บึ้ง-ทารันทูล่า แมงมุมยักษ์ แสนสวย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05082151058&srcday=2015-10-15&search=no

วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 28 ฉบับที่ 609

สัตว์เลี้ยงสวยงาม

สุจิต เมืองสุข

บึ้ง-ทารันทูล่า แมงมุมยักษ์ แสนสวย

น่าตื่นเต้นไม่น้อย ถ้าจะบอกว่า โลกเรารวมถึงประเทศไทยมีแมงมุมที่มีวิวัฒนาการมาตั้งแต่ยุคโบราณ กว่า 350 ล้านปีมาแล้ว อาศัยอยู่และยังพบได้ในปัจจุบัน แม้ว่าจะลดจำนวนลงจนแทบไม่พบได้ทั่วไป แต่ก็ยังสามารถพบได้ในจุดที่มนุษย์เข้าถึงได้น้อย ซึ่งอดีตประเทศไทยนำมากินเป็นอาหาร แต่ปัจจุบันเมื่อพบเห็นได้น้อยลง ก็เปลี่ยนสภาพมาเป็นสัตว์เลี้ยง เลี้ยงเพื่ออนุรักษ์ เพื่อการค้า หรือเพราะแค่ชอบก็สุดแล้วแต่

สัตว์ที่ถูกเรียกว่า แมงมุม ดูไม่น่ารักสักเท่าไร แต่ก็มีจำนวนคนไม่น้อยที่ชอบ หลงใหล ทำให้เกิดการสะสมของสายพันธุ์ เพาะและขยายพันธุ์แมงมุม และต่อเนื่องไปถึงการซื้อขาย

แมงมุม ที่มีวิวัฒนาการมาตั้งแต่ยุคโบราณกว่า 350 ล้านปีมาแล้ว ในต่างประเทศเรียกว่า ทารันทูล่า (Tarantula) สำหรับประเทศไทย แมงมุมชนิดนี้เรียกว่า บึ้ง

คุณชวลิต ส่งแสงโชติ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยแมงมุมสไปเดอร์แพลนเน็ต (Spiders Planet Research Center) ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเลี้ยงทารันทูล่า หรือบึ้ง ในประเทศไทยว่า มีกลุ่มที่สนใจเพาะเลี้ยงบึ้งอยู่ ประมาณ 3,000 คน ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มเฉพาะ ที่แต่ละคนมีวัตถุประสงค์การเลี้ยงที่แตกต่างกัน บางรายเลี้ยงเพื่อต้องการเก็บรักษาพันธุ์ เลี้ยงเพื่อศึกษาค้นคว้า เลี้ยงเพื่อสะสมความสวยงาม หรือเลี้ยงเพื่อความเท่ที่มีสัตว์แปลกไว้เป็นสัตว์เลี้ยง แต่เลี้ยงเพื่อวัตถุประสงค์ใดก็ตาม ผู้เลี้ยงควรทำความเข้าใจกับนิสัยของบึ้งแต่ละชนิดด้วย เพราะป้องกันอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นจากการถูกกัดของบึ้ง เนื่องจากบึ้งเป็นแมงมุมชนิดหนึ่งที่มีพิษ

แมงมุม เป็นสัตว์ที่มีตา 8 ดวง แต่มองเห็นเพียงลางๆ แมงมุมจะใช้ขนในการรับรู้ความรู้สึกแทนดวงตา

