‘บิ๊กต๊อก’แจง’เซียนอุ๊’รับหัวคิว-ไม่ผิด!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160324/224673.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม 2559
'บิ๊กต๊อก'แจง'เซียนอุ๊'รับหัวคิว-ไม่ผิด!

‘ไพบูลย์’ แจงผลสอบ ‘ราชภักดิ์’ ระบุ ‘เซียนอุ๊’ รับหัวคิวไม่ผิด เป็นเรื่องระหว่างเอกชน ใครสงสัยให้แสดงหลักฐาน อย่าใช้ความรู้สึก พร้อมจะตรวจสอบอีก

                    24 มี.ค. 59  เมื่อเวลา 13.10 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล  พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ในฐานะ ผอ.ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) ให้สัมภาษณ์ถึงผลสอบการทุจริตโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ซึ่งได้แถลงข่าวไปเมื่อวันที่ 23 มี.ค.ที่ผ่านมา ว่า หากใครมีข้อสงสัยประการใดก็ขอให้บอกมา แต่จากการแถลงข่าวที่ผ่านมานั้นก็ไม่เห็นว่ามีข้อสงสัยใดๆ และไม่มีการแย้งในหลักการของการตรวจสอบ เพราะที่ผ่านมาเป็นเพียงข้อกังวลหรือความคิดเห็น ซึ่งการสงสัยนั้นจะต้องมีหลักฐานที่สามารถทำให้เชื่อถือได้ ทั้งนี้ เมื่อ ศอตช.สรุปผลการตรวจสอบแล้วก็จะส่งข้อมูลไปให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ตรวจสอบตามขั้นตอน และตนในฐานะ ผอ.ศอตช.จะไม่มีการเข้าไปสั่งการใดๆ ทั้งสิ้น
                    เมื่อถามว่า พอใจกับผลการตรวจสอบหรือไม่ พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวว่า ในฐานะ ผอ.ศอตช.เป็นเพียงผู้บูรณาการหลายหน่วยงานให้ทำหน้าที่ด้วยกัน ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบนั้นต่างก็ทำหน้าที่ของตัวเองอยู่แล้ว อีกทั้งองค์กรในการตรวจสอบมีความเป็นอิสระ ดังนั้น จึงต้องมองว่าการตรวจสอบนั้นถูกต้องตามหลักการและเหตุผลหรือไม่ ซึ่งถ้าตรวจสอบไม่ถูกต้ององค์กรเหล่านี้จะลดความน่าเชื่อถือไป ทั้งนี้ ทุกภาคส่วนต้องยึดหลักกฎหมาย ซึ่งจะใช้ความคิดเห็นหรือดุลพินิจอย่างเดียวไม่ได้ เพราะปัญหาจะไม่จบสิ้น
                    พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวอีกว่า ในส่วนข้อเคลือบแคลงใจต่างๆ นั้น เราก็รับฟัง เพราะทุกคนสามารถคิดได้แต่หน่วยงานที่ตรวจสอบต้องสร้างความศรัทธาให้ตัวเอง ส่วนประเด็นที่บอกนายวัชรพงศ์ ระดมสิทธิพัฒน์ หรือ เซียนอุ๊ เป็นข้าราชการนั้น ตนได้รับทราบเช่นกัน แต่ถ้ามองว่าเรื่องนี้เป็นความผิดที่สำเร็จแล้วจนทำให้เซียนอุ๊นำเงินมาคืน แต่ในเรื่องของหัวคิวนั้นไม่ใช่ความผิดทางกฎหมาย ซึ่งคนอาจจะมองว่าสามารถให้เงินกันได้ด้วยหรือไม่ แต่ต้องเรียนว่าเป็นการให้เงินกันระหว่างเอกชนกับเอกชน ซึ่งหมายถึงโรงหล่อ และเป็นสิทธิ์ที่จะให้เงินกับใครก็ได้ โดยเป็นการให้เงินกันตามสิทธิ์ของเขาเอง
                    “วันหนึ่งราชการได้จ้างโรงหล่อแล้วเอาเงินให้โรงหล่อไป ก็จบ เราได้พิจารณาว่าเงินที่ให้โรงหล่อไปนั้นผิดอย่างไรบ้าง แต่ตรวจสอบแล้วไม่มี และหลังจากนั้นเมื่อโรงหล่อได้รับเงินแล้วจะเอาเงินไปให้ใครบ้างก็เป็นสิทธิ์ของเขา เมื่อเขาเอาไปให้แล้วก็เกิดประเด็นขึ้นมาจนเขาต้องเอาไปคืน แต่ประเด็นที่เอาเงินไปให้เซียนอุ๊นั้นไม่ถือว่าผิดกฎหมายของทางราชการ แต่เป็นเงินสิทธิ์ส่วนตัวของบริษัทเอกชน แต่เรื่องที่บริษัทนั้นรับเงินถูกต้อง หรือเสียภาษีถูกต้องหรือไม่นั้น ก็ต้องมาว่ากันอีกครั้งหนึ่ง เช่น เซียนอุ๊เป็นข้าราชการรับเงิน 3,000 บาท จะผิดหลักการของ อบต. อบจ. หรือไม่ ก็ต้องตรวจสอบ ถ้าเป็นอาชีพเขาเองก็มีสิทธิ์นะ แต่เรื่องนี้หลุดจากการสอบสวนของเราไปแล้ว หากใครมีข้อสงสัยประการใด หรือร้องเรียนมาในลักษณะที่ไม่เชื่อในกระบวนการตรวจสอบจะต้องมีหลักฐาน แต่เท่าที่ผ่านมาเป็นการร้องเรียนที่ออกมาจากความรู้สึกโดยไม่มีหลักฐาน ซึ่งถ้ามีผมก็พร้อมที่จะตรวจสอบ”
