‘บิ๊กตู่’เดินหน้าส.ว.สรรหาไม่ตั้งส่งเดช

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160318/224379.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม 2559
‘บิ๊กตู่’เดินหน้าส.ว.สรรหาไม่ตั้งส่งเดช

‘บิ๊กตู่’เดินหน้า ส.ว.สรรหา กำหนดมี ส.ว. 6 กลุ่มทำหน้าที่-ยันไม่ตั้งส่งเดช ปัดย่องเคลียร์ “มีชัย” บอกใจต่อถึงใจอยู่แล้ ระบุกระบวนการยุติธรรมต้องไม่2มาตรฐาน

            นายกรัฐมนตรีได้ออกมาตอกย้ำข้อเสนอให้มี ส.ว.สรรหาในช่วงเปลี่ยนผ่าน 5 ปีอีกครั้ง โดยเบื้องต้นเสนอให้มี ส.ว. 6 กลุ่มเข้ามาทำหน้าที่ ขณะเดียวกันยังคงยืนยันให้ ผบ.เหล่าทัพและปลัดกระทรวงกลาโหม เข้าไปเป็น ส.ว.สรรหา ด้วย

เมื่อเวลา 17.30 น. ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังลงพื้นที่ตรวจราชการ จ.อุดรธานี ถึงกรณีร่างรัฐธรรมนูญว่า เรื่องรัฐธรรมนูญจะผ่านหรือไม่ผ่าน ก็ได้อธิบายให้ทราบว่ารัฐธรรมนูญเป็นอย่างไร และขออย่าได้มองว่ารัฐบาลจะสืบทอดอำนาจ โดยยืนยันว่าจะไม่ทำ รัฐธรรมนูญคือความเป็นสากล มีกติกาอยู่แล้ว หากไม่ได้ทำความผิดก็ไม่ต้องกลัว สามารถเข้ามารับการเลือกตั้ง มีเรื่องสิทธิมนุษยชนอยู่แล้ว โดยรัฐธรรมนูญนั้นเป็นกรอบกว้างๆ ส่วนรายละเอียดอื่นๆ จะอยู่ในกฎหมายลูก

“ผมต้องการให้รัฐธรรมนูญเดินหน้าไปได้ และขอเพียงอย่างเดียวคือ ในบทเฉพาะกาลที่จะเข้ามาช่วยเหลือเมื่อบ้านเมืองมีปัญหา ให้เข้ามาดูแลช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยคิดว่าจะให้ประเทศเดินหน้าไปได้ประมาณ 5 ปี ซึ่งใครจะเข้ามาช่วยดูแล เพราะผมไม่ได้อยู่แล้ว ดังนั้นจึงอยากให้มี ส.ว.ที่จะเข้ามาดูแล ผมไม่สามารถไปสั่ง ส.ว.ได้ ผู้ที่จะทำให้เกิดการขับเคลื่อนคือรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง โดยมีอำนาจในการกำกับดูแลทั้งฝ่ายบริหาร ตุลาการ นิติบัญญัติ และต้องไม่ทาบทับกัน” นายกรัฐมนตรีกล่าว
กำหนดส.ว.6 กลุ่ม-ยันไม่ตั้งส่งเดช

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ผ่านมามีการบอกว่า ส.ว.จะเข้ามาป้องกันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเรื่องนี้หากเป็นความเห็นชอบร่วมกันของรัฐสภา ก็สามารถแก้ไขได้ แต่การทำงานในสภา ต้องไม่เสนออะไรให้เกิดความขัดแย้ง ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าจะเป็นอย่างไร เมื่อถึงเวลาเลือกตั้ง มีทั้งคนดีและคนที่หวังผลประโยชน์ นี่คือจุดด้อยของประชาธิปไตย