จากการพูดคุย ทำให้ทราบว่า บึ้ง แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ บึ้งดิน และ บึ้งต้นไม้ ซึ่งบึ้งดินจะอาศัยอยู่พื้นราบ ขุดดินลึกลงไปอาศัยใต้ดิน ส่วนบึ้งต้นไม้จะอาศัยโพรงต้นไม้อยู่ ทั้งนี้ บึ้งทั้ง 2 ชนิด ก็ยังแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มอีก คือ กลุ่มบึ้งโลกเก่า คือ บึ้งที่อยู่บนแผ่นดิน หรือทวีปเก่าแก่ เช่น ทวีปเอเชีย ทวีปแอฟริกา บึ้งกลุ่มนี้จะเป็นบึ้งที่มีความดุร้ายมาก อีกกลุ่มคือ กลุ่มบึ้งโลกใหม่ คือบึ้งที่อยู่บนแผ่นดิน หรือทวีปที่เกิดขึ้นใหม่ เช่น ทวีปอเมริกา ทวีปออสเตรเลีย บึ้งกลุ่มนี้จะมีวิวัฒนาการมากกว่าเดิม มีความดุร้ายน้อยลง บางชนิดไม่ดุร้าย มีขนที่มีลักษณะพิเศษ คล้ายหนามเฉียงลง หนามเฉียงขึ้น ในขนเส้นเดียวกัน และวิวัฒนาการการป้องกันตัวแบบใหม่ของบึ้งโลกใหม่ คือการสลัดขนใส่ศัตรู โดยใช้ขาปัดหลังให้ขนฟุ้งกระจาย ซึ่งเมื่อขนไปติดอยู่ที่ใด จะทำให้เกิดการระคายเคือง อักเสบ คัน เป็นตุ่ม โดยเฉพาะกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม หากขนเข้าตาจะแสบมาก และขนบึ้งไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้

“ธรรมชาติของบึ้งจะถอยหนีเมื่อพบศัตรู ยกเว้นกลุ่มที่ดุร้ายจะสู้และกัดคู่ต่อสู้ โดยการฝังเขี้ยวลงไปที่ศัตรูหรือเหยื่อ แล้วปล่อยพิษ พิษของบึ้งจะส่งผลต่อระบบประสาท หลังถูกกัดจะเกิดอาการชา บวม ร้อน บางรายมีอาการของตะคริวร่วมด้วย เนื่องจากระบบประสาทที่ถูกพิษของบึ้งจะเป็นอัมพาตชั่วคราว การรักษา ไม่มีเซรุ่ม แต่รักษาตามอาการ”

สำหรับ คุณชวลิต แรกเริ่มเดิมทีไม่ได้สนใจในบึ้งแม้แต่น้อย ยังรู้สึกขยาดกับแมงมุมด้วยซ้ำ เพราะมีประสบการณ์ในวัยเด็กเกี่ยวกับแมงมุมที่ไม่ดีนัก กระทั่ง 8 ปีก่อน เดินเล่นในตลาดนัดจตุจักร พบหลอดเล็กๆ วางขาย คนขายบอกว่าเป็นแมงมุม ก็รู้สึกสนใจที่แมงมุมมีขนาดเล็กมาก จึงสอบถามและต่อราคาที่คิดว่าพ่อค้าไม่น่าจะขายให้ แต่ที่สุดพ่อค้าก็ตกลงขายในราคาที่จำใจต้องซื้อ เมื่อได้มาคุณชวลิตเองยังกล้าๆ กลัวๆ แต่ก็พยายามค้นคว้าทางอินเตอร์เน็ตว่า การเลี้ยงแมงมุมทำได้ด้วยวิธีใดบ้าง ระหว่างค้นคว้าศึกษาก็พบว่า แมงมุมชนิดที่ซื้อมาเลี้ยง จัดอยู่ในกลุ่มทารันทูล่า หรือบึ้ง ซึ่งเป็นแมงมุมที่มีขนาดใหญ่ บางชนิดใหญ่ถึง 30 เซนติเมตร และเป็นแมงมุมที่มีสีสันสวยงาม

“บึ้งในบ้านเราจะมีสีไปในโทนสีเดียวกัน คือ น้ำตาล ดำ ที่สวยก็คือ บึ้งสีน้ำเงิน ที่มีสีสันสวยงามมาก ส่วนทารันทูล่าในต่างประเทศ มีความสวยงามมากกว่าของประเทศไทย ผมรู้สึกสนใจ จึงเริ่มค้นคว้าแหล่งซื้อขายทารันทูล่า และศึกษาทุกอย่างที่เกี่ยวกับทารันทูล่า หรือบึ้ง”

