ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน
http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05108151058&srcday=2015-10-15&search=no
| วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 28 ฉบับที่ 609 |
ตลาดสินค้าเกษตรก้าวหน้า
ทะนุพงศ์ กุสุมา ณ อยุธยา
“ลุงเขียว” ปลูกมะนาวอินทรีย์ขาย ที่บุรีรัมย์
ในบรรดาไม้ผลเปรี้ยวจี๊ดจ๊าดที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ของกลุ่มผู้บริโภคแนวรักสุขภาพตอนนี้ เห็นจะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจาก มะนาว
ที่ผ่านมายังไม่เคยได้ยินว่าตลาดบริโภคมะนาวลดลงเลย ตรงกันข้ามกลับมีความต้องการเพิ่มมากขึ้นแบบทวีคูณเสียด้วยซ้ำ เพราะความต้องการของตลาดไม่เพียงแค่การบริโภค แต่ยังสามารถนำไปแปรรูปได้อีกมากมาย
ดังนั้น จึงไม่แปลกเมื่อการลงพื้นที่ของทีมงานพบว่า ชาวบ้านเกือบทุกแห่งมีการปลูกมะนาวกัน จะต่างกันเพียงแค่ว่าใครทำมาก/น้อย หรือทำในแนวทางไหนเท่านั้น
คอลัมน์ตลาดสินค้าเกษตรก้าวหน้าปักษ์นี้จะพาท่านไปพบกับชาวบ้านท่านหนึ่ง เป็นคนในพื้นที่บ้านโคกปราสาท อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ ที่ไม่ได้เริ่มต้นจากการเป็นเกษตรกรอาชีพ แต่ไปพบความประทับใจในโครงการทำเกษตรกรรมแบบเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง
กระทั่งนำมาสู่การทดลองทำจนประสบความสำเร็จ ทั้งการปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ การทำปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก โดยเฉพาะการปลูกมะนาวอินทรีย์ในวงบ่อซีเมนต์ที่บังคับให้มีผลผลิตนอกฤดูจำนวนมาก เป็นมะนาวที่มีคุณภาพทั้งความสมบูรณ์และจำนวน จนเป็นที่ต้องการของตลาดหลายแห่ง สามารถสร้างเป็นอาชีพเลี้ยงครอบครัวได้
ชาวบ้านท่านนี้คือ คุณบุญยัด สามารถ บ้านเลขที่ 121 หมู่ที่ 5 บ้านโคกปราสาท ตำบลละเวี้ย อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ แต่ความจริงแล้วหลายคนมักรู้จักชื่อเสียงและเรียกชื่อที่คุ้นเคยว่า ลุงเขียว
อาชีพเดิมของลุงเขียว คือรับจ้างทั่วไป ใครต้องการว่าจ้างให้ทำอะไร ไม่ว่าจะตัดอ้อย ถอนมันสำปะหลัง เขาจะไปทำให้ทั้งนั้น แล้วยังไปช่วยงานสร้างโบสถ์ ศาลาวัดอีก
ต่อมาเมื่อน้องเขยและลูกเขยเกิดมาป่วยเป็นมะเร็งพร้อมกัน จึงทำให้เขาต้องกลับมาดูแลอยู่กับบ้าน ระหว่างวัน ลุงเขียวใช้เวลาปลูกพืชผักสวนครัวไว้เพื่อใช้สอยในครอบครัว
