‘ปู’ขึ้นศาลคดีข้าวฟังไต่สวนพยานโจทก์นัดที่5

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160323/224580.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันพุธที่ 23 มีนาคม 2559
‘ปู’ขึ้นศาลคดีข้าวฟังไต่สวนพยานโจทก์นัดที่5

‘ยิ่งลักษณ์’ ขึ้นศาลฎีกาฯฟังการไต่สวนพยานโจทก์คดีจำนำข้าว ครั้งที่ 5 คนแห่ให้กำลังใจ

       23 มี.ค.59 เมื่อเวลา 09.30 น. นายชีพ จุลมนต์ รองประธานศาลฎีกา เจ้าของสำนวนพร้อมองค์คณะรวม 9 คน ไต่สวนพยานโจทก์ครั้งที่ 5 คดีโครงการรับจำนำข้าว หมายเลขดำ อม.22/2558 ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย ในความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และความผิดตาม พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 กรณีละเลยไม่ดำเนินการระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งทำให้รัฐเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาท
       โดยก่อนเริ่มการไต่สวนพยาน องค์คณะฯ ชี้แจงให้คู่ความ 2 ฝ่ายว่า ตามที่ทนายความจำเลย ได้ยื่นคำร้องกรณีมีสื่อมวลชนหลายฉบับได้พาดหัวข่าว และการวิเคราะห์คำเบิกความพยานที่จะเป็นการชี้นำสังคม เพื่อให้ศาลมีคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใด หลังจากที่ก่อนหน้านี้สำนักงานศาลยุติธรรม ได้ออกแถลงการณ์ทำความเข้าใจกับสื่อสารมวลชนทั่วไปแล้วในการระวังการนำเสนอที่จะชี้นำ หรือบิดเบือน แต่ทั้งนี้ในการที่ศาลจะพิจารณามีคำสั่งใด ก็ต้องสร้างสมดุลระหว่างสิทธิของจำเลย และสิทธิของสื่อสารมวลชนในการรายงานข้อเท็จจริงเรื่องของกระบวนการภายในห้องพิจารณาคดีที่ศาลยอมรับอยู่เพราะเป็นการไต่สวนอย่างเปิดเผย ซึ่งศาลพิจารณาแล้ว จะให้สำนักงานศาลยุติธรรม ดำเนินการเพื่อให้จำเลยเกิดความสบายใจ
       ซึ่งต่อมาศาล มีคำสั่งในรายงานกระบวนพิจารณาว่า จำเลยได้ยื่นคำร้องวันที่ 8 มี.ค.59 ว่าตามที่ศาลเคยมีคำสั่งห้ามคู่ความ เสนอข่าวชี้นำให้สังคมเกิดความเข้าใจผิด แต่ปรากฏว่าระหว่างวันที่ 26 ก.พ. – 7 มี.ค.59 มีสื่อมวลชนบางราย เช่น หนังสือพิมพ์แนวหน้า ผู้จัดการออนไลน์ และสถานีโทรทัศน์สปริงนิวส์ ได้พาดหัวข่าว และนำคำเบิกความของพยานมาขยายความ การนำเสนอเนื้อหาดังกล่าวอาจทำให้เกิดอิทธิพลต่อการพิจารณาคดีของศาล และเป็นการชี้นำให้ประชาชนเข้าใจผิด ที่จะเป็นการกระทำละเมิดอำนาจศาล จึงขอให้ศาลเรียกผู้เสนอข่าว บรรณาธิการ หรือผู้เกี่ยวข้อง มาไต่สวนหรือกำชับเรื่องการนำเสนอข่าว ทั้งนี้ศาลพิจารณาและตรวจสอบคำร้องแล้วเห็นว่า เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏในห้องพิจารณาคดี อาจมีพาดหัวข่าวที่เป็นอิทธิพลต่อการพิจารณาคดีของศาลและความเข้าใจอย่างหนึ่งอย่างใดของประชาชน องค์คณะฯ เสียงข้างมาก เห็นว่า ให้สำนักงานศาลยุติธรรม เรียกบรรณาธิการ นสพ.แนวหน้า ผู้จัดการออนไลน์ และสถานีโทรทัศน์สปริงนิวส์ มาทำความเข้าใจกรอบการนำเสนอข่าวด้วยความระมัดระวัง
       ต่อมาเวลา 09.50 น. ศาลได้ไต่สวนพยานของอัยการ ที่วันนี้นำพยานเบิกความเพียง 1 ปาก คือ น.ส.ศิรสา กันต์พิทยา อดีตรอง ผอ.สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ( สบน.) ระบุว่า พยานปฏิบัติหน้าที่เรื่องบริหารหนี้จนถึงวันที่ 20 ก.พ.57 แล้วจึงถูกย้ายไปเป็นเลขา ฯ กรมดูแลเรื่องพิธีการสำนักงานซึ่งไม่เกี่ยวกับการกู้ยืมเงิน สำหรับโครงการจำนำข้าวจนถึงวันที่ 22 พ.ค.57 มีหนี้คงค้าง จำนวน 401,756 ล้านบาท โดยในปี 54-55 มีหนี้โครงการจำนำอยู่ที่ 409,152 ล้านบาท ซึ่งยอดหนี้ดังกล่าวไม่รวมกับยอดหนี้เงินกู้ของ ธกส. จำนวน 90,000 ล้านบาท สำหรับการชำระหนี้ ครม.