ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160321/224470.html
การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม 2559
‘พล.อ.ไพบูลย์’ งัดกฎหมายโต้ทีมทนายวัดปากน้ำฯ ยันคดีอาญาออกหมายเรียกพระให้ปากคำได้ ส่วนจะออกหมายในฐานะผู้ต้องหาหรือพยานขึ้นกับดุลพินิจ
21 มี.ค.59 พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แถลงข่าวกรณีที่ถูกกล่าวหามีพฤติกรรมจาบจ้วงสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จฯช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช สืบเนื่องจากการที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) เข้าตรวจสอบการครอบครองรถเบนซ์ผิดกฎหมาย โดยพล.อ.ไพบูลย์ กล่าวว่า ตนจะพูดเรื่องนี้เป็นครั้งสุดท้าย และเป็นครั้งแรกที่ต้องแถลงข่าวพร้อมเอกสารประกอบ เนื่องจากมีกระแสที่กล่าวหาว่าตนจาบจ้วงสมเด็จฯช่วง และนำเรื่องดังกล่าวไปเชื่อมโยงกับการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช ทั้งนี้ ขอชี้แจงถึงขั้นตอนการทำงานว่าเริ่มจากมีผู้ร้องเรียน ซึ่งมีประเด็นพบว่าเป็นรถที่ผิดกฎหมาย นำไปสู่การตรวจสอบผู้ครอบครองคือสมเด็จฯช่วง อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนหลังจากนั้นตนยอมรับว่าในฐานะรมว.ยุติธรรม ได้เข้ามากำกับดูแลกรณีดังกล่าวเนื่องจากรู้ว่าสมเด็จฯช่วงมี 2 สถานะต้องระมัดระวัง คือ 1.สถานะทางสังคม 2.สถานะรับผิดชอบที่มีชื่อครอบครองสิ่งของผิดกฎหมาย ดังนั้น ตนจึงต้องลงมากำกับดูแล ทั้งที่ปกติเรื่องในกรมต่างๆ ตนจะมอบแค่นโยบาย ตนย้ำว่าสาเหตุที่ต้องเข้าไปดูเรื่องนี้เพราะประเด็นสถานะทางสังคมของสมเด็จฯช่วง
รมว.ยุติธรรม กล่าวต่อว่า สิ่งที่ตนสอบถามดีเอสไอคือ คดีในลักษณะนี้เป็นคดีอะไร คำตอบคือคดีอาญา ตนก็ถามต่อว่าคดีอาญาทั่วไปต้องทำอย่างไรบ้าง ดีเอสไอตอบว่าต้องออกหมายเรียกใน 2 ลักษณะคือ หมายเรียกพยานหรือผู้ต้องหา นี่คือหลักการตามกฎหมาย ตนจึงบอกไปว่าในกรณีนี้ทำเป็นหนังสือประสานเพื่อให้ปากคำจะผิดหรือไม่ เพื่อให้ไม่ต้องระบุว่าเป็นพยานหรือผู้ต้องหา เพราะถ้าออกเป็นหมายเรียกจะยุ่ง ตนเป็นคนกำชับเองว่าต้องเข้าไปกราบ นำธูปแพรเทียนแพรไปกราบ จะทำแบบปกติทั่วไปไม่ได้ สำหรับกรณีรถของกลางเมื่อรู้ว่ารถอยู่ที่ไหนต้องไปยึด ตนก็คุยกับดีเอสไอว่าไม่ต้องส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปยึดให้เอิกเกริกได้หรือไม่ เพราะทราบว่าทางวัดมีเจตนาส่งคืนรถ แต่ภายหลังแจ้งว่าจะส่งคืนอู่ ซึ่งดีเอสไอบอกว่าทำไม่ได้ เพราะเป็นรถผิดกฎหมายถือเป็นของกลางต้องคืนรัฐเท่านั้น สุดท้ายวัดก็ส่งมอบรถของกลางให้ดีเอสไอ เรื่องนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ตนพยายามไม่ให้เกิดปัญหาจาบจ้วงอย่างที่สุดแล้ว ถ้าเปรียบเทียบเป็นกรณีมีปืนในบ้านคงต้องโดนยึดคาบ้านไปแล้ว
พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวด้วยว่า เหตุการณ์เมื่อวันที่ 16 มี.ค.ที่ผ่านมา วัดปากน้ำฯเป็นฝ่ายนัดมายังดีเอสไอว่าจะให้ปากคำเวลา 20.00 น. ตนก็เน้นให้ไปกราบ สมเด็จเจ้าประคุณ อย่าทำแบบธรรมดา เพราะท่านมีฐานะทางสังคม และย้ำให้อธิบดีหรือรองอธิบดีเป็นผู้นำคณะพนักงานสอบสวนเข้าไปพบเท่านั้น ทั้งนี้ยังให้โอกาสวัดเป็นผู้กำหนดสถานที่ ดูความเหมาะสม อย่าให้ประเจิดประเจ้อ ส่วนเรื่องที่ทนายความจะขอเข้าร่วมฟังการสอบสวน ดีเอสไอก็ไม่ขัดข้อง แต่ห้ามทนายความให้ปากคำแทน ทราบว่าหลังจากนั้นก็มีการประสานงานเรียบร้อยดี เพราะตนรู้ดีว่าเรื่องนี้หมิ่นเหม่ต่อสถานะทางสังคม ต่อมาได้รับรายงานว่าดีเอสไอถูกปลดโทรศัพท์ และใช้เครื่องตรวจโลหะก็ไม่เป็นไร ให้อดทน จนมาถึงไม่มีการสอบปากคำ ทั้งที่ก่อนหน้านี้อธิบดีรายงานเรื่องนัดหมายและเข้าใจว่าเป็นการเข้าให้สอบปากคำ เพราะมีการกำหนดตัวบุคคลร่วมสอบสวนและเวลาสถานที่ จึงเชื่อว่ามีการตกลงกันเรียบร้อย หลังจากที่ทราบว่าไม่ให้ปากคำจึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่เดินทางกลับ อย่าใช้สถานที่วัดเป็นเวทีตอบโต้ระหว่างทนายความกับเจ้าหน้าที่ เมื่อไม่ประสงค์จะให้ปากคำก็ไม่ต้องใช้สถานที่ของสมเด็จฯตอบโต้กลับ ตนไม่มีความเชื่อว่าสมเด็จฯช่วงจะเป็นผู้สั่งดำเนินการ แต่เป็นเพราะทนายความกับลูกศิษย์ใกล้ชิด ซึ่งทราบต่อมาว่ามีการแบ่งกลุ่มออกเป็น 2 กลุ่ม เกิดความขัดแย้งภายในว่าจะให้ปากคำหรือไม่ สุดท้ายก็ตกลงที่ไม่ให้ปากคำ
รมว.ยุติธรรม กล่าวอีกว่า ตนยอมรับเป็นผู้กำชับให้เจ้าหน้าที่ให้เกียรติทุกขั้นตอน แต่ทนายความกำลังทำให้สมเด็จฯเสียเกียรติหรือไม่ โดยเมื่อดีเอสไอกลับมาแล้ว ก็ได้สอบถามอธิบดีดีเอสไอถึงข้อเสนอให้ทำประเด็นคำถามเป็นลายลักษณ์อักษรว่าจะทำได้หรือไม่ ดีเอสไอยืนยันว่าไม่ทำเพราะไม่เคยปฏิบัติเช่นนี้ไม่ว่ากับพยานหรือผู้ต้องหา ตนจึงถามต่อว่าตามขั้นตอนต้องดำเนินการอย่างไร ดีเอสไอก็ตอบว่าตามกฎหมายต้องออกหมายเรียก ถือว่าที่ผ่านมาให้เกียรติที่สุดแล้ว หลังจากนี้จะไม่เข้าไปก้าวก่ายขอให้เป็นหน้าที่ของดีเอสไอและพนักงานสอบสวน ซึ่งให้ดำเนินการตามกฎหมาย กรณีไม่มาตามหมายเรียก หากไม่มาตามหมายเรียกตามกฎหมายก็ต้องขอให้ศาลออกหมายจับ ซึ่งเป็นดุลพินิจของศาล นี่คือข้อกฎหมาย จึงขอถามกลับว่าการทำตามกฎหมายเป็นการจาบจ้วงได้อย่างไร