“ผมไม่กังวลถ้านักการเมืองเป็นคนดีทั้งหมด แต่จะทำอย่างไรให้คนที่ดีเข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน ผมจะไม่ไปยุ่งกับระยะเวลา เรื่อง ส.ว.ผมกำหนดเบื้องต้น ต้องมี 6 กลุ่ม คือ ความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม ต่างประเทศ กฎหมาย และแก้ปัญหาความขัดแย้ง เป็นการระดมคนที่มีความรู้ ความสามารถเข้าไป จะไม่ตั้งคนส่งเดช ไม่ใช่มาชี้เป็นชี้ตาย มีทหารที่เข้าไป 6 คน ทั้ง ผบ.เหล่าทัพ ปลัดกลาโหม ที่เหลือก็ไปคัดสรรกันมา โดยมีการกำหนดอีกครั้งหนึ่ง เป็นเรื่องที่เขาต้องรับผิดชอบร่วมกันในนามของรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลเป็นผู้อำนวยการผ่านสภา ข้อเสนอในสภาถ้าดี ส.ว.ก็ค้านไม่ได้ ไม่ใช่ว่าใครเข้ามาจะค้านหมดทุกเรื่อง เพราะไม่ใช่คสช.ไม่คำนึงถึงคนที่ทำให้เกิดปัญหา แต่กลับคำนึงถึงคนที่แก้ปัญหา ไม่ไว้ใจ ส.ว.แล้วไว้ใจอีกพวกหรือไง ส่วน ส.ส.ผมไม่รังเกียจอยู่แล้ว จะแก้อะไรก็แก้ไป แต่ขอ 5 ปีเท่านั้น” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ลั่นร้อนใจแต่ยิ่งร้อนยิ่งสู้

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า วันนี้ร้อนที่สุดคือร้อนใจ แต่ยิ่งร้อนยิ่งสู้ พอพูดแบบนี้เดี๋ยวสื่อก็เอาไปพาดหัวกันอีก
ปัดดอดเคลียร์มีชัย-ชี้ใจต่อใจถึงกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้เคลียร์ใจกับนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ.แล้วหรือยัง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ใจต่อใจมันถึงกันอยู่แล้ว ทำไมต้องไปพูดคุย เวลาคุยก็ไม่เห็นอีก ตนกับนายมีชัยคุยกันมาตลอด หารือจะต้องเดินอย่างไร ต้องฟังความเห็นคนอื่นด้วย สิ่งสำคัญคืออะไรจะทำให้ประเทศชาติปลอดภัย ก็ต้องบอกท่านไป ท่านก็หาวิธีการมา ตนขัดแย้งกับใครไม่ได้หรอก เพราะอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ต้น แม้กระทั่ง ครม.เดิมต้องออกไป ก็ยังสำนึกในสิ่งที่เขาทำมาในระยะแรก วันนี้ชุดที่ 2 ก็ทำต่อมา ไม่มีใครทำให้ตนไม่พอใจ ต้องพอใจสิ เพราะทุกคนร่วมชะตากรรมกันมา

เมื่อถามว่า ได้คุยกันเป็นการส่วนตัวแล้วหรือไม่ ช่วงกลางวันของวันที่ 17 มีนาคม ที่หายไป ไปพบกับนายมีชัยมาใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ ปฏิสธโดยย้อนถามว่า ใครหายไป ไปกินข้าวกับเพื่อน วิเคราะห์ให้ดีสิ ทำไมต้องไปเจอนายมีชัยคนเดียวหรือยังไง
ขออย่าคิดทะเลาะแล้วต้องลาออก
“ไม่ได้ไป ไม่ต้องคุย คุยไปตั้งนานแล้ว คุยกันมาตลอดนั่นแหละ ไม่เห็นต้องไปคุย เป็นเรื่องของท่านมีชัยให้ไปพิจารณาเอา อย่าไปคิดว่าจะต้องไปบังคับโน้นบังคับนี้ ทะเลาะกันแล้วลาออก บัดโธ่ ไม่ใช่เด็กนะ ประเทศชาตินะคุณ คิดใหม่เถอะ ช่วยกันคิดใหม่นะ ผมไปไหนไม่ได้หรือยังไง ผมก็ไปกินข้าวกลางวันกับเพื่อน มีเรื่องต้องหารือกันนิดหน่อย ในการที่จะต้องทำงานร่วมกัน แค่นั้นเอง เพราะไม่ได้คุยกับเขามานานแล้ว เป็นเพื่อนกัน เพราะผมไม่มีเพื่อนมานานแล้ว ไปคุยกับเขาแล้วฟังเขาบ้าง แค่นั้นแหละเพื่อนทหารเก่าด้วยกัน เขาเชิญมาร้อยครั้งแล้ว ไม่เคยได้ไป และแค่ไปกินข้าวหน่อยหนึ่ง ไม่ได้รบกวนเวลาราชการของผมหรอก เพราะผมทุ่มเทเวลาราชการมากกว่า 8 ชั่วโมงอยู่แล้ว ทำเป็นสิบชั่วโมงทุกวัน” นายกฯ กล่าว
ขู่เอาผิดสื่อวิจารณ์ทหาร-รัฐส่งเดช

