ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160324/224621.html
‘กรธ.’สนอง‘คสช.’ไม่ถึงครึ่งทาง : อรรถยุทธ บุตรศรีภูมิรายงาน/ทีมข่าวสืบสวนสอบสวน
ผลการพิจารณาของกรรมการร่างรัฐธรรมนูญต่อข้อเสนอของแม่น้ำ 4 สายที่มี คสช. เป็นสายหลัก นั้น ไม่ได้ออกมาโต้งๆ ชนิดว่า ทำตามหรือไม่ทำตาม? หากแต่ “มีชัย ฤชุพันธุ์” ได้ไว้ลายประสาปรมาจารย์ด้านกฎหมาย คิดค้นคำตอบและวิธีการที่ซับซ้อน จนเกิดคำถามว่าสุดท้ายแล้ว คสช. ได้หรือเสีย กันแน่…???
ที่แน่ๆ คือ คสช. ไม่ได้ทั้งหมดอย่างที่ปรารถนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเราตั้งโจทย์ว่าสิ่งที่ร้องขอมานั้นเป็นความต้องการของ คสช.จริงๆ ก็ยิ่งตอบได้ชัดว่าพวกเขาเสียมากกว่าได้
เรื่องแรกที่พวกเขาไม่ได้แน่นอนคือ เรื่องระบบเลือกตั้ง ตามร่างเดิมของกรรมการร่างรัฐธรรมนูญนั้น ให้ใช้ระบบเลือกตั้งแบบ แบ่งเขตเป็นเขตเล็ก เขตละหนึ่งคน และใช้ บัตรใบเดียว ทั้งการเลือกแบบแบ่งเขตและแบบบัญชีรายชื่อ
โดยพวกเขาให้เหตุผลว่าไม่สามารถเข้ากับหลักการกรรมการร่างรัฐธรรมนูญวางเอาไว้ในร่างรัฐธรรมนูญได้…!!!
ส่วนประการต่อมาที่ค่อนข้างซับซ้อนจนต้องมีการตีความว่าได้หรือไม่ได้คือเรื่อง สมาชิกวุฒิสภาหรือ ส.ว. ข้อเสนอของ คสช. นั้นแบ่งได้เป็นสองประการคือ 1.ที่มา และ 2.อำนาจ
ในส่วนของที่มานั้น คสช. ต้องการให้ช่วงเปลี่ยนผ่าน 5 ปี มี ส.ว.ที่มาจากการสรรหา จำนวน 250 คน จากเดิมที่กรรมการร่างรัฐธรรมนูญกำหนดว่า ส.ว. มี 200 คน และมาจากการเลือกไขว้กันเองในกลุ่ม นอกจากนี้สิ่งที่ คสช. ขอมาคือการกำหนดให้ ผบ.เหล่าทัพ ทั้ง 6 เป็น ส.ว. โดยตำแหน่ง
ซึ่งในส่วนของที่มานั้น สิ่งที่ได้คือ ยอมให้ ส.ว. ในช่วงแรกนี้ที่มีวาระ 5 ปี นั้น กรธ.ยอมให้มีการสรรหา ก็จริง แต่ขอก็ให้มีจำนวนเพียง 200 คน ส่วนอีก 50 คน พวกเขาขอให้ลองใช้ระบบเลือกไขว้กันเองในกลุ่มอาชีพภายใต้ชื่อเรียกใหม่ว่า “สภาพลเมือง” เพื่อให้เป็นการทดลองใช้ระบบที่ กรธ. คิดออกแบบ และเปิดทางให้ ผบ.เหล่าทัพสามารถเป็น ส.ว.ได้
หากคิดแค่เปลาะนี้อาจนึกว่า คสช. ได้ตามที่ขอ…???
