“ปลูกไม้ดอกไม้ใบ” สร้างอาชีพ ที่ตราด ไม่จบปริญญา ก็เป็นเศรษฐีได้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05030151058&srcday=2015-10-15&search=no

วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 28 ฉบับที่ 609

ไม้ดอกไม้ประดับ

สาวบางแค

“ปลูกไม้ดอกไม้ใบ” สร้างอาชีพ ที่ตราด ไม่จบปริญญา ก็เป็นเศรษฐีได้

ทุกวันนี้เด็กไทยจำนวนมากมุ่งมั่นเรียนต่อระดับปริญญาตรี แต่เมื่อเรียนจบออกมาแล้ว กลับตกงาน หางานทำไม่ได้ เพราะความรู้และทักษะไม่ตรงกับสาขาอาชีพที่ตลาดต้องการ ตรงกันข้ามกับกลุ่มแรงงานฝีมือเชิงช่าง ที่มีจำนวนน้อย เมืองไทยขาดแคลนแรงงานกลุ่มนี้มานานแล้ว และยิ่งมีแนวโน้มจะขาดแคลนแรงงานช่างฝีมือมากขึ้นในอนาคต

“จังหวัดตราด” ปฏิรูป

การเรียนรู้สู่ “สัมมาชีพ”

สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) สนับสนุนให้จังหวัดตราด เดินหน้าปฏิรูปการเรียนรู้ มุ่งสู่การมี “สัมมาชีพ” นำแนวคิดการจัดการศึกษา “ทวิศึกษา” ปูทักษะพื้นฐานเด็กตราดสู่โลกของการทำงาน พร้อมปรับหลักสูตร ให้เรียนจบแล้วต้องมีงานทำ เพื่อสอดรับกับการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษไทย-กัมพูชา ตั้งเป้าเปลี่ยนทัศนคติคนตราด “ไม่จบปริญญาตรี ก็เป็นเศรษฐีได้” ชูพื้นที่ต้นแบบ “โรงเรียนเขาน้อยวิทยาคม” จัดการศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะอาชีพ เตรียมความพร้อมสู่การเป็นเจ้าของธุรกิจ

คุณธันยา หาญผล ประธานคณะกรรมการโครงการปฏิรูปการเรียนรู้เชิงพื้นที่ จังหวัดตราด กล่าวว่า จังหวัดตราดเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ในอนาคตจะมีอาชีพที่เกิดขึ้นใหม่เป็นจำนวนมาก ซึ่งต้องการแรงงานที่มีทักษะใน 3 ด้าน คือ การเกษตร การท่องเที่ยว และการค้าชายแดน ดังนั้น การปฏิรูปการเรียนรู้ของจังหวัดตราดจึงมีเป้าหมายหลักให้ ที่จะทำให้เด็กตราดไม่ว่าจะจบอะไรมา จะต้องมีสัมมาชีพ และสื่อสารให้สังคมเข้าใจว่า การเรียนจบปริญญาตรีนั้น มิใช่เป้าหมายหลักเหมือนเช่นเดิมที่ผ่านมา แต่เรียนแล้วจะต้องนำความรู้ที่ได้ไปทำงานได้ ถึงไม่จบปริญญาตรีก็สามารถเป็นเศรษฐีได้

“ร.ร. เขาน้อยวิทยาคม”

ต้นแบบการเรียนรู้

สร้าง “เถ้าแก่น้อย”

นายประธาน ทวีผล ผู้อำนวยการ โรงเรียนเขาน้อยวิทยาคม ซึ่งเป็นโรงเรียนต้นแบบจัดการศึกษาเพื่อตอบโจทย์สัมมาชีพ ด้วยการบูรณาการกลุ่มกิจกรรม “กล้วยไม้” สู่การบริหารธุรกิจการเกษตรอย่างครบวงจรมาเป็นเวลานานกว่า 10 ปี ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มตลาดแรงงานที่สำคัญของจังหวัด ก่อนขยายผลไปสู่ทักษะการเรียนรู้ในพืชพันธุ์เศรษฐกิจชนิดอื่นๆ ที่เป็นที่ต้องการของตลาด ที่สามารถกำหนดเป้าหมายการศึกษาต่อของนักเรียนที่ชัดเจน ทำให้แม้จะเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก แต่เด็กนักเรียนก็สามารถสอบติดมหาวิทยาลัยได้ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ เปิดเผยว่า ความเปลี่ยนแปลงของเด็กที่เข้ามาร่วมในกิจกรรมชุมนุมทักษะอาชีพด้านการเกษตร ก็คือ เด็กนักเรียนมองเห็นเป้าหมายของการเรียนต่อหรือการประกอบอาชีพที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น รู้ว่าเรียนไปเพื่ออะไร และเรียนไปเพื่อหาอะไร