จนกระทั่งจุดเปลี่ยนชีวิตเกิดขึ้นเมื่อเขาได้เห็นพระราชกรณียกิจในหลวงจากโทรทัศน์เกี่ยวกับโครงการเศรษฐกิจพอเพียง และเมื่อท่านตรัสว่า “ปลูกทุกอย่างที่กินได้” เลยเกิดเป็นความซาบซึ้งและนับเป็นแรงจูงใจให้ลุงเขียวตัดสินใจจัดระบบเกษตรในพื้นที่บริเวณบ้านที่ยังคงมีเหลืออีกไร่เศษเสียใหม่ เพื่อให้มีความยั่งยืน พร้อมกับไปซื้อลูกหมูมาเลี้ยง 3 ตัว
ขณะเดียวกันเห็นรายการโทรทัศน์เรื่องการปลูกมะนาวจึงเกิดความสนใจ เลยไปสั่งซื้อต้นพันธุ์มะนาวแป้นพิจิตร 1 จากระยองมาปลูก จำนวน 100 ต้น ในราคาต้นละ 100 บาท ทั้งนี้เพราะพันธุ์มะนาวแป้นพิจิตร 1 มีคุณสมบัติต้านทานโรคสูง ให้ผลดก มีน้ำมาก มีกลิ่นหอม ให้ผลผลิตเร็ว และปลูกเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2555 เป็นการปลูกในวงบ่อซีเมนต์ ขนาด 100 เซนติเมตร
แต่ลุงเขียวคิดว่าการปลูกมะนาวถ้าปล่อยให้มีผลผลิตตามธรรมชาติอาจส่งผลต่อรายได้ที่มีไม่มาก ดังนั้น เขาต้องการที่จะปลูกแบบบังคับให้ออกนอกฤดู จึงต้องเทพื้นปูนรองก้นบ่อเพื่อป้องกันไม่ให้รากแทงลงดิน
ลุงเขียวใช้ทุนประเดิมก้อนแรก จำนวน 50,000 บาท ในจำนวนมะนาว 100 ต้น และเมื่อมาคำนวณการลงทุนแต่ละต้นแล้วจะใช้เงินประมาณ ต้นละ 450 บาท (ค่าวงบ่อซีเมนต์ ค่าต้นพันธุ์ ค่าดิน ค่าปุ๋ย และค่าวางระบบน้ำ)
เจ้าของสวนมะนาวรายนี้เผยว่า การบังคับมะนาวนอกฤดูจะต้องนับจากวันที่ปลูกเป็นเวลา 9 เดือน จึงสามารถบังคับต้นได้ นับจากออกดอกใช้เวลาประมาณ 4 เดือน สามารถเก็บผลได้ วิธีสังเกตว่าผลที่เก็บได้โดยดูที่ผิวเปลือกจะใสมันวาว และนิ่มเมื่อบีบ ปัจจุบันต้นมะนาวที่มีอายุมากที่สุดคือ 3 ปี และตอนนี้ปลูกอยู่ทั้งหมด 200 ต้น ใช้ระยะปลูกระหว่างต้น 3 เมตร แต่ถ้าระหว่างแถวประมาณ 2 เมตร
การดูแลบำรุงต้นมะนาวระหว่างที่มีลูกติด จะดูแลบำรุงต้น รดน้ำ ให้ปุ๋ยเช่นเดียวกับเมื่อตอนที่ปลูกทุกอย่าง ระบบน้ำเป็นสปริงเกลอร์ ให้พอชุ่ม ครั้งละประมาณ 5 นาที และแหล่งน้ำที่ใช้มาจากการขุดบ่อขนาดกว้าง 10 เมตร ยาว 30 เมตร
สวนมะนาวของลุงเขียวนอกจากการปลูกเพื่อขายลูกแล้ว ยังมีการทำกิ่งพันธุ์ขายด้วย ทั้งนี้เขาจะมองตลาดโดยรวมก่อนว่ามีความต้องการอะไร รวมถึงจะดูแนวโน้มความต้องการของผู้บริโภคด้วย ดังนั้น จึงอาจไม่จำเป็นต้องทำมะนาวนอกฤดูเสมอไปหากแนวโน้มความต้องการกิ่งพันธุ์มีมากกว่าเพราะราคาดีกว่า ทั้งนี้ถ้าต้องการกิ่งพันธุ์ต้องสั่งล่วงหน้าอย่างน้อย 1 เดือน จะตอนกิ่งพันธุ์ครั้งละพันกว่ากิ่ง และกิ่งพันธุ์ที่ซื้อจากสวนลุงเขียวแล้วลูกค้าจะได้รับการบริการดูแลให้คำแนะนำจนกว่าจะได้ผลผลิต
“เมื่อเดือนมีนาคม ปี 2557 ไม่ค่อยมีผลผลิตเพราะตั้งใจทำน้อย โดยจะเน้นทำกิ่งพันธุ์เพราะราคาดีกว่า ได้ทำกิ่งพันธุ์ขายถึงจำนวน 7,800 กิ่ง ในราคาขายกิ่งละ 100 บาท แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าปีไหนมีความต้องการผลมะนาวมากจึงค่อยบังคับให้ออกนอกฤดูตามที่ต้องการ”