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า อยู่ในกองทัพบกมาไม่เคยเลือกพวก เพราะทุกคนคือกองทัพ ทหารทุกคนเป็นน้องและเป็นพี่ วันนี้คนพูดว่าตนจะแต่งตั้งคนโน้นคนนี้ ซึ่งไม่มีใครมาขอโทษเลย หากโผออกมาแล้ว ไม่ถูกต้องตามที่วิจารณ์ขอให้รับผิดชอบด้วย อย่าเขียนส่งเดชว่าตนจะแต่งตั้งตำแหน่งในกองทัพเพื่อปกป้องตัวเอง เก็บหลักฐานไว้หมดแล้วว่าใครเขียนบ้าง พวกวิจารณ์การตั้งทหาร วันนี้มาเขียนว่าคนเป็นรองแม่ทัพจะเข้ามาเป็นแม่ทัพ หรือเป็นพลโท มันเป็นไปไม่ได้ ตนไม่เคยตั้งคนอย่างนั้น เพราะต้องเป็นไปตามขั้นตอน ไม่ใช่นึกจะเอาใครขึ้นมาก็ได้ ไม่ว่าจะบูรพาพยัคฆ์หรืออะไรก็แล้วแต่ ไม่เคยตั้งเอง คนเขียนขอให้รับผิดชอบด้วย และจะเรียกมาพูดคุย หากการแต่งตั้งไม่ออกมาเหมือนที่วิจารณ์ ถือว่าสร้างความเสียหายและแตกแยกในกองทัพ เช่น คนที่ไม่ได้ขึ้นกลับไปเขียนให้เขาขึ้น ทำให้เกิดความหวังสร้างพรรคพวก อย่างนี้ไม่ยอม

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วานนี้(17มี.ค.) หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเขียนมาได้อย่างไรว่าเศรษฐกิจการลงทุนตกต่ำถึง 90 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งไม่ใช่ ไหนบอกจะขอโทษแล้วไม่เห็นมาขอโทษ แม้สื่อมีสิทธิของตัวเอง แต่ตนก็มีสิทธิ เพราะต้องป้องกันรัฐบาล รวมทั้งชื่อเสียงและห้ามความขัดแย้ง คราวหน้าหากเขียนเช่นนี้อาจจะต้องใช้มาตรการทางกฎหมายจัดการ ซึ่งตนกำลังให้ฝ่ายกฎหมายดูอยู่ เพราะถือว่าเขียนเผยแพร่ข้อความที่ไม่มีข้อเท็จจริง เกินกว่ากฎหมายกำหนดไว้

“ในเล่มเดียวกัน ถ้าให้อีกข้างหนึ่งติติงรัฐบาล แล้วอีกข้างสร้างความสมดุล ผมไม่ว่า แต่ไอ้นี่มันหนักไปทางโจมตี เอาเรื่องไม่จริงมาพูดมากกว่าพูดความจริง ถามว่าสื่อแบบนี้ใช้ได้หรือไม่ ประชาชนต้องแยกแยะว่าจะซื้อหนังสือแบบนี้หรือแบบไหน” นายกฯ กล่าว
ชี้หากรธน.ไม่ผ่านก็ต้องก้มหน้ารับ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ระหว่างการเดินทางไปตรวจราชการและมอบนโยบายแก่ประชาชนที่ จ.อุดรธานี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.กล่าวตอนหนึ่งว่า “ผมขอฝากคนอุดรฯ พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญด้วย หากไม่ผ่าน ผมก็คงนั่งก้มหน้ารับไป”
ระบุกระบวนการยุติธรรมต้องไม่2มาตรฐาน

