ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160322/224507.html
ประเทศไทยแล้งน้ำแต่ไม่แล้งทางแก้ไข : สัมภาษณ์พิเศษ สุพจน์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ และโฆษกกระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม
ในสถานการณ์ภัยแล้ง สุพจน์ โตวิจักษณ์ชัยกุล มองว่า ในความเป็นจริงน่าจะเป็นเรื่องการของขาดแคลนน้ำมากกว่า ซึ่งก็ขึ้นกับว่าปีไหนจะมาก ปีไหนจะน้อย ยังไม่ถึงกับจะเรียกว่าเป็นภัยแล้ง ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของหน่วยงานรัฐทุกส่วนต้องเข้าให้ความช่วยเหลือประชาชน แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ นโยบายการบริหารจัดการนำของรัฐบาล
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การกักเก็บนำ้ของเขื่อนต่างๆ ควบคู่ไปกับการขุดเจาะบ่อบาดาลเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน
อย่างไรก็ตาม เมื่อสำรวจปริมาณน้ำในเขื่อนต่างๆ แล้ว สุพจน์ชี้ว่า เขื่อนใหญ่ทั่วประเทศจำนวน 33 เขื่อน ก็ยังไม่เพียงพอ (เขื่อนใหญ่นับจากการกักเก็บน้ำได้มากถึง 100 ล้าน ลบ.ม.) เขื่อนที่ใหญ่ที่สุดคือ เขื่อนศรีนครินทร์ เก็บน้ำได้ 17,000 ล้าน ลบ.ม. แต่ปริมาณน้ำในเขื่อนใหญ่ๆ ขณะนี้อยู่ที่ 2,073.26 ล้าน ลบ.ม. สามารถใช้น้ำได้จนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2559 ซึ่งรัฐบาลสามารถบริหารจัดการได้
ยังมีอีก 43 จังหวัดที่ขาดแคลนน้ำ แต่ยังไม่เข้าเกณฑ์เหมือน 15 จังหวัดที่ประกาศภัยแล้งไปแล้ว แต่นับจากนี้ไปบางจังหวัดจะถูกทยอยประกาศภัยแล้งเพิ่มขึ้น ยกเว้นแต่มีฝนตกลงมาเพิ่ม หรือมีการขุดเจาะน้ำบาดาลเพิ่มได้ตามที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะขุดให้ได้ภายในเดือนเมษายนอีก 2,000 แห่ง ซึ่งจะส่งผลให้มีการประกาศจังหวัดที่ประสบภัยแล้งลดลง
“น้ำเค็มรุก” ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อภาพรวม และเป็นปัญหาของหลายพื้นที่ แม้แต่กรุงเทพฯ เอง ขณะนี้น้ำเค็มรุกมาถึง รพ.ศิริราช แต่ยังไม่กระทบต่อการอุปโภคบริโภค ซึ่งผิดกับปีก่อนๆ ที่น้ำเค็มรุกไปไกลกว่านี้ ทำให้กรมชลประทานต้องปล่อยน้ำจากเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนป่าสักฯ ลงมาดันน้ำเค็มออกสู่ทะเล แต่ขณะนี้ปัญหาน้ำเค็มรุกหนักไปอยู่ที่ 5 จังหวัด ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี สมุทรปราการ สมุทรสาคร และสมุทรสงคราม
อย่างเช่น จ.ปราจีนบุรี น้ำเค็มรุกถึง อ.เมือง แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อการเกษตรมากนัก แต่กลับไปส่งผลกระทบต่อการล้างเครื่องมือแพทย์ โดยเฉพาะเครื่องฟอกไต แต่ยังไม่กระทบต่อการอุปโภคบริโภค จึงมีการนำการแก้ปัญหาระบบ “ประชารัฐ” มาใช้ แต่ในส่วนของโรงพยาบาล ทางกรมทรัพยากรน้ำได้นำน้ำสะอาดไปให้ใช้