แต่อย่างที่เกริ่นไว้ตั้งแต่ต้น ว่าเรื่อง ส.ว.นั้นมีสองประเด็น ที่มีความสัมพันธ์กัน ที่มาจะไร้ความหมายหากอำนาจหน้าที่ไม่เป็นไปตามที่หวัง
ในเรื่องอำนาจหน้าที่นั้น คสช.ขอมาสามประเด็นคือ 1.พิทักษ์รัฐธรรมนูญ 2.ดูแลขับเคลื่อนการปฏิรูป และ 3.การอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งอำนาจที่ กรธ. ยอมให้มีคือ เรื่องการขับเคลื่อนการปฏิรูปเท่านั้น ส่วนอำนาจในการอภิปรายไม่ไว้วางใจหรืออำนาจในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญนั้น พวกเขาจะไม่ยอมบัญญัติเอาไว้
โดยสองอำนาจที่ไม่ยอมบัญญัติให้เหตุผลว่า การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไม่จำเป็นต้องเขียนไว้ เพราะบัญญัติไว้ในหมวดที่ว่าด้วยการแก้รัฐธรรมนูญอยู่แล้ว ส่วนอำนาจในการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ไม่ให้ก็เพราะเป็นหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎร
เรียกได้ว่าพวกเขาให้เฉพาะอำนาจหน้าที่ในการขับเคลื่อนการปฏิรูป ตามที่ใช้เป็นเหตุผลที่จะอยู่ในระยะเปลี่ยนผ่าน…???
อย่างไรก็ตามหากมาดูเจตนาที่แท้จริงแล้ว คสช. น่าที่จะอยากให้อำนาจในการอภิปรายไม่ไว้วางใจกับ ส.ว.มากกว่า เพราะอำนาจหน้าที่นี้จะส่งผลอย่างสูงถึงการเมืองในอนาคต กล่าวคืออำนาจนี้ย่อมหมายถึงการลงมติไม่ไว้วางใจ และหมายถึงการล้มรัฐบาล
ซึ่งหากได้จริง ส.ว. จะกลายเป็นเสียงหลักในการตรวจสอบรัฐบาลที่จะมาจากการเลือกตั้ง พวกเขาจะกลายเป็นพรรคการเมืองที่ใหญ่ที่สุดในสภา หากโหวตไปในทางใดก็ย่อมจะเป็นไปได้ทั้งอุ้มรัฐบาล หรือคว่ำรัฐบาล…???
ยิ่งไปกว่านั้นในอีกทางหากต้องการตั้งรัฐบาลก็ต้องมีเสียงสนับสนุนไม่น้อยกว่า 375 เสียง หากหวังจะตั้งรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ และเงื่อนไขเสียงขนาดนี้จะใช้เฉพาะกับพรรคที่มีมุมความเห็นตรงข้ามกับกลุ่ม ส.ว. หรือเอาให้ชัดคือตรงข้ามกับกลุ่มที่สรรหา ส.ว. นั้นเอง
เมื่ออำนาจหลักที่ต้องการถูกตัดทิ้งไป ที่มาของ ส.ว. จะเป็นอย่างไรก็อาจไม่ใช่สาระที่พวกเขาต้องการอีกต่อไป ดังนั้นเราอาจฟันธงไปได้ชัดๆ ว่าเรื่อง ส.ว.นี้ คสช.เสียมากกว่าได้..!!!
และเรื่องสุดท้ายเรื่องงดเว้นการใช้ “บัญชีนายกฯ” ซึ่งถูกจับตาว่านี่เป็นการเปิดทางให้ “ไอ้โม่ง” มาเป็นนายกฯ คนนอก
หากฟังเผินๆ ก็เหมือนกับ กรธ. ยอมลงให้แก่ คสช. เพราะมีการเปิดทางเอาไว้แบบมีเงื่อนไข โดยให้ รัฐสภา (ส.ส.+ส.ว.) สามารถร่วมโหวตได้ว่า จะให้มีนายกฯ นอกบัญชีหรือไม่..?
