ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
http://www.thairath.co.th/content/592680
โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 19 มี.ค. 2559 05:01

เมื่อเร็วๆนี้ “พี่ปุ๊” สมทรง สัจจาภิมุข รองประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และ ผจก.ทั่วไปบริษัท เอส.เอส.แทรเวิลเซอร์วิส เอ่ยปากชวนไปเที่ยวสิกขิม
และดาร์จีลิ่ง ในทริป “DESTINATION EAST” ครั้งที่ 6 ที่สมาพันธ์อุตสาหกรรมอินเดีย (CII) และรัฐเบงกอลตะวันตก จัดขึ้น เพื่อโปรโมตการท่องเที่ยวของอินเดีย
สตาร์ตจุดแรกกันที่กัลกัตตา หรือโกล–กาตา เมืองหลวงเก่าของอินเดีย และเป็นเมืองแรกที่อังกฤษเข้ายึดครองอินเดีย จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมถนนทุกสายและสถาปัตยกรรมในเมืองนี้จึงยังคงมีกลิ่นอายของฝรั่งเมืองผู้ดีติดๆอยู่กับกลิ่นแขกๆของคนอินเดียในปัจจุบัน
คืนแรกในกัลกัตตา นอนหลับๆตื่นๆด้วยเสียงแตรรถที่ไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าไหร่นัก วันรุ่งขึ้นจึงออกเดินทางต่อไปยังเมืองดาร์จีลิ่ง โดยเครื่องบินภายในประเทศ เพื่อไปลงที่สนามบินบักโดกรา ก่อนนั่งรถไต่ระดับขึ้นไปยังเมืองตากอากาศบนยอดเขาสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 2,134 เมตรที่ซึ่งนักล่าอาณานิคมอังกฤษชื่นชอบและขนานนามว่าเป็น “ราชินีแห่งขุนเขา” (The Queen of Hills)
รถยนต์ขนาดเล็กพาพวกเราเดินทางขับลัดเลาะไปตามไหล่เขาสูงชัน สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นสน ต้นสักขนาดใหญ่ และที่น่าตื่นตาตื่นใจเห็นจะเป็นไร่ชาเขียวขจีที่ไกลสุดลูกหูลูกตา
ระหว่างการเดินทางอันยาวนานในอินเดีย ซึ่งถนนแคบ และรถก็สามารถวิ่งได้ด้วยความเร็วจำกัด การแวะเที่ยวและพักไปด้วยระหว่างทางจึงเป็นเหมือนเทคนิคของการท่องเที่ยวในอินเดียที่ทำให้ไม่เบื่อและไม่เหนื่อยจนเกินไปนัก
ระหว่างทางเราแวะเที่ยวชม วัดกูม (Ghoom Monas– tery) ซึ่งเป็นวัดพุทธแบบวัชร–ยานอันเก่าแก่ของดาร์จีลิ่ง เสียงบทสวดมนต์ของพระทิเบต คลอเคล้าด้วยเสียงดนตรี ที่ฟังแล้วทำให้ใจสงบ นิ่ง และเย็นกว่าที่คิด
กระดิ่ง หรือระฆังขนาดเล็ก “ฉื่อโป” ฉิ่งฉาบ กลองเล็กรัวถี่ และแตรยาวที่เป่าสลับกับจังหวะของการสวดมนต์ในแต่ละท่อน ด้วยลีลาหนักเบา เร่ง ช้า อย่างลงตัว เป็นอีกประสบการณ์หนึ่งที่น่าประทับใจ และทำให้เห็นว่าธรรมะและการสวดมนต์บางทีก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าเบื่อเสมอไป

ออกจาก วัดกูม เราเดินทางต่อเป้าหมายอยู่ที่ไร่ชาในดาร์จีลิ่ง เมืองตากอากาศของพวกอังกฤษ ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการปลูกชาซึ่งฝรั่งนำมาเผยแพร่ให้แขกทำส่งไปขายในยุโรป ตลอดเส้นทางเรียกว่าถ้าไม่หลับก็มีลุ้น เพราะรถที่แล่นสวนไปสวนมาเป็นระยะชวนให้หวาดเสียว
เท่านั้นยังไม่พอ นอกจากรถยนต์แล้ว บางทียังมีรถไฟขบวนเล็ก “Toy Train” หรือ Darjeeling Himalayan Railway ซึ่งเป็นรถไฟหัวจักรไอน้ำสมัยอังกฤษเข้ามายึดครอง วิ่งสวนไปมาให้ทึ่งอีกต่างหาก
หลับๆตื่นราว 4-5 ชั่วโมงเราก็มาถึงที่พัก Mayfair รีสอร์ต…รีสอร์ต 5 ดาว กลางหุบเขาสูง ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นราว 4 องศา ที่ต้องถือว่าคุ้มค่ากับการเดินทางอันยาวนาน เพราะบรรยากาศแบบนี้ไม่ใช่ใครก็จะมาได้ง่ายๆ
อากาศที่หนาวเย็นชวนให้ร่างกายที่อ่อนล้าเรียกร้องหาที่นอนอันอ่อนนุ่ม คืนแรกบนยอดเขาสูง พวกเราส่วนใหญ่จึงเข้านอนกันตั้งแต่หัวค่ำด้วยความอ่อนเพลีย ที่สำคัญ พรุ่งนี้เช้าเราต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่เพื่อไปรอชมแสงแรกของดวงอาทิตย์สะท้อนกับยอดเขาคันเช็งจุงก้า ที่ไทเกอร์ฮิลล์ ซึ่งถือว่าเป็นไฮไลต์ของทริปนี้
โชคของพวกเราไม่ค่อยดีนัก ที่วันนี้ดินฟ้าอากาศไม่เป็นใจ ม่านหมอกหนาทึบปกคลุมท้องฟ้าตั้งแต่เช้ามืด เราจึงได้เห็นเพียงดวงอาทิตย์สีส้มผลุบโผล่ขึ้นมาแบบขมุกขมัว โดยมียอดเขาคันเช็งจุงก้า ภูเขาสูงอันดับ 3 ของโลกที่มองเห็นอย่างเลือนรางเป็นฉากหลัง
หลังชมพระอาทิตย์ที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยเต็มใจให้เราได้เห็นอย่างเต็มตานักแล้ว ช่วงสายๆเราเดินทางต่อไปยังไร่ชา Glenburn Tea Estate ซึ่งเป็นแหล่งผลิตชาชื่อดังในแถบชานเมืองดาร์จีลิ่ง
เป็นครั้งแรกของเราที่ได้มีโอกาสจิบชารสเลิศ นุ่มนวลทั้งกลิ่นและรส พร้อมชมกระบวนการผลิตชาตั้งแต่การปลูก บ่มใบชา จนมาเป็นชาชั้นดีให้เราดื่มและส่งไปขายไกลถึงอังกฤษและอีกหลายประเทศในยุโรป โดยที่นี่ถือได้ว่าเป็นแหล่งปลูกชาที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก…เลยทีเดียว