ขณะนี้ประเทศไทยกักเก็บน้ำในเขื่อนไม่เพียงพอกับความต้องการ จากที่ควรจะกักเก็บได้ตามมาตรฐานโลกที่ประมาณ 20% จากปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมา แต่ประเทศไทยกักเก็บได้เพียง 10% เท่านั้น จึงเป็นต้นเหตุให้เกิดความขาดแคลนน้ำ ความจริงควรจะหาแหล่งกักเก็บน้ำเพิ่ม แต่ยังทำไม่ได้ ด้วยปัญหานานัปการ โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อม รัฐบาลจึงต้องหาวิธีแก้ไขทางอื่น
เขื่อนที่มีปริมาณน้ำน้อยมี 13 เขื่อน น้ำมากถึงมากที่สุด 20 เขื่อน แสดงว่า ปริมาณน้ำยังพอใช้ แต่อาจจะไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ แม้แต่บางพื้นที่ที่อยู่ในจังหวัดเดียวกัน ปริมาณน้ำที่ขาดแคลนยังไม่เหมือนกัน เกิดปัญหาการแย่งชิงน้ำ เป็นอีกปัญหาที่ต้องแก้ไขในอนาคต โดยเฉพาะในภาคอีสานที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด เพราะเป็นพื้นที่เกษตรน้ำฝน ไม่ใช่พื้นที่ชลประทาน เขตพื้นที่ใหญ่ที่สุดของประเทศที่ปลูกข้าวนาปีเป็นหลักคือ ลุ่มเจ้าพระยา เพราะมีเขื่อนหลัก 4 เขื่อนหล่อเลี้ยงอยู่ ซึ่งเป็นแหล่งสร้างจีดีพีของประเทศ
คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ต้องแก้ไขปัญหาเชิงรุก มีการจัดระบบบริหารจัดการน้ำ เราจะรู้ล่วงหน้าด้วยว่าจะแล้งที่ไหน และต้องการน้ำเท่าไหร่ ทางราชการก็สามารถลงพื้นที่ให้การช่วยเหลือได้ทันทีโดยไม่ต้องให้ประชาชนร้องขอความช่วยเหลือ
ปริมาณน้ำฝนที่ตกในพื้นที่ประเทศไทยจะเท่ากับประมาณ 7 แสนล้าน ลบ.ม. ถือว่ามากมายมหาศาล แต่ในปริมาณนี้ น้ำระเหยไปประมาณ 4 แสนล้าน ลบ.ม. และซึมลงดินประมาณ 1 แสนล้าน ลบ.ม. ทำให้เหลือปริมาณน้ำผิวดินที่นำไปใช้ได้จริงเพียง 2 แสนล้าน ลบ.ม.เท่านั้น ซึ่งส่วนหนึ่งอยู่ในเขื่อนทั้ง 33 เขื่อนทั่วประเทศ ถ้าน้ำเต็มทุกเขื่อนจะกักเก็บได้ประมาณ 7.9 หมื่นล้าน ลบ.ม. ถ้าเปรียบเทียบจากปริมาณน้ำทั้งหมด 7 แสนล้าน ลบ.ม. ถือว่าเก็บได้เพียง 10% เท่านั้น ถ้าเราสามารถเก็บได้ 20% รับรองประเทศไทยไม่แล้งแน่นอน
“น้ำใช้ได้มีเพียงแค่ 10% จะสร้างเขื่อนใหม่ก็ยาก เราถึงยังแล้งกันอยู่ แต่รัฐบาลมีวิธีแก้ปัญหา โดยวิเคราะห์ว่า พื้นที่ที่ต้องการใช้น้ำมากที่สุดคือ พื้นที่เกษตรกรรม ในประเทศไทยมีพื้นที่เกษตรทั้งหมดประมาณ 300 กว่าล้านไร่ แต่ทำการเกษตรจริงๆ ได้ 149 ล้านไร่ ที่เหลือทำการเกษตรไม่ได้ เช่น พื้นที่ภูเขา พื้นที่ในตัวเมือง เป็นต้น และใน 149 ล้านไร่นี้ เป็นพื้นที่ที่กรมชลประทานดูแล 30 ล้านไร่เท่านั้นเอง ที่เหลืออีก 119 ล้านไร่ อยู่ในความรับผิดชอบของกรมทรัพยากรน้ำ ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ในภาคอีสาน”
ทุกปีน้ำไม่เคยเต็มเขื่อน ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะกักเก็บน้ำใน 33 เขื่อนได้ถึง 7.9 หมื่นล้าน ลบ.ม. ที่ผ่านมากักเก็บได้เต็มที่สุดก็ประมาณ 5 หมื่นล้าน ลบ.ม. แต่ ณ ปัจจุบันน้ำใช้ได้การได้ของทั้งประเทศมีเพียง 12,035 ล้าน ลบ.ม.เท่านั้น