ส่วนที่ทนายความออกมาระบุว่ากฎหมายห้ามออกหมายเรียกพระเป็นพยานนั้น รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า ตนได้สอบถามพนักงานสอบสวนแล้วว่ากรณีดังกล่าวเป็นคดีแพ่ง แต่ในคดีอาญาไม่มีกฎหมายกำหนด ให้ถือเป็นดุลพินิจว่าจะนำไปเทียบเคียงหรือไม่ก็ได้ ส่วนจะออกหมายเรียกในฐานะพยานหรือผู้ต้องหาให้เป็นดุลพินิจของพนักงานสอบสวน หลังจากนี้หากทนายความและลูกศิษย์ที่ยังมีข้อข้องใจขอให้มาพบตนที่สำนักงานรัฐมนตรี เพราะไม่เคยเห็นด้วยกับการแถลงข่าวตอบโต้กันไปมา เพราะกรณีนี้ไม่สามารถละเว้นขั้นตอนการปฏิบัติตามกฎหมายได้เลย ขอถามกลับไปยังสังคมว่าตนจาบจ้วงตรงไหน ขอให้เข้าใจว่าขณะนี้เลยขั้นตอนที่จะเข้าไปดูแลสถานะทางสังคมไปแล้ว
“พล.อ.ไพบูลย์ไม่ใช่คนดีเท่าไร แค่คนถือศีล 5 ถือได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ข้อมุสาวาทาเข้าใจว่าไม่ใช่เรื่องโกหกอย่างเดียว เข้าใจว่าเป็นเรื่องของการพูดไร้ซึ่งความน่าเชื่อถือ ไร้สัจจะวาจาที่ให้กันไว้ ซึ่งผมก็บอกแล้วว่าผมแค่คนศีล 5 แต่คนที่ออกมาพูดอยู่ในสถานะทางศีลธรรมและทางศีลสูงกว่าผมเยอะ ก็เป็นเรื่องที่สังคมต้องพิจารณา การพูดให้สังคมเข้าใจอย่างโน้นอย่างนี้ หากพูดโดยเข้าใจไม่ถ่องแท้ก็ยังน่าให้อภัยได้บ้าง แต่ความไม่ถ่องแท้ของท่านทำให้คนอื่นเสื่อมเกียรติก็คงมุสาเหมือนกันล่ะมั้ง ย้ำล่ะมั้ง ขอให้ยืนหยัดอยู่บนศีลธรรมอันดีงามให้ได้ อย่ามุสาแล้วกัน สำหรับที่มีการเสนอให้ปลดผมจากตำแหน่งรัฐมนตรี เรื่องนี้พูดหลายครั้งว่า หากผมทำงานไม่เป็นไปตามมาตรฐานของตัวเอง จะลาออกเอง เรื่องนี้เคยพูดกับนายกฯแล้วว่า วันไหนที่ผมทำงานไม่มีประสิทธิภาพบนพื้นฐานของตัวเองก็ไม่สมควรอยู่ ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงไหน หลายครั้งมีชื่อผมไปอยู่กระทรวงโน้นกระทรวงนี้. ผมพิจารณาตัวเองอยู่เสมออย่าปรับไปตำแหน่งอื่นให้เพียงเพื่อรักษาเกียรติให้ผม ถ้าผมทำผิดกฎขอให้พูดให้ชัดพร้อมจะลาออกทันทีโดยไม่ต้องปรับไปอยู่กระทรวงอื่น ผมให้เกียรติขนาดไหนเรียกมาคุยมากเป็นพิเศษ ห้ามทุกคนให้สัมภาษณ์ เพราะรู้ดีว่าถ้าพูดต้องโดนแน่ แต่จำเป็นต้องพูดเพื่อปกป้องลูกน้อง” พล.อ.ไพบูลย์ กล่าว
‘บิ๊กต๊อก’ แจงกรณี ‘แพรวา’ ผิดเงื่อนไขคุมประพฤติ
พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีกรมคุมประพฤติตรวจสอบการทำงานบริการสังคมตามคำสั่งศาลกรณี “แพรวา” (นามสมมุติ) คดีซิ่งซีวิคชนรถตู้ดับ 9 ศพว่า ได้รับรายงานจากกรมคุมประพฤติว่าในคดีที่ศาลสั่งทำงานบริการสังคมกรมคุมประพฤติมีหน้าที่ติดตามว่าผู้ถูกคุมประพฤติทำงานบริการสังคมปฏิบัติตามคำสั่งศาลหรือไม่ตามขั้นตอนผู้ถูกคุมประพฤติจึงต้องแจ้งว่าจะทำงานบริการสังคมที่ใดวันเวลาใดบ้างเพื่อให้หน่วยงานรับทราบและติดตามตรวจสอบว่าทำงานจริง มิเช่นนั้นคนก็จะไปทำที่ไหนก็ได้แล้วบอกว่าทำงานแล้วให้ใครเซ็นมาก็ได้มันจะเป็นประเด็นว่าทำตามคำสั่งศาลจริงหรือไม่
