ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160323/224594.html
การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันพุธที่ 23 มีนาคม 2559
วิกฤติหนัก! ภัยแล้งลาม 18 จังหวัด ‘พล.อ.อนุพงษ์’ สั่งเร่งวางแผนบริหารจัดการน้ำ-ช่วยเหลือประชาชน
23 มี.ค.59 พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงสถานการณ์ภัยแล้งว่า ขณะนี้มีแนวโน้มที่รุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันมีจังหวัดที่ประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) แล้ว 18 จังหวัด รวม 68 อำเภอ 306 ตำบล 2,580 หมู่บ้าน โดยที่ผ่านมาทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้เตรียมการ พยายามแก้ไขปัญหาภัยแล้งอย่างเต็มที่ตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อบริหารจัดการน้ำต้นทุนทั้งหมดที่เรามีให้เพียงพอต่อการอุปโภคบริโภคในช่วงฤดูแล้ง และสามารถรักษาระบบนิเวศน์ แต่อาจไม่เพียงพอต่อการสนับสนุนภาคเกษตรกรรมได้ตามปกติ เนื่องจากเรามีปริมาณน้ำต้นทุนในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั่วประเทศอยู่ในเกณฑ์น้อย เลยได้มีการวางแผนบริหารจัดการน้ำ และให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนผู้ประสบภัย ดังนี้ ด้านการบริหารจัดการน้ำ ได้สำรวจน้ำต้นทุนที่มีทั้งระบบในเขตชลประทาน นอกเขตชลประทาน น้ำใต้ดินหรือน้ำบาดาล เพื่อวางแผนจัดสรรน้ำให้เพียงพอตลอดช่วงฤดูแล้ง ซึ่งสิ่งสำคัญอันดับแรก คือ ประชาชนต้องมีน้ำอุปโภค บริโภค
“กระทรวงมหาดไทยได้เน้นย้ำให้การประปาส่วนภูมิภาค การประปานครหลวง วางมาตรการบริหารจัดการน้ำต้นทุนที่จะนำมาผลิตน้ำประปาให้สอดคล้องกับสถานการณ์น้ำมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2558 และมีการสำรวจแหล่งน้ำสำรองเพื่อเตรียมความพร้อมด้านต่าง ๆ ไว้ล่วงหน้าแล้ว มีการประสานงานกับกรมชลประทานอย่างใกล้ชิด ทางกรมชลประทานก็ยืนยันพร้อมบริหารจัดการน้ำดิบส่งให้การประปา เพื่อผลิตน้ำประปาให้บริการประชาชนได้อย่างเพียงพอ เป็นอันดับแรกตามนโยบายรัฐบาล ผมขอยืนยันให้ความมั่นใจ จะไม่ขาดแคลนน้ำประปาอย่างแน่นอน” รมว.มหาดไทย กล่าว
นอกจากนี้ยังมีระบบประปาหมู่บ้าน ที่อยู่ในความดูแลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) ซึ่งในปัจจุบันมีประปาหมู่บ้านเกือบทั่วประเทศแล้ว เหลืออีกประมาณ 1,026 หมู่บ้านเท่านั้นที่ยังไม่มี โดยในปีนี้กระทรวงมหาดไทยได้สนับสนุนงบประมาณก่อสร้างระบบประปาหมู่บ้าน เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคแก่ประชาชนไปแล้ว 328 หมู่บ้าน ดำเนินการซ่อมแซมบำรุงรักษาระบบประปาหมู่บ้านที่มีอยู่แล้วให้อยู่ในสภาพที่สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะต้องมีระบบประปาหมู่บ้านครบทุกหมู่บ้านในปี 2560 เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้ใช้น้ำอย่างสะดวกเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศ โดยรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้คนไทยทุกคนช่วยกันประหยัดมาอย่างต่อเนื่อง
พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวต่อว่า ส่วนการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้งให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพนั้น จะเน้นการจัดสรรน้ำในพื้นที่ประสบภัยแล้งอย่างทั่วถึงเป็นอันดับแรกและการใช้ประโยชน์จากน้ำทุกแหล่งให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ใช้งบประมาณในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง แบ่งเป็น 2 ส่วน