“เด็กที่เข้ามาทำกิจกรรม เขาก็จะเริ่มมีทักษะทางอาชีพ เพราะฉะนั้นเป้าหมายในการเรียนต่อก็เลยชัด เมื่อก่อนถามเด็ก ม.6 ว่าจบแล้วเรียนต่ออะไร คำตอบก็คลุมเครือว่า เป็นหมอ วิศวะ แต่ปัจจุบันคำตอบของเด็กๆ มันชัดเจนมากในแววตาของเขา เขาอยากเรียนเกษตร เพราะอยากมีงานทำ อยากกลับมาทำงานที่บ้าน มาพัฒนาบ้าน พัฒนาชุมชน”

ในปีการศึกษา 2551 ทางโรงเรียนได้ปรับปรุงห้องสหกรณ์ร้านค้าเก่าเป็นศูนย์การเรียนรู้พฤกษศาสตร์ เพื่อรวบรวมความรู้เรื่อง กล้วยไม้ สมุนไพร ยางพารา เพื่อเป็นศูนย์บริการนักเรียนและผู้ปกครองที่สนใจและสร้างโรงเรือนกล้วยไม้แบบถาวร เพื่อเป็นแหล่งเพาะเลี้ยงกล้วยไม้ ไม้ประดับ กว่า 300 สายพันธุ์ โดยมุ่งขยายพันธุ์เพื่ออนุรักษ์ เรียนรู้ และจำหน่ายเป็นรายได้ระหว่างเรียนของนักเรียนที่มีใจรัก

“ครูตือ-สมเกียรติ แซ่เต็ง” ครูคณิตศาสตร์ของโรงเรียนแห่งนี้กล่าวว่า การเรียนรู้บูรณาการกลุ่มสาระวิชาผ่าน “กล้วยไม้” เชื่อมโยงชุมชน ธรรมชาติแล้ว ยังทำให้เด็กนักเรียนรู้จักการวางแผนอนาคตตัวเองมากขึ้น ที่ผ่านมาเด็กที่เรียนจบมัธยมปลายสามารถสอบติดสถาบันอุดมศึกษาได้ 100% เต็มแล้ว นอกจากนี้ เด็กๆ ที่เข้าร่วมกิจกรรมขยายพันธุ์กล้วยไม้และเฟิร์นผ่านช่องทางต่างๆ ทั้งทางเฟซบุ๊ก และงานแสดงสินค้าต่างๆ ในจังหวัดตราดและพื้นที่ใกล้เคียง ทำให้เด็กๆ มีรายได้คนละมากกว่าหมื่นบาทต่อเดือน

“ไม้ดอกไม้ใบ”

สร้างอาชีพให้เยาวชน

จาก “ชุมนุมกล้วยไม้” ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความรู้เกี่ยวกับกล้วยไม้ในโรงเรียนเขาน้อยวิทยาคม จังหวัด ตราด ดำเนินงานโดยนักเรียนทั้งหมด และมีครูตือเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา เปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้เกิดการเรียนรู้ที่เกิดจากการลงมือปฏิบัติจริง จนเกิดทักษะเชี่ยวชาญ ทั้งด้านการเพาะขยายพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับและการขายสินค้า สามารถประสบความสำเร็จและได้รับการสนับสนุนจากผู้คนในชุมชน ทำให้พวกเขาเกิดขวัญกำลังใจที่จะเดินหน้าพัฒนาธุรกิจของพวกเขา ให้ทำงานเป็นระบบมากขึ้น โดยจัดตั้งเป็นบริษัท ชื่อว่า บริษัท เขาน้อยออร์คิด จำกัด เมื่อ 2 ปีที่แล้ว โดยระดมทุนจากเด็กนักเรียนที่เป็นสมาชิก นำมาใช้ในการลงทุน พวกเขาหุ้นเงินกันซื้อพันธุ์ไม้ วัสดุอุปกรณ์ และแบ่งปันรายได้หลังหักค่าใช้จ่าย ที่ผ่านมาพวกเขานำสินค้าไปขายตามงานแสดงสินค้าทั้งในจังหวัดและพื้นที่ใกล้เคียง มีรายได้หลักหมื่นในการออกงานแต่ละครั้ง ผลกำไรจะถูกนำมาแบ่งปันกันในกลุ่มสมาชิกผู้ถือหุ้น เด็กๆ มีความสุขที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทกล้วยไม้เขาน้อย พร้อมแบ่งปันความรู้และความสุขถ่ายทอดให้แก่เยาวชนรุ่นน้องต่อไป