แต่หากไปดูในรายละเอียดแล้วจะเห็นว่าเป็นการให้แบบมีเงื่อนไขชนิดที่เรียกว่า ยากสุดๆ กล่าวคือ อำนาจในการเลือกนายกฯ ยังคงเป็นของสภาผู้แทนราษฎร และให้ สภา ส.ส. เดินหน้าเลือกนายกฯ ที่มาจากบัญชีที่พรรคการเมืองเสนอ
กระบวนการงดเว้นการใช้บัญชีนายกฯ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อกระบวนการเลือกปกติดำเนินการไม่ได้ หรือเรียกว่าเลือกไม่ได้จนถึงทางตัน ก็จะให้อำนาจในการเรียกประชุมรัฐสภา โดยต้องใช้เสียง ส.ส. กึ่งหนึ่งในการขอเปิดประชุมรัฐสภา กล่าวคือต้องใช้เสียงถึง 250 จาก 500 เสียง ถึงจะสามารถเปิดประชุมรัฐสภาได้
เมื่อเปิดประชุมรัฐสภาเพื่อขอรับรองในหลักการเลือกนายกฯ นอกบัญชี การจะรับรองหลักการนี้ก็ต้องใช้เสียง 2 ใน 3 หรือ 500 เสียง จาก 750 เสียง เรียกได้ว่าเป็นไปได้ยากมาก เพราะหมายถึงแม้จะมี ส.ว. ที่เห็นไปในทางเดียวกันทั้งหมด ก็ต้องหาเสียงจากสภาล่างอีกครึ่งหนึ่ง
เรียกว่าโอกาสเกิดขึ้นยากมาก ถ้าไม่มี “อำนาจพิเศษ” มาจัดสรรให้ แต่หากมีก็ไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นไม่ได้…!!!
ดังนั้น ข้อนี้จึงอาจมองทั้งแบบที่เรียกว่า กรธ.ยอมแบบมีเงื่อนไข หรือ กรธ.ไม่ยอมแบบมีเงื่อนไข ก็ได้ทั้งนั้น
คำถามคือ คสช. จะพอใจกับสิ่งที่ กรธ.ให้มาหรือไม่ หากเราคิดว่าข้อเสนอที่เขายื่นมานั้นเป็นความต้องการจริงๆ ก็บอกได้เลยว่า สิ่งที่ได้รับการตอบสนองนั้นไม่เพียงพอกับความต้องการ โดยเฉพาะกับเหตุผลที่เรียกว่า “อยู่ในระยะเปลี่ยนผ่าน”
และมีความเป็นไปได้สูงว่าพวกเขาจะไม่พอใจเอามากๆ กับการกระทำของ “มีชัยและคณะ” จนน่าสงสัยว่าสิ่งที่เขาจะทำต่อไปคืออะไร ระหว่างทำหนังสือมาเรื่อยๆ จนกว่าจะได้รับการตอบสนองอย่างที่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เคยระบุไว้
หรือสุดท้าย คสช. ก็ปล่อยให้ประชามติเป็นไปตามยถากรรม ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็ไม่แปลกหากร่างรัฐธรรมนูญจะถูกคว่ำในชั้นประชามติ
แต่ทั้งหมดต้องย้ำว่าอยู่บนฐานคิดที่ว่า สิ่งที่ คสช.เสนอแก้ไขมานั้นเป็นความต้องการจริงๆ ของพวกเขา น่าติดตามยิ่งนักว่าการเมืองบนร่างรัฐธรรมนูญจะเดินหน้าไปในทางใด…!!!
จดหมายจากแนวหน้า
ถึงแม้ว่าจะมีการหารือร่วมกันระหว่าง นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กับนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญแล้ว นายวิษณุแสดงท่าทีพอใจต่อการที่กรรมการยกร่างฯ ยินยอมตามข้อเสนอของ คสช.ให้มีวุฒิสภามาจากการสรรหา 200 คน และมาจากการเลือกตั้งตั้งทางอ้อมอีก 50 คน
แต่เงื่อนไขที่จะให้มีวุฒิสภามาจากข้าราชการได้ 2.5% นั้น อาจจะไม่ตรงกับความต้องการ คสช.เท่าใดนัก จึงมีความเป็นไปได้ว่า คสช.อาจจะต้องยื่นความต้องการไปให้กรรมการยกร่างฯ อีกครั้ง
ดูได้จากการให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม และในฐานะรองหัวหน้า คสช. ผู้ซึ่งพูดถึงความต้องการของ คสช.ในเรื่องนี้คนแรกว่า เพื่อให้การปฏิรูปประเทศเดินไปตามกรอบ
เพราะสิ่งที่ คสช.ต้องการนั้น พล.อ.ประวิตรพูดชัดเจนว่า ต้องการให้ผู้บัญชาการเหล่าทัพรวม 6 คนเป็นวุฒิสภา ไม่ได้บอกว่า “ข้าราชการ” ซึ่งหมายถึงข้าราชการทั่วไป ที่อาจไม่ใช่ผู้บัญชาการเหล่าทัพก็ได้
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวจาก คสช.บอกว่า รัฐบาล คสช. สปช. และ สปท. ยังต้องหารือกันก่อน หลังจากกรรมการร่างรัฐธรรมนูญขอพบกันครึ่งทางด้วยการเพิ่มบทเฉพาะกาลดังกล่าว
โดยต้องรอ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.กลับมาจากประเทศจีนเพื่อนัดหมายหารือกันอีกครั้ง
แม้จะเหลือเวลาไม่มากนักสำหรับการร่างรัฐธรรมนูญ แต่ท่าทีของ คสช.นั้นชัดเจนว่า ยังคงมีเวลามากพอที่จะให้มีการแก้ไข มีเวลามากพอที่กรรมการร่างรัฐธรรมนูญจะกลับไปไตร่ตรองให้รอบครอบ
นั่นก็หมายความว่า จะต้องมีจดหมายจากแนวหน้าส่งกลับไปหากรรมการร่างรัฐธรรมนูญอีกครั้ง!