คุณชวลิต บอกว่า การเลี้ยงทารันทูล่า หรือบึ้ง มีเคล็ดลับเลี้ยงให้รอด เพียงศึกษาแหล่งที่อยู่อาศัยเดิม สร้างกล่องเลี้ยงให้มีสภาพคล้ายแหล่งที่อยู่อาศัยเดิมให้มากที่สุด เพียงเท่านี้ ทารันทูล่า หรือบึ้ง ก็จะมีชีวิตรอดให้ผู้เลี้ยงได้ชื่นชมความสวยงามจนกว่าจะถึงอายุขัยของมัน

ตามธรรมชาติแล้ว แมงมุม เป็นสัตว์สันโดด จะเกิดการต่อสู้จนตายไปข้างหนึ่ง หากพบกับแมงมุมอีกตัว ทารันทูล่า หรือบึ้ง ก็เช่นกัน เมื่อออกจากไข่ฟักเป็นตัวแล้ว จะอยู่รวมกันได้หลังลอกคราบ 1-2 ครั้ง จากนั้นจะเริ่มกินกันเอง จึงควรแยกใส่กล่องเลี้ยงกล่องละตัว

กล่องเลี้ยง ควรมีขนาดใหญ่กว่าทารันทูล่า หรือบึ้ง 3-4 เท่า ทรงกล่องควรพิจารณาจากชนิดของบึ้ง หากเป็นบึ้งดิน ควรเป็นแนวราบ หรือเป็นทรงสูง แต่ถมดินสูงเกือบถึงด้านบนของกล่อง ส่วนบึ้งต้นไม้ กล่องจะเป็นทรงสูง หรือแนวราบก็ได้ แต่ควรมีขอนไม้ให้บึ้งได้ทำโพรงเข้าไปอยู่อาศัย กล่องเลี้ยงควรมีฝาปิด เพราะทารันทูล่า หรือบึ้ง จะปีนออกได้ มีรูระบายอากาศมากพอ ทำให้อากาศภายในกล่องเลี้ยงถ่ายเทได้สะดวก ภายในกล่องเลี้ยงควรมีภาชนะสำหรับใส่น้ำให้ทารันทูล่า หรือบึ้งไว้กิน ใช้วัสดุรองพื้นที่เหมาะกับถิ่นที่มาของทารันทูล่า หรือบึ้ง เช่น ขุยมะพร้าว ทราย พีทมอสส์ เป็นต้น

กล่องเลี้ยงแต่ละกล่องจะเลี้ยงทารันทูล่า หรือบึ้ง ไว้เพียงกล่องละตัว และเปลี่ยนกล่องเมื่อทารันทูล่า หรือบึ้ง ลอกคราบ เพราะทุกครั้งที่มีการลอกคราบ หมายความว่า ทารันทูล่า หรือบึ้ง จะมีขนาดใหญ่ขึ้น การลอกคราบแต่ละรอบจะนานออกไปทุกครั้ง เช่น ครั้งแรก 1 สัปดาห์ ครั้งถัดไป 3 สัปดาห์ ครั้งถัดไป 8 สัปดาห์ ครั้งถัดไป 20 สัปดาห์ และเพิ่มระยะเวลาแต่ละรอบออกไปเรื่อยๆ บางรอบนานถึง 1 ปี ก็มี

อาหารสำหรับทารันทูล่า หรือบึ้ง คือ แมลง หนอนแวกซ์เวิร์ม หนอนนก หนอนยักษ์ จิ้งหรีดขาว จิ้งหรีดดำ อาหารควรทำให้มีขนาดใกล้เคียงกับขนาดของแมงมุม ถ้ามีขนาดที่ใหญ่กว่ามาก ควรช่วยตัด หรือหั่นให้ชิ้นเล็กลง