“ธนากร อัมพรทิพย์” นักเรียน ชั้น ม.5 และ “สิทธิศักดิ์ พันธุ์พิริยะ” นักเรียน ชั้น ม.6 อาสาพาเดินชมสวนไม้ดอกไม้ใบของพวกเขา ที่นี่เน้นปลูกขยายพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับท้องถิ่น เพราะปลูกดูแลได้ง่ายกว่าพันธุ์ไม้จากต่างถิ่น สวนแห่งนี้ใช้เนื้อที่ไม่มาก แต่อัดแน่นไปด้วยพรรณไม้นานาชนิดกว่า 300 สายพันธุ์ ได้แก่ “สร้อยนางกรอง” เส้นใหญ่ ขาว อวบ สวย ถัดไปเป็น “เฟิร์นนางกลายเขาระกำ เมืองตราด” เส้นใหญ่ งุ้ม สวย “หูช้าง” เฟิร์นหัวพันธุ์หนึ่งที่สง่างาม “ไอยเรศ” เป็นกล้วยไม้ที่เวลาออกดอกจะแทงช่อคู่สวยงาม

เมื่อถามถึงที่มาของพันธุ์ไม้ในสวนแห่งนี้ เด็กๆ บอกว่า เวลาพวกเขาไปเดินชมงานแสดงสินค้า เจอพันธุ์ไม้แปลกก็จะซื้อเก็บสะสมไว้ เพื่อนำไปขยายพันธุ์ต่อไป หนึ่งในพันธุ์ไม้ที่พวกเขาภาคภูมิใจคือ เฟิร์นนางกรายเขาระกำ ในอดีตเฟิร์นชนิดนี้เป็นพันธุ์ไม้หายาก โดยมีราคาซื้อขายสูงถึงต้นละ 100,000 กว่าบาท สิทธิศักดิ์ ตัดสินใจซื้อเฟิร์นนางกรายเขาระกำ มาเพียงแค่เส้นเดียว ในราคา 500 บาท ก็นำมาเลี้ยงดูแลต่อจนเป็นต้นโต กอใหญ่ มูลค่าในขณะนี้ประมาณ 4,000-5,000 บาท หากจะขยายพันธุ์ต้องเลี้ยงให้โตกว่านี้อีกสักหน่อย ปีนี้สิทธิศักดิ์จะจบชั้น ม.6 แล้ว คงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเด็กรุ่นน้องสานต่อโครงการนี้ต่อไป

ที่ผ่านมาพวกเขาขยายพันธุ์ไม้ใบอย่างต่อเนื่อง ครั้งละประมาณ 100-200 ต้น ขั้นตอนการเพาะชำเฟิร์นทำได้ไม่ยาก โดยใช้สปอร์ของเฟิร์นสาย จะอยู่ส่วนปลายสุดเส้นของเฟิร์นมาเพาะชำบนขุยมะพร้าวที่เปียกชื้น เพื่อให้เกิดรากใหม่ ในระยะเวลา 2-3 เดือน หลังจากนั้น เลี้ยงดูแลต่ออีก 1 ปี จนต้นเฟิร์นมีความยาวพอสมควรก็เริ่มนำสินค้ารุ่นใหม่ออกวางขายได้

การปลูกเลี้ยงเฟิร์นให้ประสบความสำเร็จ ก็ขึ้นอยู่กับเทคนิคการปลูกดูแลของนักเรียนแต่ละคน สิทธิศักดิ์มีเคล็ดลับส่วนตัวที่ใช้แล้วได้ผลดีคือ ก่อนปลูก สิทธิศักดิ์จะนำน้ำร้อนมาลวกขุยมะพร้าว เพื่อฆ่าเชื้อโรคก่อนนำไปใช้งาน นอกจากนี้ ยังใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มา เป็นเชื้อราชั้นสูงมาควบคุมโรคพืชในขุยมะพร้าวก่อนนำไปใช้เพาะชำ วิธีนี้สามารถป้องกันไม่ให้ต้นเฟิร์นเสี่ยงเจอปัญหาเชื้อรารบกวนในอนาคต