พล.อ.ประยุทธ์    กล่าวในรายการคืนความสุขให้คนในชาติว่า “เรื่องความเชื่อมั่นในกระบวน การยุติธรรม และการเคารพกฎหมาย วันนี้ เราต้องเร่งรัดดำเนินการให้ได้ ระยะเวลาที่ผมเหลืออยู่ ผมกำลังให้ทบทวนคดีทั้งหมดออกมา แล้วก็ให้ทุกหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นศาล องค์กรอิสระต่างๆ ก็ขอความร่วมมือ ให้ช่วยจัดระเบียบมาว่าอะไรต่างๆ จะต้องทำให้เรียบร้อยโดยเร็ว ขึ้นกับความไว้เนื้อเชื่อใจ ทำให้ต่างประเทศไว้วางใจนะครับ และประชาชนไม่เคลื่อนไหวกันอีกนะครับ แต่ต้องเป็นธรรมนะครับ อย่าให้ใครมาว่าเราไม่เป็นธรรม 2 มาตรฐาน ก็ต้องทำทั้งคู่ ทำไม่ว่าจะฝ่ายไหนก็ตาม ทำทั้งหมด ใครทำให้เสียหายมากก็อาจจะต้องทำเร็วหน่อย เสียหายน้อย รอได้ก็เดี๋ยวทำต่อ ทำทุกอย่างก็เละไปหมด ก็ค้างอยู่เป็นหลายพัน หลายหมื่นคดี”

“ใครก็ตามที่บริหารราชการแผ่นดิน ในห้วงที่ผ่านมา ก็เท่ากับผ่าน 3 อำนาจ อำนาจตามประชาธิปไตยทั้งหมด แล้วท่านก็ตั้งคนเหล่านั้นขึ้นมาเอง อนุมัติกันมา อะไรกันมา ผมว่าเขาตั้งใจดีนะ ทุกหน่วยงาน ไม่ว่าจะข้าราชการทกฝ่ายนะ เพราะว่าต้องเชื่อมโยงกันไง แล้วมีกฎหมายของเขา มีการวิธีพิจาณาต่างๆ ของเขาเอง แต่ถ้าเราไปเกี่ยวข้องมากๆ ก้าวล่วงมากๆ กระบวนการยุติธรรมเสียหาย ความไว้เนื้อเชื่อใจมันหายไป ไม่ใช่ว่า ถ้าเขาตัดสินมาเข้าตัวเองดีหมด อะไรที่ต้องถูกบังคับบอกไม่ใช่ ไม่เป็นธรรม แบบนี้ควรจะกลับมาบริหาราชการแผ่นดินอีกหรือเปล่าครับ ผมว่าไม่ควรเลยนะ ในส่วนของผมเองนะ เพราะว่าถ้าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นต่อไป ประเทศชาติถอยหลัง หยุดอยู่กับที่ หรือถอยหลังไปกว่าเดิมมากมาย ประเทศอื่นเขาไม่มาคบค้าสมาคมด้วยถ้าเราทำอย่างนี้อีกต่อไปนะครับ คือ

(1) ไม่บริหารราชการด้วยความสุจริต (2) ไม่เคารพกฎหมาย กระบวนการยุติธรรใม (3) ไม่มีธรรมาภิบาล (4) ไม่กำกับดูแล ในเรื่องนโยบาย ในสิ่งที่ถูกต้อง ขาดความรับผิดชอบ เอาผลประโยชน์ที่มิควรมี มิควรได้ แล้วโยนความผิดไปให้ข้าราชการบกพร่อง ถูกดำเนินคดีทั้งหมด ตอนนี้มีปัญหาหมด (5) ก้าวล่วงทุกอำนาจ ของส่วนราชการ รังแกข้าราชการ (6) ไม่สร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศชาติและประชาชน ขีดความสามารถเราแย่ลง ความเข้มแข็งก็แย่ลง