ความต้องการน้ำของทุกภาคส่วนทั้งประเทศ ปรากฏว่าภาคเกษตรกรรมใช้น้ำมากที่สุด คือประมาณ 90% ของน้ำใช้ได้ทั้งหมด รักษาระบบนิเวศ 18% อุปโภคบริโภค 4% และอุตสาหกรรมท่องเที่ยว 3% แสดงให้เห็นว่า สถานที่เก็บกักน้ำตามเขื่อนใหญ่ต่างๆ อยู่แถบภาคกลางและภาคเหนือ และพื้นที่ที่ต้องการใช้น้ำทำการเกษตรส่วนใหญ่อยูในภาคอีสาน ซึ่งในเชิงวิศวกรรม หรือเชิงเศรษฐกิจ การจะนำน้ำในเขื่อนใหญ่ๆ ไปช่วยเกษตรกรรมในภาคอีสานไม่คุ้มค่าและทำไม่ได้
“ตอนแรกท่านนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐฒนตรี ังไม่ทราบข้อเท็จจริงจุดนี้ ก็พยายามจะรณรงค์ให้ประชาชนประหยัดน้ำทุกรูปแบบ แต่การแก้ให้ประหยัดน้ำอุปโภคบริโภคที่มีปริมาณผู้ใช้เพียง 4% เป็นการแก้ไม่ถูกจุด ในข้อเท็จจริงคือ ต้องรณรงค์ประหยัดน้ำในส่วนเกษตรกรรม ที่ใช้น้ำมากถึง 90% ของทั้งหมด ทางแก้ไขปัญหาทำได้ง่ายมาก โดยเปลี่ยนการทำเกษตรกรรมแบบเดิมๆ มาทำเกษตรกรรมโซนนิ่ง โดยแบ่งพื้นที่ทั้งหมดออกเป็นส่วนๆ เคยปลูกข้าวก็ปลูกต่อไปแต่ลดพื้นที่ลง แบ่งไปปลูกพืชอื่นๆ ที่ใช้น้ำน้อย แต่ได้กำไรมากกว่า เช่น เมล่อน ที่ใช้น้ำน้อยกว่าข้าวเป็น 100 เท่า และได้กำไรมากกว่าหลายสิบเท่า อย่างที่ จ.อุทัยธานี เกษตรกรหันไปปลูกเมล่อนได้กำไรไร่ละประมาณ 2 แสนบาท ขณะที่ปลูกข้าวได้กำไรไร่ละ 2,400 บาท และปลูกได้เพียงปีละครั้งเท่านั้น เทียบกันไม่ได้เลย”
ขณะนี้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีทราบแล้วว่า ควรหันไปแก้ปัญหาด้านเกษตรกรรมมากที่สุด แต่ในส่วนของประชาชนที่ใช้น้ำอุปโภคบริโภคก็ยังต้องรณรงค์ต่อไป เพื่อคนไทยเกิดจิตสำนึกในการประหยัดน้ำ ไม่ต้องรอให้ขาดแคลนน้ำ หรือน้ำหมดเสียก่อน จึงค่อยรณรงค์ให้ประหยัด เราต้องเริ่มตั้งแต่ตอนนี้เลย
“น้ำที่ใช้ได้มีปริมาณมากกว่าน้ำที่ประชาชนต้องการใช้อยู่ถึง 3,000 ลบ.ม. แต่น้ำที่ใช้ได้อยู่ไม่ตรงกับพื้นที่ที่ต้องการใช้น้ำ อยู่ห่างไกลกันมาก ทำแล้วไม่คุ้ม จะขุดบ่อก็ไม่ได้ เพราะไม่มีน้ำ ทำฝนหลวงก็ไม่ได้ แต่มี 2 วิธีที่คิดหัวแทบแตกคือ ต่อท่อส่งน้ำไปให้ในพื้นที่ที่ไม่ห่างไกลจากแหล่งน้ำมากนัก ซึ่งก็มีไม่มาก อีกวิธีคือ เจาะบ่อบาดาล เพราะเทคโนโลยีในปัจจุบันช่วยให้การเจาะบ่อบาดาลราคาถูกลง และเจาะได้ลึกถึง 100 เมตร ได้ผลดีขึ้น ใช้เวลาในการเจาะประมาณบ่อละ 7 วัน จังหวัดไหนที่ต้องเจาะบ่อบาดาลจำนวนมากก็จะระดมหน่วยงานเจาะจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรมชลประทาน ทั้งกองทัพไทย และว่าจ้างเอกชนมาลงแขกระดมเจาะให้เสร็จเป็นจังหวัดๆ ไป จากนั้นก็ไประดมเจาะจังหวัดที่เดือดร้อนอื่นๆ ต่อไป”
การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าคือ การเจาะบ่อบาดาล และรถขนน้ำ จากทุกหน่วยงาน 4,800 กว่าคัน เครื่องสูบน้ำมี 4,000 เครื่อง แต่ต่อไปนี้ กนช.จะแก้ไขปัญหาน้ำเชิงรุกแบบปฏิรูปอย่างยั่งยืน โดยการสร้างประสิทธิภาพของเขื่อนให้เต็มที่ จากที่เคยใช้งานเขื่อนแค่ 70-80% จะเปลี่ยนให้ใช้งานให้เต็ม 100% คือต้องเพิ่มการกักเก็บน้ำ