มีมติให้นำเงินจากการระบายข้าวมาชำระ แต่พยานไม่ทราบว่ามีกฎหมายใดที่จะรองรับสถานะเงินจากการระบายข้าวว่าเป็นรายรับที่นำมาให้ใช้ได้หรือไม่ ในส่วนของกระทรวงการคลังเสนอว่าเมื่อได้เงินจากการระบายข้าวให้ส่ง ธกส. เพื่อนำไปชำระเงินกู้ต่อไป เพราะหากไม่ชำระก็จะเป็นภาระเงินงบประมาณ ขณะที่การดำเนินตามแผนโครงการจำนำข้าว เป็นไปตามมติ ครม.และได้บรรจุในแผนก่อหนี้สาธารณะที่ไม่ได้ชัดเจนว่าเป็นการจำนำข้าว แต่ระบุในแผนว่าเป็นโครงการรับจำนำผลผลิตทางการเกษตร ส่วนการกู้หนี้สาธารณะจะเป็นไปกรอบกฎหมายและประกาศนโยบายว่าด้วยหนี้สาธารณะ ซึ่งจะมีอายุของการชำระหนี้อยู่ที่ 2-4 ปี โดยการกำหนดกรอบเพื่อให้มีเวลาชัดเจนและไม่ให้มีหนี้คงค้าง ส่วนที่กระทรวงการคลัง ทำหนังสือถึง 6 ครั้ง เรื่องข้อเสนอในการกู้และชำระหนี้ถึง ครม.นั้น ยอมรับว่ามีบางเรื่องที่ ครม.ดำเนินการตาม แต่อีกหลายเรื่อง เช่นหลักการชำระหนี้ ไม่ทราบว่าได้ปฏิบัติหรือไม่
       ขณะที่ช่วงท้าย อัยการโจทก์ ได้ซักถามถึงกรณีที่พยาน ถูกย้ายเนื่องจากไม่กู้เงินเพิ่มในโครงการใช่หรือไม่ และการที่หนี้คงค้างในโครงการไม่ลดลงมากแสดงว่ารัฐบาลไม่สามารถชำระหนี้ตามกรอบอายุเงินกู้หรือไม่ น.ส.ศิรสา ระบุว่า เนื่องจากมีข้อเท็จจริงปรากฏว่า มีการยุบสภาในปี 2556 ตามหลักกฎหมายแล้วรัฐบาลไม่สามารถก่อหนี้ผูกพันรัฐบาลอื่นได้อีก ดังนั้นจึงไม่ได้ดำเนินการกู้เพิ่ม ส่วนการชำระหนี้จะมีเงิน 2 ส่วนคือเงินงบประมาณ และเงินระบายที่มาจากการระบายข้าว การที่หนี้คงค้างไม่ลดลง เพราะรัฐบาลนำเงินระบายข้าวมาใช้ต่อ ในการจำนำข้าวปี 55-56 ซึ่งทางปฏิบัติก็เป็นไปได้ยากหากจะมีการปรับโครงสร้างกว่า 400,000 ล้านบาทภายในครั้งเดียว
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนเข้าฟังการไต่สวนพยาน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่า ยังมีกำลังใจที่ดีอยู่ พร้อมส่งกำลังใจให้กับประชาชนทั้งประเทศที่ขณะนี้ต้องเจอกับสภาพอากาศที่ร้อนจัดขอให้อดทน
       ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นต่อการร่างรัฐธรรมนูญขณะนี้ ระบุเพียงว่า มีนักวิชาการและผู้ออกมาแสดงความคิดเห็นจำนวนมากแล้ว ก็ขอให้กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ รับฟังความเห็นทุกฝ่าย เพื่อนำไปปรับแก้ร่างฯ ที่กำลังดำเนินการอยู่ เพื่อให้รัฐธรรมนูญดังกล่าวเป็นรัฐธรรมนูญของประชาชนแท้จริง และเป็นรัฐธรรมนูญที่อยู่ถาวร
       สำหรับบรรยากาศผู้มาให้กำลังใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ อดีตนายกรัฐมนตรี วันนี้ ก็ยังคงหนาแน่น เหมือนเช่นเคย โดยมวลชนยังคงนำดอกกุหลาบสีแดงมามอบให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก่อนจะเข้าห้องพิจารณาคดี ซึ่งอดีตนายกฯ ก็มีสีหน้ายิ้มแย้มสดใส เดินเข้าฟังการไต่สวนพร้อมทีมทนายความ โดยมีแกนนำพรรคเพื่อไทย และ อดีต ส.ส. รวมทั้งกลุ่ม นปช. มานั่งให้กำลังใจภายในห้องพิจารณาคดีด้วย ซึ่งการรักษาความปลอดภัย ก็มีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบ จากกองบัญชาการตำรวจนครบาล 2 จำนวน 1 กองร้อย (บกน.2) เฝ้าระวังตลอดแนวด้านหน้าอาคารศาลฎีกา
       ขณะที่วันนี้เกิดความวุ่นวายเล็กน้อย เมื่อมีหญิงวัยกลางคน สวมหมวกแก๊ปสีเหลือง ถือป้ายกระดาษเขียนข้อความ จี ทู จี เก๊ พร้อมกับกลุ่มอีกประมาณ 3-4 คน เดินมายังจุดที่มีมวลชนรอให้กำลัง น.ส.ยิ่งลักษณ์ จึงสร้างความไม่พอใจ กระทั่งกำดอกกุหลาบแดงฟาดไปที่ป้ายกระดาษ จากนั้นมวลชนส่งเสียงโห่ไล่ กระทั่ง รปภ.ศาล และ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่บริเวณดังกล่าว ต้องเข้าระงับเหตุ ก่อนจะพาตัวอีกฝ่ายออกไปโดยไม่มีเหตุรุนแรง

Leave a comment