เพราะถ้าต้นทุนต่ำกว่าราคาธุรกิจก็จะอยู่รอดได้ และถ้าช่วงใดราคาเพิ่มเราก็ได้กำไร

ยุทธศาสตร์ตัวที่สาม คือ “I” หรือ Integration คือการขยายธุรกิจตลอดสายโซ่ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ เพราะทุกธุรกิจมันมีวัฏจักรขึ้นลง เช่น ตอนที่ราคาน้ำมันถูก ปตท.สผ.ที่เป็นธุรกิจต้นน้ำก็รายได้ลดลง แต่เรามีธุรกิจปลายน้ำคือโรงกลั่นน้ำมันเข้ามาช่วย ทำให้ธุรกิจของ ปตท.มีความหลากหลายปรับตัวได้ตามสถานการณ์

โดยสิ่งที่จะต้องทำต่อไปคือ ธุรกิจอะไรที่เราทำได้ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางเราก็จะทำต่อไป และยังมองหาพันธมิตรการร่วมลงทุนในอนาคตอีกด้วย

นายเทวินทร์ กล่าวถึงยุทธศาสตร์ตัวสุดท้ายคือ “C” หรือ Consolidation หรือการควบรวมธุรกิจที่ซ้ำซ้อนกัน ซึ่งเรื่องนี้อยู่ระหว่างการศึกษาข้อดีข้อเสีย เพื่อลดความซ้ำซ้อนกัน เพื่อลดต้นทุน สร้างมูลค่าเพิ่ม ขยายกำลังการผลิต

“บริษัทในกลุ่ม ปตท.ใดที่มีลักษณะข้างต้นแต่ยังแยกกันอยู่ มีการบริหารจัดการด้วยต้นทุนที่สูง หากนำมารวมกันได้ก็จะรวมกันเพื่อให้กิจการยิ่งใหญ่มากขึ้น เช่น บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) บริษัท พีทีที โกล–บอลเคมีคอล จำกัด (มหาชน) ที่อยู่ในพื้นที่มาบตาพุด จังหวัดระยองด้วยกัน ทำธุรกิจคล้ายๆกัน ใช้โครงสร้างพื้นฐานเดียวกันได้ ก็ต้องพิจารณาว่าหากรวมกันแล้วมีข้อดีข้อเสียอย่างไร เป็นต้น”

ส่วนธุรกิจที่จะเป็นอนาคตและสอดรับกับนโยบายส่งเสริมการลงทุนของรัฐบาล นับจากนี้ไปจะมีทั้งธุรกิจไบโอพลาสติก ธุรกิจเอทานอล โรงไฟฟ้า ไบโอเคมิคอล ที่ ปตท.จะเข้าไปมีส่วนช่วยผลักดันให้เกิดขึ้น

ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานประเทศ

นายเทวินทร์กล่าวต่อไปว่า ระหว่างที่ ปตท.ต้องปรับตัวเพื่อให้สามารถก้าวข้ามวิกฤติราคาน้ำมันไปให้ได้นั้น การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของประเทศไทยก็เป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะโครงการที่สำคัญๆที่อยู่ระหว่างดำเนินการ อาทิ โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติเส้นที่ 5 และคลังสำรองก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี)

สำหรับโครงการท่อส่งก๊าซฯเส้นที่ 5 มีความสำคัญในการสร้างเสถียรภาพด้านการบริหารจัดการก๊าซฯ ระหว่างฝั่งตะวันออกและตะวันตกของประเทศ โดยจะทำให้เกิดโครงข่ายท่อส่งก๊าซฯ ที่รับและส่งถึงได้ในกรณีเกิดปัญหาการหยุดจ่ายก๊าซฯจากแหล่งใดแหล่งหนึ่ง หรือการนำเข้าจากประเทศพม่าทางฝั่งตะวันตก หรือก๊าซฯที่เข้ามาจากจังหวัดระยองในฝั่งตะวันออก ก็จะสามารถบริหารจัดส่งก๊าซฯจากอีกฝั่งไปยังอีกฝั่งได้

ขณะที่โครงการคลังแอลเอ็นจี ที่อยู่ระหว่างการขยายให้มีขนาดจัดเก็บ 10 ล้านตันในพื้นที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง ก็อาจจะยังไม่เพียงพอในระยะยาว ซึ่ง ปตท.พร้อมที่จะลงทุนสร้างขยายคลัง เพื่อเพิ่มศักยภาพในการรองรับแอลเอ็นจีที่จะมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นในอนาคต

“การบริหารจัดการแอลเอ็นจี เป็นเรื่องสำคัญของประเทศในอนาคต เพราะต้องมีการจัดหาในรูปแบบสัญญาระยะสั้น ที่ควรเปิดให้แข่งขันเสรีและในรูปแบบสัญญาระยะยาว ที่ดำเนินการโดย ปตท.ที่มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน ความชำนาญ มีเครือข่ายคู่ค้าที่แข็งแกร่ง เพื่อให้มั่นใจว่า หากเกิดวิกฤติพลังงาน ประเทศไทยจะมีความมั่นคงด้านพลังงาน”

ที่สำคัญการดำเนินการภายใต้หน่วยงานที่มีความพร้อม ในการจัดหาแอลเอ็นจีแบบสัญญาระยะยาว ยังเป็นการหลีกเลี่ยงปัญหาคุณภาพแอลเอ็นจีที่หากจัดมาจากหลายหน่วยงานก็จะมีคุณภาพที่แตกต่างกัน อาจส่งผลให้คุณภาพเชื้อเพลิงที่ด้อยลง และต้นทุนการบริหารจัดการและการซ่อมบำรุงโครงข่ายจัดส่งที่มีราคาแพง

*********
นายเทวินทร์กล่าวย้ำว่า ในปีนี้ ปตท.จะยังไม่เน้นมองไปที่เป้าหมายกำไร ขาดทุน เพราะไม่ต้องการชี้นำตลาด แต่ยืนยันว่าเรามีเงินสดในงบรวมกว่า 239,000 ล้านบาท ที่สามารถใช้บริหารจัดการทั้งการลงทุนท่อส่งก๊าซฯ คลังแอลเอ็นจี การซื้อกิจการใหม่ๆได้อย่างไม่มีปัญหา

“เพราะในขณะนี้ บริษัทพลังงานหลายแห่งราคาหุ้นลดลงไปมาก ผมจึงกล้าการันตีว่า แม้ว่าราคาน้ำมันลดลงต่ำกว่า 20 เหรียญฯ ปตท.ก็จะฟันฝ่าวิกฤติไปได้ และยุทธศาสตร์ R-O-I-C คือโอสถทิพย์ที่จะเป็นเข็มทิศบอกได้ว่าปตท.จะถอยจากการลงทุนหรือเดินหน้าลงทุนอะไร ในระยะ 1-2 ปีข้างหน้านี้”

เขาทิ้งท้ายอีกว่าระยะเวลาที่เหลืออยู่ในตำแหน่งแม่ทัพองค์กรที่มีธรรมาภิบาลแห่งนี้อีก 3 ปีข้างหน้านั้น “ปตท.จะต้องอยู่รอด เข้มแข็ง เติบโตอย่างยั่งยืน”.

ทีมเศรษฐกิจ

Leave a comment