“ประชาชนก็ถูกมอมเมา ถูกสร้างภาพลวงตา เหมือนกับพยายามทำให้ประชาชนนั้นไม่ฉลาดขึ้น ต้องพึ่งพาคนอื่นตลอดเวลา เขาก็รับของแจก เงินให้อย่างเดียวต้องสร้างความเข้มแข็งให้เขาด้วยนะครับ   เหมือนกับเราให้เบ็ดไปตกปลา เขาก็ลืมตาอ้าปากไม่ได้สักที ไม่รู้เป็นไร ควบคุมง่ายกระมัง วันนี้ เราจะต้องแก้ให้ได้ ให้เขาฉลาดขึ้น ให้เขาแข็งแรงขึ้น เราก็จะอยู่กันอย่างสงบนะครับ ที่ผ่านมานั้นประชาชนเหมือนกับไม่ได้รับการพัฒนาตนเอง ด้วยรัฐบาลไง ต้องสอนเขา ให้เขาเรียนรู้ ไม่ไปยกวาทะกรรมมาบิดเบือน กลายเป็นชนชั้น ไม่ใช่หรอกครับ เป็นเรื่องของรายได้ ที่ไม่เพียงพอ เราก็ต้องทำให้เขาเพียงพอเท่านั้นเอง นะ ต้องสร้างความเข้มแข็งให้ได้นะครับระดับ จะต้องไม่ไปผูกมัดผูกพันกับอำนาจทางการเมือง หรือประโยชน์ทางการเมืองนะครับ เรามีมานานแล้ว แบบนี้นะ ต้องไม่ให้เกิดขึ้นอีกนะครับ อันเก่าก็ต้องแก้ปัญหากันไป ทุกท่านรู้ดีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะนักการเมือง พรรคการเมือง ไปทบทวนตัวเองด้วยนะครับ อย่าทำเป็นหลงลืม ในสิ่งที่ท่านทำไปแล้วนะครับ ผิดก็แก้ใหม่เท่านั้นเอง ทำไมไม่ได้ล่ะ ทำไมให้คนอื่นเขามาร่วมด้วยไม่ได้เหรอ ท่านจะใช้อำนาจของท่านอย่างเดียว แล้วอ้างประชาชน แต่ท่านก็ทำให้ประชาชนยากจน ประชาชนขัดแย้ง ประชาชนเข้าใจผิด อ่อนแอเหล่านี้เป็นปัญหาทั้งสิ้นนะครับ”
วิษณุป้องส.ว.ไม่ใช่ร่างทรงคสช.

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงข้อเสนอของคสช. ที่ส่งถึงกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) โดยเฉพาะกรณีให้ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ปลัดกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รวม 6 ตำแหน่ง เป็น ส.ว.สรรหาโดยตำแหน่ง เพื่อป้องกันการปฏิวัติรัฐประหารว่า เรื่องนี้คงต้องถาม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ไม่สามารถชี้แจงแทนได้ ทั้งนี้ไม่คิดว่า ส.ว.สรรหาโดยตำแหน่ง 6 คน จะมีพลังในการกำหนดทิศทางของ ส.ว.ได้ และตามข้อเสนอของ คสช.นั้น ส.ว.สรรหาไม่สามารถขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลได้ แต่หากมีผู้อื่นเสนอก็สามารถอภิปรายรวมถึงลงมติได้ หรือไม่ให้อภิปรายแต่ให้ลงมติอย่างเดียว

ส่วนที่มองว่าการให้ ส.ว.มีสิทธิลงมติในการอภิปรายรัฐบาลจะทำให้รัฐบาลอ่อนแอนั้น นายวิษณุกล่าวว่า ต้องมอง 2 ด้าน ถ้ารัฐบาลมีคุณธรรม มีธรรมาภิบาล ก็เสี่ยงโดนปะทะจนล้มได้ ส.ว.ก็จะช่วยประคับประคอง แต่ถ้ารัฐบาลทำผิด ฝ่าฝืนเจตนารมณ์ของประชาชน แต่มีเสียงข้างมากในสภา ก็ต้องอาศัยเสียงของ ส.ว.เข้าไปช่วย

เมื่อถามว่า มีความกังวลว่า ส.ว.สรรหาจะกลายเป็นร่างทรงของ คสช.หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า เหตุใดจึงคิดเช่นนั้น เพราะถ้าเป็นร่างทรง ล้วนเป็นได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นร่างทรงของประชาชน เอ็นจีโอ อยู่ที่ว่าจะตั้งใครเข้าไปเท่านั้น เพราะถึงเวลาจะมากันทุกทิศทุกทาง