การให้อาหารนั้น ขึ้นอยู่กับผู้เลี้ยงว่ามีจำนวนแมงมุมที่ต้องดูแลมากน้อยแค่ไหน หากมีจำนวนมาก การให้อาหารสัปดาห์ละครั้งก็เพียงพอแล้ว เพราะการให้อาหารควรสังเกตดูทุกครั้งว่า อาหารที่ให้แมงมุมกินหมดหรือไม่ ถ้าหมดก็นำกากอาหารที่เหลือออกไปทิ้ง ถ้าแมงมุมไม่กินอาหาร แสดงว่าแมงมุมตัวนั้นเกิดปัญหาบางอย่าง ซึ่งต้องสังเกตต่อไป สำหรับกากอาหารที่เหลือควรนำออกไปทิ้งหลังจากแมงมุมกินของเหลวในร่างกายเหยื่อ หรืออาหารหมดแล้ว หากไม่นำไปทิ้ง โอกาสเกิดราหรือไรขึ้นที่กากอาหารที่เหลือจะสูง ซึ่งหลังจากราหรือไรกินกากอาหารที่เหลือหมดแล้ว ความเสี่ยงที่ราหรือไรจะลามไปกินแมงมุมจนตายมีสูง

แมงมุม ก่อนลอกคราบและหลังลอกคราบจะหยุดกินอาหาร ดังนั้น ไม่ควรให้อาหาร เพราะเมื่ออาหารเหลือ ปัญหาราและไรที่จะกินอาหาร และลามไปกินแมงมุมจะเกิดขึ้น

การผสมพันธุ์ ทารันทูล่า หรือบึ้ง อายุค่อนข้างยืนยาว นานถึง 20 ปี หรือมากกว่า สามารถผสมพันธุ์ได้เมื่อโตเต็มวัย แมงมุมเพศผู้จะโตเต็มวัยเร็วกว่าเพศเมีย 1 เท่าตัว แต่ละชนิดโตเต็มวัยไม่เท่ากัน บางชนิดอายุไม่กี่เดือนก็โตเต็มวัยแล้ว แต่บางชนิดโตเต็มวัย เมื่ออายุ 2 ปีเศษ

แมงมุมเพศผู้ จะใช้รยางค์คู่หน้าที่ไม่ใช่ขา เรียกว่า เพ้า เพ้าของแมงมุมเพศผู้ที่โตเต็มวัยจะถูกออกแบบให้ใช้ไว้สำหรับผสมพันธุ์ ปลายเพ้าจะมีลักษณะเหมือนปลายนวม มีเข็มสำหรับปล่อยน้ำเชื้อ โดยแมงมุมตัวผู้จะเริ่มเก็บน้ำเชื้อของตัวเองก่อน สร้างใยรองรับ แล้วถ่ายน้ำเชื้อมาไว้ที่ใย ก่อนใช้เพ้าดูดน้ำเชื้อไว้ จากนั้นเมื่อเจอแมงมุมเพศเมีย จะส่งสัญญาณโดยการเคาะเพ้ากับขาหน้าเป็นจังหวะ หากแมงมุมเพศเมียเคาะตอบ แสดงว่ายินยอมให้ผสมพันธุ์ แมงมุมเพศผู้จะเดินเข้าไปหาแล้วใช้ขาหน้ายกแมงมุมเพศเมียขึ้น ใช้เพ้าฉีดเข้าไปที่กระเปาะหน้าท้องของแมงมุมเพศเมีย การฉีดเข้าไปไม่ได้หมายความว่าไข่ได้รับการผสม เพราะแมงมุมเพศเมียจะรอจังหวะให้ไข่สุก แล้วจึงเบ่งไข่ออกมาผสมกับน้ำเชื้อ เมื่อไข่ได้รับการผสม แมงมุมเพศเมียจะชักใยที่พื้นเป็นแอ่งกระทะ จากนั้นขึ้นคร่อมแล้วเบ่งไข่ออกมา ชักใยคลุมไข่ให้หนาขึ้น คาบไข่ไว้

ถุงไข่ที่อยู่ติดหน้าท้องของแมงมุมเพศเมีย มองดูเหมือนแมงมุมเพศเมียอุ้มไว้ แต่ที่จริงใช้ปากคาบไว้ ภายในถุงไข่จะมีไข่แมงมุมที่ยังไม่ฟักเป็นตัว 70-800 ฟอง ภายใน 4-12 สัปดาห์ จะฟักเป็นตัว แล้วแต่ชนิดของแมงมุม