สินค้าไม้ดอกไม้ใบของพวกเขา ตั้งราคาขายตามชนิดพันธุ์ไม้ ราคาเริ่มต้นตั้งแต่หลักร้อยถึงหลักพันบาท ขึ้นอยู่กับขนาดต้น เช่น สับปะรดสี ราคาขายเริ่มต้นที่ 50 บาท ต่อต้น สินค้าขายดีที่ได้รับความนิยมสูงในขณะนี้คือ เฟิร์นสาย ราคาขายเริ่มต้นอยู่ที่ 250 บาท ต่อต้น หากเป็นต้นขนาดใหญ่ราคาขายโดยเฉลี่ยอยู่ที่ ต้นละ 2,000-3,000 บาท น้องๆ บอกว่า กิจกรรมเหล่านี้ช่วยสร้างรายได้ระหว่างภาคเรียนแล้ว ยังช่วยสร้างความสุขให้แก่พวกเขาอีกต่างหาก สิทธิศักดิ์ บอกว่า เขาเริ่มต้นทำกิจกรรมไม้ดอกไม้ประดับในโรงเรียนมาตั้งแต่ 6 ปีที่แล้ว ในช่วงที่มีงานแสดงสินค้าต่างๆ ของจังหวัดตราด เช่น งานเขาสมิง งานตราดรำลึก ฯลฯ ทางโรงเรียนก็เปิดโอกาสให้เด็กๆ นำสินค้าของพวกเขาไปจำหน่ายด้วย ประมาณปีละ 2-3 ครั้ง ก็ช่วยสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ ลูกค้ารายใหญ่ของเด็กๆ คือ ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดตราดที่เหมาสินค้าของพวกเขาเป็นมูลค่าหลายหมื่นบาท นอกจากนั้น ลูกค้าขาประจำส่วนใหญ่เป็นกลุ่มนักสะสมพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับ นอกจากผลิตพันธุ์ไม้ออกขายแล้ว ยังได้แบ่งพันธุ์เฟิร์นและกล้วยไม้บางส่วนไปปลูกในป่าชุมชนอีกด้วย

ช่วง 6 ปี ที่สิทธิศักดิ์ปลูกและขายไม้ใบเหล่านี้ สามารถสร้างรายได้เข้ากระเป๋าไม่ต่ำกว่า 90,000 บาทแล้ว การทำกิจกรรมดังกล่าว นอกจากได้เงินเป็นรายได้เสริมระหว่างเรียนแล้ว ยังช่วยสร้างความรู้ด้านการเกษตร การจัดการธุรกิจ ที่สำคัญจะเชื่อมความรัก ความสามัคคี ในกลุ่มนักเรียนอีกด้วย

หากใครคิดอยากจะปลูกไม้ใบตระกูลเฟิร์น สิทธิศักดิ์มีข้อแนะนำว่า ต้องขยันเรียนรู้ ต้องรู้จักตลาด รู้จักสายพันธุ์พืช เพื่อป้องกันการถูกหลอกขายบนสินค้าหน้าเว็บเพจกลุ่มไม้ดอกไม้ใบ ที่มีจำนวนมากกว่า 100 กลุ่ม หากไม่มั่นใจข้อมูลสินค้าที่ขายบนหน้าเว็บเพจว่า เป็นสายพันธุ์ที่ถูกต้องหรือไม่ ราคาแพงเกินจริงหรือเปล่า ก็อาศัยสอบถามข้อมูลจากอาจารย์ที่ปรึกษาอีกที

นอกจากนี้ พวกเขายังใช้เฟซบุ๊กเป็นอีกช่องทางในการขยายตลาด โดยอัพภาพสินค้า ข้อมูล และราคา เปิดโอกาสให้ผู้สนใจเข้ามาสอบถามข้อมูลก่อนตัดสินใจเลือกซื้อสินค้า ปีนี้เขาเรียนจบ ม.6 แล้ว เขาตั้งใจจะศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เนื่องจากเขามีหุ้นในบริษัท จึงตั้งใจผลิตไม้ใบป้อนให้รุ่นน้องในโรงเรียนเป็นผู้จำหน่ายต่อไป

หากผู้อ่านท่านใดสนใจกิจกรรม บริษัท เขาน้อยออร์คิด จำกัด สามารถแวะเยี่ยมชมดูงานได้ที่ โรงเรียนเขาน้อยวิทยาคม เลขที่ 79 หมู่ที่ 8 บ้านเขาน้อย ถนนจุฬามณี-ฉางเกลือ ตำบลห้วยแร้ง อำเภอเมืองตราด จังหวัดตราด 23000 เบอร์โทรศัพท์ (039) 501-012

Leave a comment