ส่วนการขายผลมะนาวนั้นโดยมากจะมีแม่ค้ามารับซื้อที่สวนเองและไม่ค่อยได้ไปส่ง ทั้งนี้คนที่ต้องการจะโทรศัพท์มาสั่งจองล่วงหน้า ส่วนมากสั่งกันรายละ 4,000-5,000 ลูก ซึ่งกำหนดราคาขายผลละ 3 บาท และเป็นราคาเดียวที่กำหนดไว้ทั้งปี ไม่ว่าราคาทั่วไปจะเป็นอย่างไร ลูกค้าที่สั่งมีทั่วประเทศ ทั้งภาคกลาง อีสาน และทางภาคใต้ เหตุผลเพราะส่วนใหญ่มั่นใจว่าไม่ถูกหลอก
ภายในสวนลุงเขียวมีสัตว์เลี้ยงที่ให้ประโยชน์ได้หลายชนิด อย่างมีหมู จำนวน 11 ตัว เลี้ยงไก่ไข่ จำนวน 30 ตัว เลี้ยงเป็ดไข่ จำนวน 50 ตัว เป็ดเทศ จำนวน 70 ตัว โดยได้นำมูลของสัตว์ทั้งหมดมาใช้ทำปุ๋ยหมัก ปุ๋ยชีวภาพ นอกจากนั้น ยังมีการเพาะเห็ดขอนไว้รับประทานในครัวเรือน ถ้าคราวใดที่ได้จำนวนมาก จะนำไปขาย กิโลกรัมละ 70 บาท
จึงเห็นได้ว่าวงจรในการทำเกษตรแนวเศรษฐกิจพอเพียงภายในสวนของลุงเขียวสามารถนำทุกอย่างมาใช้ประโยชน์ได้ จึงไม่ได้เสียเงินซื้อปุ๋ยเลยสักบาทเดียว นับได้ว่าเป็นการปลูกมะนาวแบบอินทรีย์ที่แท้จริง
ความสำเร็จเช่นนี้ ลุงเขียวไม่ได้เก็บไว้แต่เพียงผู้เดียว แต่เขาต้องการให้ทุกคนเข้ามาเรียนรู้เพื่อจะได้นำไปใช้ประโยชน์ในการประกอบอาชีพ ด้วยเหตุนี้จึงเปิดบ้านตัวเองเป็นแหล่งเรียนรู้ ในชื่อ “บ้านเกษตรพอเพียง ลุงเขียว” เพื่อให้ผู้สนใจต้องการมาดูงาน ปัจจุบันชาวบ้านละแวกนี้และที่อื่นเริ่มทดลองทำกันแพร่หลายแล้ว ลุงเขียวระบุว่า ผลสำเร็จเช่นนี้เป็นเพราะต้องมีใจรัก มีการทุ่มเท และลงมือทำด้วยตัวเอง
“ตลาดมะนาวยังมีแนวโน้มที่ดี และดีมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนี้เพราะมีความต้องการนำมะนาวไปใช้ในหลายด้านนอกจากการบริโภคสด เนื่องจากสามารถนับไปแปรรูปเป็นน้ำมะนาว หรือนำไปทำเป็นส่วนผสมในน้ำยาล้างจานซึ่งมีความต้องการจำนวนมาก สั่งซื้อคราวละเป็นตัน ซึ่งจะขายในราคากิโลกรัมละ 70-80 บาท ยิ่งเป็นตลาดในกลุ่มคนรักสุขภาพแล้วมะนาวจะยิ่งมีความต้องการมาก” ลุงเขียว กล่าวในตอนท้าย
สนใจสั่งซื้อมะนาวหรือต้นพันธุ์มะนาวแป้นพิจิตร 1 ที่มีคุณภาพ กล้ารับประกัน ได้ที่ สวนลุงเขียว โทรศัพท์ (089) 281-0439 หรือชมภาพทางเฟซบุ๊ก เกษตรพอเพียง ลุงเขียว หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ สำนักงานเกษตรอำเภอประโคนชัย โทรศัพท์ (044) 671-443
ขอขอบคุณ คุณขันธลักษณ์ ศรีวิเศษ นักวิชาการส่งเสริมการเกษตรชำนาญการ สำนักงานเกษตรอำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ โทรศัพท์ (093) 379-1449