หากแมงมุมเพศเมียไม่ยอมให้ผสม จะไม่ส่งสัญญาณเคาะตอบ ควรนำแมงมุมเพศผู้ออก เพราะจะเกิดการต่อสู้กัน ซึ่งส่วนใหญ่จะสูญเสียแมงมุมเพศผู้ หรือเมื่อแมงมุมผสมพันธุ์กันแล้ว ตามธรรมชาติแมงมุมเพศเมียจะกินแมงมุมเพศผู้ นอกจากนี้ การผสมพันธุ์ที่เกิดขึ้น อาจไม่ได้ลูกแมงมุม หากแมงมุมเพศเมียไม่มีไข่ออกมาผสมกับน้ำเชื้อที่แมงมุมเพศผู้ฉีดเข้าไป

เมื่อแมงมุมเพศเมียถูกฉีดน้ำเชื้อเข้าไปยังกระเปาะหน้าท้องแล้ว ควรนำกล่องแมงมุมเพศเมียไปเก็บไว้ในที่ที่ปลอดการรบกวน เพราะหากถูกรบกวน โอกาสที่แมงมุมเพศเมียจะกินไข่ตัวเองมีสูง

คุณชวลิต เน้นย้ำว่า แมงมุมเป็นสัตว์มีพิษ รวมถึงทารันทูล่า หรือบึ้ง ในบ้านเราด้วย ดังนั้น ผู้เลี้ยงที่สนใจเลี้ยงทารันทูล่า หรือบึ้ง ก็ควรระลึกไว้เสมอว่า เลี้ยงสัตว์มีพิษ ดังนั้น การจับสัตว์มีพิษจึงอาจเกิดอันตรายได้ทุกเมื่อ ซึ่งหากเป็นไปได้ แนะนำไม่ให้จับทารันทูล่า หรือบึ้ง ด้วยมือเปล่า

การจับทารันทูล่า หรือบึ้ง จะเกิดขึ้นเมื่อต้องการเคลื่อนย้ายหรือต้องการเปลี่ยนกล่องที่อยู่อาศัยให้ ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดคือ ใช้กล่องขนาดใหญ่กว่าทารันทูล่า หรือบึ้ง เล็กน้อย ครอบคว่ำลงที่ตัวทารันทูล่า หรือบึ้ง จากนั้นใช้ส่วนฝาช้อนจากพื้นเลื่อนไปปิดที่กล่อง แล้วยกขึ้นไปวางในที่ที่ต้องการเปลี่ยน ในลักษณะคว่ำกล่องเหมือนตอนแรก จากนั้นค่อยๆ เลื่อนฝากล่องออก เมื่อเหลือแต่กล่องที่คว่ำตัวทารันทูล่า หรือบึ้ง จึงยกกล่องที่คว่ำไว้ออกมา

ในทารันทูล่า หรือบึ้ง ที่ไม่มีความดุร้าย หรือมีความดุร้ายน้อย ผู้เลี้ยงส่วนใหญ่นิยมใช้มือแตะเบาๆ หรือขยับไปใกล้ๆ เพื่อให้ทารันทูล่า หรือบึ้ง ขยับตัว เคลื่อนย้าย ซึ่งการทำเช่นนี้จะทำให้ทารันทูล่า หรือบึ้ง ตกใจ เมื่อตกใจจะวิ่ง หากวิ่งขึ้นลำตัวคน หากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้น คนที่ถูกทารันทูล่า หรือบึ้ง วิ่งขึ้นลำตัว จะใช้มือปัดโดยอัตโนมัติ ทำให้ถูกทารันทูล่า หรือบึ้ง กัดได้

