ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน
http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05085151058&srcday=2015-10-15&search=no
| วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 28 ฉบับที่ 609 |
เทคโนปศุสัตว์
ธนสิทธิ์ เหล่าประเสริฐ
ต้นกล้วยหมัก 5 วัน สูตรลดต้นทุน แม่ไก่อารมณ์ดี
เพราะต้องการช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบความเดือดร้อนจากการระบาดของโรคไข้หวัดนก ที่เกิดขึ้นในปี 2547 ของสำนักงานปศุสัตว์อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย นำโดย นายศักดิ์สิทธิ์ ทิพยธร ปศุสัตว์อำเภอศรีเชียงใหม่ จึงเป็นที่มาของการพัฒนาระบบการเลี้ยงไก่ไข่ของเกษตรกรรายย่อยในพื้นที่
“ในช่วงที่พบการระบาดของโรคไข้หวัดนก ได้มีการทำลายไก่ที่เกษตรกรเลี้ยงไปจำนวนหนึ่ง อีกทั้งยังพบว่า สภาพการเลี้ยงสัตว์ปีกเดิมในพื้นที่นั้น เป็นการเลี้ยงปล่อยหลังบ้าน ไม่มีความปลอดภัยทางชีวภาพ” ปศุสัตว์อำเภอศรีเชียงใหม่ กล่าวถึงสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น
การหาแก้ไขปัญหา เพื่อให้เกษตรกรสามารถกลับมาเลี้ยงไก่ได้อีกครั้ง จึงเป็นบทบาทสำคัญของสำนักงานปศุสัตว์ศรีเชียงใหม่
โดยสิ่งที่ปศุสัตว์อำเภอศรีเชียงใหม่ได้เริ่มดำเนินการคือ การส่งเสริมให้เกษตรกรรายย่อยปรับเปลี่ยนการเลี้ยง เพื่อลดความเสี่ยงจากโรคระบาด รวมถึงส่งเสริมการทำวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันโรค ตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา
แต่ที่สำคัญอีกประการคือ การริเริ่มส่งเสริมให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนระบบการเลี้ยง โดยเฉพาะในส่วนของไก่ไข่ จากเดิมที่เคยเน้นการเลี้ยงบนกรงตับ มาเป็นระบบการปล่อยอิสระ และเน้นการใช้วัตถุดิบท้องถิ่นเป็นอาหารสัตว์ เพื่อลดต้นทุนในการเลี้ยง
การเลี้ยงไก่ไข่แบบปล่อยอิสระ หรือที่ปศุสัตว์อำเภอศรีเชียงใหม่เรียกว่า การเลี้ยงแม่ไก่อารมณ์ดี ได้กลายเป็นรูปแบบการเลี้ยงที่ได้รับความสนใจจากเกษตรกรในพื้นที่เป็นอย่างมาก โดยเมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานปศุสัตว์อำเภอศรีเชียงใหม่ได้เปิดศูนย์การเรียนรู้เลี้ยงไก่ไข่โร้ดไทย แบบปล่อยอิสระหรือไก่ไข่อารมณ์ดีขึ้น ที่บ้าน นางประสิทธิ์ ปากวิเศษ บ้านดงบัง ตำบลหนองปลาปาก อำเภอศรีเชียงใหม่ โดยมี นายไพฑูรย์ จิตต์สุทธิผล นายอำเภอศรีเชียงใหม่ เป็นประธานในพิธีเปิด
นายศักดิ์สิทธิ์ ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการศึกษาพบว่า ไก่ไข่แบบเลี้ยงปล่อย และใช้อาหารสัตว์ในท้องถิ่น ที่ดำเนินการนั้น สามารถสร้างผลผลิตที่พึงพอใจของเกษตรกรรายย่อย เนื่องจากลดต้นทุนด้านโรงเรือน อุปกรณ์จากวัสดุที่หาได้ในท้องถิ่น ต้องป้องกันสัตว์พาหะได้ มีพื้นที่ปล่อยลานแบบอิสระ แม่ไก่มีความสุข สามารถให้ไข่ได้ มาตรฐานและปลอดสารตกค้าง เกษตรกรมีไข่ไว้บริโภคในครัวเรือน เหลือบริโภคสามารถจำหน่ายในชุมชน ที่สำคัญสามารถผลิตและกระจายพันธุ์ลูกไก่ไข่พันธุ์แท้ได้ในพื้นที่