หลังจากอังกฤษได้บุกเบิกนำชาอู่หลงจากจีนมาทดลองปลูกจนมีคุณภาพทัดเทียมทั้งคิดค้นกรรมวิธีจนเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวแล้ว จนอินเดียเป็นผู้ผลิตและส่งออกชารายใหญ่แห่งหนึ่งของโลก
จิบชาแบบผู้ดีกันแล้วก็ได้เวลาเดินทางต่อไปยัง เมืองกังต็อก รัฐสิกขิม ที่ถือว่าเป็นดินแดนในอ้อมกอดของภูเขาหิมาลัยอย่างแท้จริง
กังต็อก เมืองเล็กๆทางตอนเหนือของอินเดียมีชายแดนติดกับทิเบต เนปาลและภูฏาน เราใช้เวลาเกือบครึ่งวันเพื่อเดินทางมาที่นี่ ระหว่างทางต้องผ่านด่านเข้าเมืองของรัฐสิกขิม ที่เรียกว่า ด่านรังโป เพื่อทำเอกสารผ่านแดน กว่าจะถึงโรงแรมที่พักที่ชื่อว่า Terrace Valley Hotel ในเมืองกังต็อกก็ใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว
อรุณสวัสดิ์สิกขิมด้วยอาหารเช้าแบบจีนปนแขก ก่อนเดินทางไปยัง วัดรุมเต็ก (Rumtek Monastery) วัดศาสนาพุทธที่ใหญ่ที่สุดในสิกขิม ตั้งอยู่บนเนินเขาสูง 1,550 เมตร ห่างจากตัวเมืองกังต็อกประมาณ 24 กิโลเมตร
วัดแห่งนี้เป็นที่ตั้งของ Dharma Chakra Center หรือ ศูนย์ธรรมจักร ซึ่งเป็นศูนย์กลางเผยแผ่พระพุทธศาสนาในช่วงศตวรรษที่ 9 และเสื่อมลงเรื่อยๆ จนมาถึงสมัยพระสังฆราชการ์มาปาที่ 16 ซึ่งลี้ภัยมาจากทิเบตเพราะถูกจีนเข้ายึดครองได้บูรณะวัดแห่งนี้ขึ้นมาใหม่กระทั่งแล้วเสร็จเมื่อปี 1966

ปัจจุบันนอกจากเป็นศูนย์รวมใจของชาวพุทธในเมืองกังต็อกแล้ว ที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของ Karma Shri Nalanda สถาบันการศึกษาพระพุทธศาสนาชั้นสูงอีกด้วย
จากวัดรุมเต็กเราเดินทางต่อไปยัง ทิเบตโทโลยี่ Tibetology อาคารพิพิธภัณฑ์ สถาปัตยกรรมแบบทิเบต ซึ่งเป็นที่เก็บโบราณวัตถุล้ำค่า เช่น พระพุทธรูป
ภาพพุทธประวัติ หรือภาพ “ทังก้า” (Thangka) ที่หาดู ได้ยากอีกแห่งหนึ่ง จากนั้นเที่ยวชม (สถูปดุ๊ดดุล โชดเต็น) Do-Drul Choten ที่อยู่ใกล้ๆกัน องค์สถูปรายล้อมด้วยระฆังมนตรา ที่จารึกคาถาโอม มณี ปัทเมหุมเอาไว้
ช่วงเย็นๆมีโอกาสเดินทอดน่องท้าลมหนาวที่ถนนคนเดิน มหาตมะคานธี มาร์ก (Mahatma Gandhi Road) หรือถนนเอ็มจีมาร์ก เมืองสิกขิม คล้ายถนนคนเดินในบ้านเราที่มีชาวบ้านเอาสินค้าพื้นเมืองมาขายเป็นของฝากติดไม้ติดมือที่ราคาไม่แพงมากนัก
ขากลับจากสิกขิม ผ่านดาร์จีลิ่ง เราทอดสายตามองกลับขึ้นไปยังเมืองบนยอดเขา ความรู้สึกยามนี้เหมือนกำลังอยู่ในอ้อมกอดมนตรา…
เป็นมนตราแห่งรัก และความสงบ…ที่ยิ่งใหญ่ในหัวใจเหลือเกิน…