“การเพาะแมงมุมในเมืองไทย มีมานานกว่า 20 ปีที่ผ่านมา แต่กลุ่มเพาะเลี้ยงไม่ได้กว้างขึ้น คนเลี้ยงแมงมุมยังคงเป็นกลุ่มเล็กๆ ที่ชื่นชอบจริงๆ สำหรับผมเลี้ยงมา ประมาณ 8 ปี เท่านั้น เมื่อสนใจจริงจังก็ศึกษา ทำให้ปัจจุบันผมใช้เวลาว่างที่มีอยู่ ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับแมงมุมในประเทศไทย เพื่อเก็บข้อมูลเท่าที่ทำได้ ก่อนหน้าที่ผมเริ่มศึกษา ผมเก็บสะสมแมงมุมไว้หลายร้อยชนิด แต่ปัจจุบันเหลือทารันทูล่าไว้ ประมาณ 40 ชนิด และบึ้งไทยอีกหลายร้อยตัว”

แม้ว่ากลุ่มคนสนใจแมงมุมในประเทศไทย เป็นเพียงกลุ่มเล็กๆ แต่ก็มีพื้นที่สำหรับการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ เป็นกลุ่มทางเฟซบุ๊ก ชื่อ “Thailand Tarantulas Lover” และกลุ่มแลกเปลี่ยนซื้อขายแมงมุม ที่จัดว่าเป็นกลุ่มที่มีการรวมตัวกันอย่างเหนียวแน่นทางเฟซบุ๊ก ชื่อ “ตลาดแมงมุม” ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ยังคงมีผู้ที่ให้ความสนใจแมงมุม นำมาเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงสวยงาม และซื้อขายผ่านโลกออนไลน์ในราคาหลักพันมากทีเดียว

ผู้ที่สนใจศึกษาเรื่องราวของทารันทูล่า หรือบึ้ง สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ คุณชวลิต ส่งแสงโชติ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยแมงมุมสไปเดอร์แพลนเน็ต (Spiders Planet Research Center) โทรศัพท์ (086) 304-2395

ขอขอบคุณ ภาพประกอบ จาก คุณชวลิต ส่งแสงโชติ

ชนิด และ ความเชื่อ

เกี่ยวกับ ทารันทูล่า หรือ บึ้ง ในประเทศไทย

ปัจจุบัน มีการค้นพบ ทารันทูล่า กว่า 900 ชนิด และยังค้นพบชนิดใหม่ๆ อยู่เรื่อย

ประเทศไทย มีทารันทูล่า ประมาณ 4 ชนิด คือ

1. บึ้งดำ พบได้บ่อยที่สุด มีขนาดใหญ่ที่สุด นิสัยดุร้าย ก้าวร้าว

2. บึ้งสีน้ำเงิน มีขนาดย่อมลงมา สีน้ำเงินเข้มตลอดทั้งตัว มีสีสันสวยงาม นิสัยดุร้าย ก้าวร้าว

3. บึ้งลาย หรือ บึ้งม้าลาย พบได้น้อยที่สุด มีลวดลายตามขา นิสัยดุร้าย ก้าวร้าว แต่น้อยกว่าบึ้งดำ และบึ้งสีน้ำเงิน

4. บึ้งสีน้ำตาล มีสีน้ำตาลอมแดง นิสัยดุร้าย ก้าวร้าว

ในภาคกลาง และภาคอีสาน ของประเทศไทย รวมถึงประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา นิยมจับทารันทูล่ามากิน โดยถือว่าเป็นอาหารพื้นบ้าน นำมาประกอบอาหารด้วยการปิ้ง หรือย่าง รสชาติคล้ายกุ้ง หรือปู หอม มัน แต่ก็ยังมีทารันทูล่าอีกหลายชนิดที่นิยมเลี้ยงในกลุ่มผู้นิยมเลี้ยงสัตว์แปลก

นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อของไทยอีก เช่น ถ้าบึ้งขึ้นบ้านจะถือว่าโชคร้าย คนในบ้านจะเจ็บไข้ได้ป่วย ต้องทำพิธีสะเดาะเคราะห์ หรือเชื่อว่า หากพบเห็นรูบึ้งหันไปทางทิศตะวันออก จะนำมาซึ่งโชคลาภ เป็นต้น

Leave a comment