เลี้ยงอย่างไร
สำหรับสายพันธุ์ไก่ไข่ที่ส่งเสริมให้เกษตรกรเลี้ยง เป็นไก่ที่เรียกว่า พันธุ์โร้ดไทย โดยเป็นหนึ่งในสายพันธุ์ไก่ไข่ที่กรมปศุสัตว์ได้ดำเนินการปรับปรุงสายพันธุ์ขึ้น
ทั้งนี้ ปศุสัตว์อำเภอศรีเชียงใหม่ กล่าวว่า สำหรับไก่ไข่พันธุ์โร้ดไทย เมื่อเริ่มต้นโครงการนั้นได้รับการสนับสนุนพันธุ์ไก่ไข่จากศูนย์วิจัยและบำรุงพันธุ์สัตว์ท่าพระ จังหวัดขอนแก่น ครั้งแรก 700 ตัว
ปัจจุบัน ทางปศุสัตว์อำเภอศรีเชียงใหม่สามารถผลิตพันธุ์ไก่ได้เอง และแจกจ่ายให้แก่เกษตรกรในพื้นที่อำเภอศรีเชียงใหม่ 4 ตำบล ไปแล้วประมาณ 2,000 ตัว
นอกจากนี้ เกษตรกรที่ได้รับการส่งเสริมให้เข้าร่วมโครงการกับสำนักงานปศุสัตว์อำเภอศรีเชียงใหม่ จะต้องผ่านการตรวจประเมินฟาร์มปรับระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ หรือฟาร์มปลอดโรคเสียก่อน
สำหรับรูปแบบโรงเรือนที่เลี้ยง จะเน้นการสร้าง โดยใช้วัสดุที่หาได้ง่ายในพื้นที่ เพื่อลดต้นทุนการก่อสร้าง
“เราจะเน้นว่า เกษตรกรทุกรายจัดทำโรงเรือนเลี้ยงขึ้นเอง โดยใช้วัสดุในท้องถิ่น ใช้พื้นที่ 5 ตัว ต่อตารางเมตร รอบโรงเรือนมีพื้นที่ปล่อยลานแบบอิสระ 10-15 ตารางเมตร ต่อตัว มีรั้วสามารถป้องกันศัตรูและสัตว์พาหะได้” นายศักดิ์สิทธิ์ กล่าว
ในส่วนของอัตราการปล่อยเลี้ยง ปศุสัตว์อำเภอศรีเชียงใหม่แนะนำว่า ควรปล่อยเลี้ยงในอัตรา เพศผู้ 1 ตัว ต่อเพศเมีย 5 ตัว
“เกษตรกรที่ได้รับการส่งเสริมจะได้รับมอบลูกไก่ไข่โร้ดไทย คละเพศ อายุ 7-10 วัน รายละ 30-50 ตัว เมื่ออายุประมาณ 2 เดือน คัดเพศผู้ออก โดยให้เหลือ เพศผู้ : เพศเมีย ในอัตราส่วน 1 : 5”
โดยแม่ไก่จะเริ่มให้ไข่ฟองแรก เมื่ออายุ 4 เดือน 6 วัน
อีกสิ่งที่สำคัญและเน้นย้ำคือ การทำวัคซีนป้องกันโรคระบาดที่สำคัญในไก่ไข่ และการถ่ายพยาธิโดยปศุสัตว์อำเภอศรีเชียงใหม่บอกว่า จะเน้นให้เกษตรกรทำวัคซีนป้องกันตามโปรมแกรมที่กรมปศุสัตว์กำหนดอย่างเคร่งครัด
นอกจากการทำวัคซีนป้องกันโรคระบาดที่สำคัญแล้ว กรมปศุสัตว์ยังมีข้อแนะนำว่า เกษตรกรจึงควรหมั่นสังเกตอาการและสุขภาพของสัตว์ปีก ควรเสริมวิตามิน เกลือแร่ การจัดการสิ่งแวดล้อมที่อยู่ของสัตว์ปีกให้เหมาะสม เช่น อย่าให้ลมโกรก ให้อยู่ในที่อุณหภูมิพอเหมาะ จัดให้มีเล้าหรือโรงเรือนสำหรับสัตว์ปีกนอนในตอนกลางคืน สามารถป้องกันแดด ฝน ลม และพาหะนำโรคระบาดสัตว์ได้ อีกทั้งยังง่ายต่อการดูแลสุขภาพสัตว์ปีกอีกด้วย และต้องใช้หลักความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity) ในการป้องกันเชื้อโรคเข้ามาในฟาร์ม เช่น การใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรค การควบคุมคนหรือยานพาหนะเข้า-ออกฟาร์ม การมีเล้าหรือโรงเรือนเพื่อป้องกันพาหะนำโรค เป็นต้น