ยกตัวอย่าง เขื่อนภูมิพล ที่ไปสำรวจมาแล้วพบว่า โดยเฉลี่ยต่อปีจะขาดน้ำอยู่ประมาณ 4,000 ล้าน ลบ.ม. จากที่เก็บได้ 1.3 หมื่นล้าน ลบ.ม. ซึ่ง 4,000 ล้าน ลบ.ม.เท่ากับปริมาณน้ำในเขื่อนเล็กๆ อย่างเขื่อนแก่งเสือเต้น 4 เขื่อน ถ้าเราหาน้ำมาได้ ก็จบเลย พื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาจะสามารถปลูกข้าวนาปรังได้ประมาณ 3 รอบครึ่ง กลายเป็นจีดีพีพุ่งอย่างแรง ซึ่งมีการคิดโครงการแก้ไขมาทั้งหมดแล้ว ไม่ใช่เพิ่งคิด แต่คิดมาเป็นสิบๆ ปีแล้ว เหลือเพียงการอนุมัติออกแบบก่อสร้างผันน้ำเข้าเขื่อน ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อนุมัติบ้างแล้วบางโครงการ”
“รัฐบาลก่อนๆ ไม่มีใครกล้าเสนอคณะรัฐมนตรี แต่รัฐบาลชุดนี้กล้าทำ เพื่อเป็นการเพิ่มน้ำต้นทุนของประเทศ โดยพิจารณาความสำคัญการเริ่มโครงการ จากเหตุผลหลักคือ การขาดแคลนน้ำอย่างหนัก กับพื้นที่ที่จะช่วยเพิ่มจีดีพีของประเทศ มี 2 พื้นที่ คือ ลุ่มน้ำเจ้าพระยา กับลุ่มน้ำโขง-ชี-มูล ส่วนภาคอีสานยังไม่เพิ่มจีดีพี เพราะยังปรับระบบการเกษตรไม่เสร็จ แต่ต้องมีน้ำใช้เพื่อไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน ประชาชนจะได้ไม่อพยพเข้าไปหางานทำในเมือง รัฐบาลอยากให้ประชาชนทำงานอยู่ในพื้นที่ของเขามากกว่า ถึงแม้ว่าจะลงทุนจำนวนมาก แต่รัฐบาลต้องทำ เราสามารถเฉลี่ยกำไรจากส่วนอื่นมาช่วยในส่วนนี้ได้”
เริ่มดำเนินโครงการห้วยหลวงเฟสแรกไปแล้ว อีกโครงการคือ เติมน้ำสาละวิน-ภูมิพล อยู่ระหว่างการศึกษาของกรมชลประทาน ใช้งบประมาณ 5 หมื่นกว่าล้านบาท น่าจะใช้เวลาประมาณ 2 ปี ซึ่งต้องเริ่มอนุมัติสั่งการในรัฐบาลชุดนี้ แต่จะได้ใช้ในรัฐบาลชุดหน้า เป็นปัญหาที่รอไม่ได้แล้ว ต้องเริ่มทำขณะนี้ ส่วนโครงการอื่นๆ เป็นหน้าที่ของรัฐบาลชุดต่อๆ ไป มารับช่วงดำเนินการต่อ เพราะ กนช.คิดไว้ให้หมดแล้ว ซึ่งโครงการที่รัฐบาลต่อๆ ไป น่าจะต้องดำเนินการเลย คือ โครงการสะดึงนำ ส่งน้ำสู่ภาคตะวันออก สามารถเพิ่มอัตราการผลิตของอุตสาหกรรมในมาบตาพุดได้โดยไม่ขาดแคลนน้ำ
คสช.แต่งตั้งคณะกรรมการน้ำขึ้นมา โดยการนำของ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธาน มีหน้าที่เดียวคือ ทำแผนยุทธศาสตร์น้ำของประเทศ เมื่อภารกิจสำเร็จก็ปิดตัวลง จากนั้นตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ขึ้นมารับหน้าที่ต่อ คือ คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะกรรมการ มีนายสุพจน์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เป็นเลขาธิการ
กนช.มีหน้าที่นำแผนยุทธศาสตร์น้ำมาปฏิบัติ มาประเมินผล เป็นยุทธศาสตร์ระยะเวลา 12 ปี (พ.ศ.2558-2569) แก้ปัญหา 6 ด้าน คือ การจัดการน้ำกินน้ำใช้ การจัดการน้ำภาคเกษตร/อุตสาหกรรม การจัดการอุทกภัย การจัดการคุณภาพน้ำ บริหารจัดการ และการฟื้นฟูป่าต้นน้ำ แต่ละยุทธศาสตร์ก็มีหน้าที่รับผิดชอบในตัวเอง และย่อยมาตรการในการปฏิบัติการออกไปอีกมากมาย
“คนปฏิบัติไม่ต้องคิด เพราะ กนช.คิดไว้ให้หมดแล้ว รัฐบาลต่อจากนี้ไป มีหน้าที่ปฏิบัติตามเท่านั้น ถ้าทำตามเป้าหมายนี้ได้ รับรองสำเร็จแน่นอน”