                    เมื่อถามถึงการที่เอกชนเอาเงินให้เซียนอุ๊ เสมือนเป็นการจ่ายเงินใต้โต๊ะหรือไม่ พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวว่า การให้หัวคิวบางครั้งไม่ได้ผิดกฎหมายเสมอไป แต่เหมือนการอำนวยความสะดวกให้กัน เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับราชการ การตรวจนั้นต้องตรวจว่า เอาเงินราชการมา ทำสัญญาจัดซื้อจัดจ้างแล้วเป็นอย่างไร ปัญหาที่ตนรับฟังก็คือเรื่องที่เชื่อมโยงกับราคากลาง แต่ราคากลางนั้นไม่ได้มี เพราะเป็นพระพุทธรูปซึ่งไม่มีกำหนดไว้ ทั้งนี้ สตง.ก็บอกด้วยเหตุว่ามีการไปนำเหล็กให้จุฬาฯ มีการประเมินหลักเกณฑ์ และหลักการในการคิด ดังนั้น จึงต้องนำราคากลางมาเทียบกัน ซึ่งถ้าทำให้เชื่อได้ว่าราคากลางของเรานั้นสูงเกินไป นั่นจะเป็นประเด็น แต่เชื่อว่าไม่น่าจะมี เพราะราคากลางไม่มีกำหนดไว้ ประเด็นนี้คือจุดเดียวที่จะบอกว่าผิดหรือถูก แต่ตนว่าไม่มีตามที่หน่วยงานได้ตรวจ แต่ถ้ามีขอให้บอกมา ตนยินดี และก็บอกหน่วยงานในการตรวจสอบว่าหากมีประเด็นนี้จะต้องตรวจสอบใหม่ เพื่อทำให้เกิดความสบายใจ เป็นหน้าที่ของ สตง. ป.ป.ท. และ ป.ป.ช. ต้องทำงานให้หนัก ให้มีความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลเอาจริง
                    เมื่อถามอีกว่า เหตุใดเซียนอุ๊จึงได้หายตัวไปในช่วงแรกที่มีเรื่องเกิดขึ้น พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวว่า จะคิดแบบนี้ก็ได้แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าหายไปเนื่องจากอะไร เขาอาจจะไปตั้งหลัก เงี่ยหูฟังก็เป็นได้ เพราะไม่รู้จะโดนอะไรบ้าง เมื่อถามต่อไปว่า แล้วเหตุใดนายคชาชาติ บุญดี (เสธ.โจ้) อดีตนายทหาร คนสนิท พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม จึงหายตัวไป หากไม่เกี่ยวข้องกับความผิด พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวว่า ทั้งสองคนไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นนี้ ไม่มีความเชื่อมโยง ไม่ได้มีธุรกรรมทางการเงินผ่าน แต่เกี่ยวข้องกับอีกประเด็นหนึ่งซึ่งประสมกับโครงการนี้ เรื่องนี้ต้องไปถามกองปราบ
                    “เรื่องนี้ผมไม่หนักใจ ผมเดินเข้ามา ผมก็ทำงาน ถ้าหนักใจก็ให้คนอื่นเขาทำ วันหนึ่งถ้าผมทำไม่ได้ นายกฯ ก็ต้องหาคนอื่นมา ซึ่งคนใหม่ก็ต้องเก่งกว่าผม ถ้าท่านยังไว้ใจผมๆ ก็ต้องทำ ผมทำได้หมด เพื่อความสุขของทุกคน”
ปัดตอบกรณีเครือข่ายสงฆ์นัดประชุมเคลื่อนไหว
                    พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวถึงกรณีที่เครือข่ายพระสงฆ์มีการประชุมเพื่อกำหนดประเด็นเคลื่อนไหวกรณีการครอบครองรถเบนซ์ของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ว่า ตนไม่ได้เกี่ยวข้องหรือมีส่วนรับผิดชอบกับเรื่องการเคลื่อนไหวขององค์กรต่างๆ เป็นหน้าที่ของหน่วยงานความมั่นคง ทั้งนี้ ตนยืนยันว่าจะไม่พูดถึงเรื่องเหล่านี้อีก เพราะได้ชี้แจงอย่างครบถ้วนแล้ว การออกมาเคลื่อนไหวลักษณะนี้ประชาชนต้องพิจารณาความเหมาะสมว่า ใคร ทำอะไร อย่างไร ต้องดูความถูกต้องว่าเป็นการทำเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติหรือของกลุ่มใด ในส่วนของตนเชื่อว่าดำเนินการอย่างรอบคอบแล้ว ส่วนการดำเนินคดีเป็นหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)

Leave a comment