สูตรอาหาร
ใช้ต้นกล้วยหมัก
สำหรับอาหารที่ใช้ในการเลี้ยง ปศุสัตว์อำเภอศรีเชียงใหม่ให้ข้อมูลว่า จะเน้นการจัดการด้านอาหารโดยใช้ต้นกล้วยหมักเป็นหลักร่วมกับวัตถุดิบอาหารพลังงานอื่นในท้องถิ่น โดยให้อาหาร 2 มื้อ เช้า-เย็น
พร้อมกันนี้จะมีการปล่อยลานตามธรรมชาติโดยอิสระ เสริมเศษผัก เศษอาหาร ผลไม้สุกตามฤดูกาล
สำหรับสูตรอาหารต้นกล้วยหมัก 5 วัน ที่คิดค้นขึ้น ได้มีการเผยแพร่ให้เกษตรกรนำไปใช้ โดยมีส่วนประกอบ คือ
– ต้นกล้วยสับ 30 กิโลกรัม
– น้ำตาลทรายแดง หรือน้ำอ้อย 1 กิโลกรัม
– ดินแดง 2 กิโลกรัม
– รำหยาบ 30 กิโลกรัม
– เกลือ 2 ช้อนแกง
– ขี้วัวแห้ง 4 กิโลกรัม
– ปลายข้าว 1 กิโลกรัม
การใช้ เพียงนำส่วนผสมต่างๆ มาผสมให้เข้ากัน แล้วหมักทิ้งไว้ ประมาณ 5 วัน ก็จะสามารถนำไปผสมกับวัตถุดิบอื่น เช่น อาหารข้น 14-21% โปรตีน รำ ปลายข้าว ให้กับไก่ไข่ที่เลี้ยงได้
ทั้งนี้ ทางสำนักงานปศุสัตว์อำเภอศรีเชียงใหม่ ได้มีการนำอาหารหมักดังกล่าวไปตรวจสอบเปอร์เซ็นต์โปรตีน พบว่า มีเปอร์เซ็นต์โปรตีนถึง 15.3%
ในขณะที่ต้นทุนค่าอาหาร เฉลี่ยกิโลกรัมละ 3.32 บาท เท่านั้น
โดยอาหารหมักดังกล่าวนี้ จะเริ่มนำไปใช้เลี้ยงไก่ไข่ ในช่วงอายุ 3 เดือน ขึ้นไป
ส่วนการนำไปใช้เลี้ยงไก่ไข่ มีสูตรแนะนำถึงสัดส่วนการใช้อาหารผสม สำหรับเกษตรกรรายย่อย ดังนี้
ระยะที่ 1 ช่วงแรกเกิด-1.5 เดือน ให้กินอาหารข้นเป็นหลัก จำนวน 10 กิโลกรัม
ระยะที่ 2 ช่วงอายุ 1.5-3 เดือน ให้กินอาหารผสมที่ส่วนผสมของอาหารข้น 6 กิโลกรัม รำ 2 กิโลกรัม ปลายข้าว 2 กิโลกรัม
ระยะที่ 3 ช่วงอายุ 3-4 เดือน ให้กินอาหารผสมที่ส่วนผสมของอาหารข้น 5 กิโลกรัม รำ 1 กิโลกรัม ปลายข้าว 1 กิโลกรัม และอาหารหมัก 1 กิโลกรัม
ระยะที่ 4 ช่วงอายุ 4-5 เดือน ให้กินอาหารผสมที่ส่วนผสมของอาหารข้น 3 กิโลกรัม รำ 1 กิโลกรัม ปลายข้าว 1 กิโลกรัม และอาหารหมัก 5 กิโลกรัม
ระยะที่ 5 ช่วงอายุ 5 เดือน จนถึงปลด ให้กินอาหารผสมที่ส่วนผสมของอาหารข้น 2 กิโลกรัม ปลายข้าว 1 กิโลกรัม และอาหารหมัก 7 กิโลกรัม
จากการริเริ่มของสำนักงานปศุสัตว์อำเภอศรีเชียงใหม่กับการส่งเสริมการเลี้ยงไก่ไข่แบบอิสระดังกล่าว ปัจจุบันได้ทำให้เกษตรกรในอำเภอศรีเชียงใหม่ มีไข่ไก่อินทรีย์ที่ไม่มีสารตกค้างไว้บริโภคเองอย่างเพียงพอ ส่วนที่เหลือยังสามารถนำไปจำหน่ายในตลาดสีเขียว ที่หน่วยงานภาครัฐได้ให้การสนับสนุนส่งเสริมเกษตรกรได้มีตลาดจำหน่าย
โดยสามารถขายได้ ฟองละ 6-8 บาท
“สำหรับปริมาณผลผลิตที่ได้ในขณะนี้ต้องบอกว่า ยังไม่เพียงพอ ยังเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค ซึ่งเป้าหมายต่อไป ทางอำเภอศรีเชียงใหม่และปศุสัตว์อำเภอจะทำการขยายพื้นที่ให้ครอบคลุมทุกหมู่บ้านต่อไป” ปศุสัตว์อำเภอศรีเชียงใหม่ กล่าวทิ้งท้าย