1.งบฯที่ใช้ในการยับยั้งหรือป้องกันภัยพิบัติ วงเงินไม่เกิน 10 ล้านบาท ที่ผู้ว่าราชการจังหวัด สามารถใช้จ่ายเงินได้โดยไม่ต้องประกาศเขตฯ ในรูปแบบการจ้างงานประชาชน การดำเนินกิจกรรมป้องกัน และยับยั้งความเสียหายจากภัยพิบัติ
2.งบประมาณเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน วงเงิน 50 ล้านบาท ซึ่งกรมบัญชีกลางได้ขยายวงเงินทดรองราชการในอำนาจผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยภัยแล้ง เพิ่มเติมอีกจังหวัดละ 30 ล้านบาท จากเดิมจังหวัดละ 20 ล้านบาท รวมเป็น 50 ล้านบาท โดยขยายให้ทุกจังหวัดครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อให้จังหวัดมีความคล่องตัวในการใช้จ่ายเงินเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในด้านต่าง ๆ ทั้งด้านการดำรงชีพ การบรรเทาสาธารณภัย การแพทย์ และการสาธารณสุข และการปฏิบัติงานให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย
อย่างไรก็ดี สำหรับผลการดำเนินงานที่ผ่านมา กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.) ได้ร่วมกับหน่วยทหาร จังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง โดยการแจกจ่ายน้ำแก่ผู้ประสบภัยแล้ง โดยระดมรถบรรทุกเครื่องสูบน้ำระยะไกล รถสูบน้ำ รถผลิตน้ำดื่ม รถบรรทุกน้ำ เครื่องสูบน้ำ นำน้ำไปแจกจ่ายบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ประสบภัย แยกเป็นสนับสนุนการผลิตน้ำประปา 6,117,472,000 ลิตร น้ำเพื่อการเกษตร 1,602,572 ลูกบาศก์เมตร น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค 113,968,000 ลิตร และน้ำดื่มสะอาดแจกจ่ายแก่ประชาชน 1,104,000 ลิตร ขุดเจาะบ่อบาดาลเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้ง จำนวน 1,173 บ่อ ในจังหวัดที่มีพื้นที่ประสบภัยแล้งซ้ำซาก และขุดเจาะบ่อบาดาล หรือบ่อน้ำตื้น โดยสนับสนุนอปท. จำนวน 138 บ่อ
รมว.มหาดไทย กล่าวอีกว่า ด้านโครงการบริหารจัดการน้ำ จำนวน 2,224 โครงการ โดยขุดลอกคูคลองปรับปรุงสภาพแหล่งน้ำเดิม และสร้างแหล่งกักเก็บน้ำใหม่สร้างแก้มลิงและฝายประชารัฐ สำหรับเก็บน้ำไว้ใช้กระจายทุกพื้นที่รอรับน้ำในฤดูฝนข้างหน้า ขณะนี้ดำเนินการแล้วเสร็จ จำนวน 1,428 โครงการ คาดว่าเมื่อดำเนินการแล้วเสร็จทุกโครงการฯ จะมีปริมาตรน้ำเก็บกัก 294 ล้านลูกบาศก์เมตร ประชาชนได้รับประโยชน์กว่า 1,104,724 ล้านครัวเรือน และพื้นที่การเกษตรกว่า 3,188,564 ไร่ขณะที่มาตรการดูแลผู้ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง เช่น มาตรการจ้างงานเพื่อสร้างรายได้แก่เกษตรกรในพื้นที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง โดยใช้งบประมาณจากเงินทดรองราชการในเชิงป้องกันหรือยับยั้งภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน วงเงินจังหวัดละ 10 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมการสร้างงานสร้างอาชีพและสร้างรายได้แก่ชุมชนที่ประสบภัย ปัจจุบันดำเนินการแล้วใน 28 จังหวัด วงเงินงบประมาณ 125,270,264 บาท แยกเป็นจ้างแรงงาน จำนวน 165,749 คน เป่าล้างบ่อบาดาล จำนวน 3,675 บ่อ ฝึกอบรมอาชีพ จำนวน 12,502 ครัวเรือน ซ่อมแซมระบบประปา จำนวน 212 แห่ง รวมถึงมาตรการเสนอโครงการตามความต้องการของชุมชนเพื่อบรรเทาผลกระทบภัยแล้ง และมาตรการสนับสนุนอื่นๆ เพื่อช่วยเหลือภาคการเกษตร