“การร่างรัฐธรรมนูญมีความสำคัญมาก แต่เรื่องนี้ยังไม่ตกผลึก เป็นเพียงเสนอแนวทางกันเท่านั้น คงจะมีการปรับปรุงอีกครั้ง และคาดว่าจะเรียบร้อยภายในสิ้นเดือนนี้” แหล่งข่าวจาก คสช.ย้ำ
และเมื่อนำกลับไปแก้ไขใหม่แล้ว กรรมการร่างรัฐธรรมนูญก็จะต้องนำมาเสนอให้คณะรัฐมนตรีและคสช.ดูรายละเอียดอีกครั้ง ซึ่งเป็นไปตามหลักการ
“ร่างรัฐธรรมนูญยังไม่เรียบร้อย คงต้องรอดูความชัดเจนก่อน แต่การที่ คสช.เสนอไปที่กรรมการร่างรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการขอให้เพิ่มบทเฉพาะกาลให้มี ส.ว.สรรหา 250 คน คสช.ไม่ได้หวังสืบทอดอำนาจ แต่เพื่อเป็นหลักประกันในการเดินหน้าปฏิรูปประเทศ และ สว.ที่มาทำหน้าที่ก็อยู่แค่ 5 ปี เท่านั้น”
คสช.ย้ำว่า ที่ทำเช่นนี้ก็เพราะมองในเรื่องความมั่นคงและความสงบสุขของบ้านเมืองเป็นหลัก ต้องการแก้ไขปัญหาความวุ่นวายในอดีต และวางรากฐานอนาคตของประเทศให้มีความยั่งยืน ความมีศักดิ์ศรีของประเทศชาติต่อสังคมโลก ที่เป็นเรื่องสำคัญ
แต่จะเดินหน้าไปไม่ได้เลย หากยังคงปล่อยให้ปัญหาที่เคยเกิดขึ้นและสั่งสมมาในอดีต ถูกซุกอยู่ใต้พรม แล้วปะทุขึ้นมาอีกครั้งเมื่อนักการเมืองกลับเข้ามาบริหารประเทศ
ประสบการณ์ที่ผ่านมาเห็นได้ชัดเจนว่า นักการเมืองเมื่อเข้ามาแล้วก็ไม่ได้มาแก้ปัญหา แต่กลับสร้างปัญหาใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น จนสุดท้ายประเทศก็ถูกม้วนกลับไปสู่วงจรอุบาทว์เหมือนที่เคยเกิดขึ้น
นั่นย่อมหมายความว่า “การพบกันครึ่งทาง” อย่างที่กรรมการร่างรัฐธรรมนูญได้ยอมรับเงื่อนไขบางส่วนของ คสช.นั้น จะยังไม่ใช่ข้อยุติ
ยังต้องมี “จดหมายน้อยจาก คสช.” กลับไปอีกครั้ง เพื่อให้ชัดเจน เพื่อเป็นการรับประกันว่า สิ่งที่ คสช.ร้องขอนั้นจำเป็นจริงๆ
คำถามก็คือ จะมีจดหมายน้อยจากแนวหน้าส่งถึงกันได้กี่ครั้ง?