“พูดไม่ได้ว่าจะเป็นร่างทรง หากมองย้อนกลับไป ไม่ว่าจะเป็นการตั้งกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ (กมธ.ยกร่างฯ) หรือกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ล้วนถูกมองว่าเป็นร่างทรง แต่ที่สุดแล้วก็เห็นว่ามีบางคนที่เป็นร่างทรง แต่บางคนก็ไม่ใช่ มีความเป็นอิสระ บางคนทนไม่ได้ก็ลาออกไป ซึ่งก็เคยเห็น ดังนั้นจะพูดว่าเป็นร่างทรงคงไม่ได้” นายวิษณุกล่าว
ชี้กรธ.เมินข้อเสนอก็วัดตอนประชามติ

ส่วนว่าทำไมต้องเสนอให้มี ส.ว.สรรหาถึง 250 คนนั้น นายวิษณุกล่าวว่า เมื่อเราต้องการให้ ส.ว.มีหน้าที่กลั่นกรองกฎหมายก็ต้องมีคุณสมบัติบางอย่างที่ทำให้เชื่อใจได้ว่าจะสามารถกลั่นกรองได้ คำว่า “พิทักษ์รัฐธรรมนูญ” อาจฟังดูเท่ แต่มีความหมาย เพราะหากย้อนไปดูที่ผ่านมาที่มีความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญ หาก ส.ว.ไม่เหนี่ยวรั้งไว้ก็จะไปกันใหญ่ ดังนั้นต้องมาคิดว่าคนแบบไหนถึงจะเข้าไปในช่วง 5 ปีแรก หลังจากนั้นคงเรียบร้อยและวางใจได้ เมื่อเราต้องการให้มาคานตรงนี้ เมื่อมี ส.ส.อยู่ 500 คน ถ้า ส.ว.น้อยกว่าครึ่ง การทำหน้าที่นี้คงไม่เกิดประโยชน์ และไม่คิดว่า ส.ว.ที่ตั้งมาจะเป็นพวกรัฐบาลและ คสช.ไปเสียทั้งหมด อย่าคิดเช่นนั้น ขอให้ดูก่อนว่าเมื่อถึงเวลาใครจะเข้าไป ที่ผ่านมามีความหลากหลาย บางคนไม่ชอบคนที่ตั้งเขาเสียด้วยซ้ำ

เมื่อถามว่า หาก กรธ.ไม่รับข้อเสนอของ คสช.แล้ว ทางรัฐบาลและ คสช.จะดำเนินการอย่างไร นายวิษณุกล่าวว่า “ถ้าไม่รับก็ยึดแนวทางของตัวเองต่อไป และไปทำประชามติ คสช.ก็ไปโหวตตอนประชามติ”
วิษณุกินข้าวมีชัย-ปัดคุยข้อเสนอคสช.

ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาว่า เมื่อเวลาประมาณ 12.00 น. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้เข้าพบนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. เพื่อรับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน

ทั้งนี้ ภายหลังการเข้าพบนายวิษณุให้สัมภาษณ์ว่า ไม่ได้คุยเรื่องร่างรัฐธรรมนูญหรือข้อเสนอของ คสช. อย่างไรก็ตามการพบเจอระหว่างตนกับนายมีชัยเกิดขึ้นเป็นปกติและบ่อยครั้งอยู่แล้ว

เมื่อถามย้ำถึงข้อเสนอของ คสช.ต่อการปรับปรุงร่างรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะประเด็น ส.ว.ที่ให้มาจากการสรรหา และให้สัดส่วนของผู้บัญชาการเหล่าทัพ ปลัดกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็น ส.ว. โดยตำแหน่ง นายวิษณุกล่าวว่า สิ่งที่ คสช.เสนอนั้นเป็นประเด็นที่ตกผลึกมาแล้ว ขอให้สื่อมวลชนอ่านหลายๆ หน โดยเฉพาะความสำคัญที่เขียนไว้ใน 4 หน้าแรก ซึ่งระบุถึงเหตุผลว่าเกิดอะไร และเมื่ออ่านแล้วจะสามารถเดาสถานการณ์บ้านเมืองได้จำนวนมาก ซึ่งเหตุผลใน 4 หน้าแรกนั้น มีความสำคัญกว่าข้อเสนอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญใน 3-4 ประเด็น เพราะหากอ่านแล้วจะสามารถมองเห็นเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญได้ทะลุไป 200-300 มาตรา อย่างไรก็ตามการพิจารณาเรื่องที่มาของ ส.ว. หรือข้อเสนอต่างๆ นั้น ขึ้นอยู่กับ กรธ.พิจารณา