“รัฐบาล และกระทรวงมหาดไทยมีความมุ่งมั่นที่จะบริหารจัดการน้ำ พร้อมดูแลประชาชนไม่ให้ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค ขณะเดียวกันก็มีความจำเป็นที่ต้องสงวนน้ำไว้ใช้ประโยชน์ จึงขอความร่วมมือให้ทุกภาคส่วนร่วมกันใช้น้ำที่มีปริมาณจำกัดอย่างประหยัด คุ้มค่า และมีประสิทธิภาพมากที่สุด ผมเชื่อมั่นว่าหากทุกภาคส่วนร่วมมือกันประชาชนจะมีน้ำอุปโภคบริโภคอย่างเพียงพอในทุกพื้นที่ และประเทศไทยจะสามารถผ่านพ้นวิกฤตภัยแล้งในครั้งนี้ไปด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วน มีภูมิคุ้มกันด้านการบริหารจัดการภัยพิบัติด้านน้ำอย่างยั่งยืนด้วย” รมว.มหาดไทย กล่าว
ด้านนายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีปภ. กล่าวว่า ขณะนี้มีหลายพื้นที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนน้ำมากขึ้น โดยปัจจุบันมีจังหวัดประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยภัยแล้ง จำนวน 18 จังหวัด แยกเป็น ภาคเหนือ 6 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ อุตรดิตถ์ พะเยา สุโขทัย นครสวรรค์ และน่าน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 6 จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา นครพนม มหาสารคาม บุรีรัมย์ สุรินทร์ และขอนแก่น ภาคกลาง 3 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี เพชรบุรี และชัยนาท และภาคตะวันออก 3 จังหวัด ได้แก่ สระแก้ว จันทบุรี และชลบุรี ซึ่งรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ห่วงใยประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์ภัยแล้งที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานเร่งช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยแล้งให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม อาทิ เกษตรกร ผู้มีรายได้น้อย หรือผู้ใช้น้ำทั่วไป อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม
โดยดำเนินการแยกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ 1. ให้ข้อมูลสถานการณ์ภัยแล้งที่ถูกต้องแก่ประชาชน ไม่ว่าจะเป็น แผนการบริหารจัดการน้ำต้นทุน ปริมาณน้ำในเขตชลประทาน นอกเขตชลประทาน ปริมาณน้ำบนดินและน้ำใต้ดิน 2. การทำงานเป็นทีมรัฐบาล ของหน่วยทหาร ฝ่ายพลเรือน อาสาสมัคร และท้องถิ่น และ 3. การสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ในรูปแบบทีมงานประชารัฐ ดำเนินงานในระดับพื้นที่ จะมีผู้ว่าราชการจังหวัด และนายอำเภอ ทำหน้าที่บูรณาการงานของกระทรวงต่าง ๆ ร่วมกัน ครอบคลุมการรณรงค์ประหยัดน้ำ การสร้างอาชีพและรายได้แก่เกษตรกร การดูแลสุขภาพ การป้องกันโรคระบาด และอาชญากรรมที่เป็นการซ้ำเติมให้ผู้ประสบภัยได้รับความเดือดร้อนมากขึ้น
นอกจากนี้ยังมีการเปิดเผยข้อมูลปริมาณน้ำต้นทุนอย่างชัดเจน โดยให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการน้ำสำหรับอุปโภคบริโภคเป็นหลัก ให้ประชาชนทั่วประเทศอุปโภคบริโภคอย่างเพียงพอทั่วถึงตลอดช่วงฤดูแล้ง คงต้องขอความร่วมมือทุกภาคส่วนใช้น้ำที่มีจำกัดอย่างประหยัด เพื่อให้มีน้ำใช้เพียงพอตลอดช่วงฤดูแล้ง จนถึงช่วงต้นฤดูฝน