ด้านนายมีชัยกล่าวยืนยันว่า การที่นายวิษณุเข้าพบนั้นเป็นเพียงมารับประทานอาหารร่วมกัน หลังจากเข้าชี้แจงร่าง พ.ร.บ.การออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ…. ในที่ประชุม สนช.เท่านั้น เพราะหลังจากชี้แจงแล้วนายวิษณุไม่มีที่รับประทานอาหาร อย่างไรก็ตามระหว่างการพบปะได้ฝากบอกนายวิษณุไปว่าขอให้แปรญัตติในร่างกฎหมายให้ กรธ.สามารถชี้แจงรายละเอียดร่างรัฐธรรมนูญได้ด้วย เพราะหากไม่เขียนไว้กังวลว่าการชี้แจงของ กรธ.จะเป็นคนผิด ทั้งนี้ การแปรญัตติประเด็นดังกล่าวเตรียมส่งคนไปชี้แจงแล้ว ซึ่งนายวิษณุรับปากว่าจะดำเนินการให้
กรธ.นัดแจงรธน.ร่างสุดท้าย30มี.ค.

นายอมร วาณิชวิวัฒน์ โฆษก กรธ. เปิดเผยว่า วันที่ 30 มีนาคมนี้ ได้ประสานไปยังสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.), สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง ให้ร่วมรับฟังคำชี้แจงสาระสำคัญในร่างรัฐธรรมนูญฉบับสมบูรณ์ ที่ห้องประชุมรัฐสภา เพื่อให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำเนื้อหาและสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญไปเผยแพร่แก่ประชาชนในพื้นที่ได้อย่างถูกต้อง ซึ่งการชี้แจงดังกล่าวเบื้องต้นจะมีการถ่ายทอดสดผ่านทีวีรัฐสภาด้วย ทั้งนี้ยอมรับว่าเวทีดังกล่าวจะไม่เชิญตัวแทนของพรรคการเมือง หรือตัวแทนกลุ่มประชาสังคม ที่มีบทบาทในแต่ละด้านมาร่วมรับฟังด้วย เพราะในส่วนของพรรคการเมืองถือเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ดังนั้นการรณรงค์หรือจัดเวทีใดๆ ต้องเป็นไปตามกรอบที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนด
เมินพท.ออกแถลงการณ์ไม่รับรธน.

นายอมร กล่าวด้วยว่า ในส่วนความเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองที่มีแนวโน้มไม่รับร่างรัฐธรรมนูญนั้น อยากให้พรรคการเมืองรอดูเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญฉบับสมบูรณ์ก่อนที่จะมีความเคลื่อนไหว ส่วนกรณีที่พรรคเพื่อไทยออกแถลงการณ์ไม่ยอมรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับของ กรธ.นั้น มองว่าไม่มีผลกระทบต่อกระบวนการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญแน่นอน เพราะจากการสำรวจความเห็นของประชาชนพบว่า ประเด็นทางการเมืองไม่ได้ให้ความสนใจมากเท่ากับสิทธิและเสรีภาพ

“ผมไม่กังวลต่อความเคลื่อนไหวของพรรคเพื่อไทย และเชื่อว่า กรธ.ทุกคนก็ไม่กังวลเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามความเห็นของพรรคการเมืองที่มีออกมาช่วงนี้ต่อการทักท้วงเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญ กรธ.ยังรับฟังไปจนถึงวันที่ 29 มีนาคม ก่อนส่งร่างฉบับสมบูรณ์ให้ ครม.ต่อไป” นายอมร กล่าว

Leave a comment