ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160323/224618.html
ศอตช.สรุปผลสอบ‘ราชภักดิ์’ไม่ผิดทุกประเด็น หัวคิวเกิดจากความไม่เข้าใจของพล.อ.อุดมเดช ผลสอบย้ำชัดเป็นการจ่ายระหว่างเอกชนกับเอกชน
เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 23 มี.ค.2559 พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ในฐานะประธานศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ(ศอตช.) พร้อมด้วยนายประยงค์ ปรียาจิตต์ เลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ท.) นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แถลงผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ และนายยงยุทธ มะลิทอง รองเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ร่วมกันแถลงผลการตรวจสอบโครงการอุทยานราชภักดิ์ โดยมีนายจตุพร พรหมพันธ์ แกนนำนปช.และนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ร่วมรับฟังการแถลงข่าว โดยเป็นการแถลงข่าวที่ใช้เวลานานถึง 2 ชั่วโมง
พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวว่า ขอบคุณทุกฝ่ายที่ร่วมรับฟัง รวมถึงผู้ร้อง เรื่องนี้เกิดจากประเด็นเรื่องหัวคิว ตนมาในฐานะประธานศอตช. เดิมเรื่องหัวคิวเป็นเรื่องหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กระทั่งมีผู้ร้องมาที่ประธานศอตช. ซึ่งมีการส่งต่อเอกสารไปให้หน่วยตรวจสอบ เดิมศอตช. ทำงานปกติ ไม่ได้ทำเรื่องหัวคิวแต่ตน ทราบว่ามีการทำตามประเด็นที่มีผู้ร้องเรียบร้อยแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่ทราบรายละเอียด เพราะแต่ละหน่วยงานก็มีหน้าที่ของตัวเอง ในวันนี้มีป.ป.ช.มาร่วมด้วย เพราะหลังจากนี้อาจมีบางส่วนต้องส่งต่อไปให้ป.ป.ช. เรื่องที่ตรวจมี 3 ประเด็นหลัก คือ หัวคิว , การจัดซื้อ และการใช้งบประมาณ เดิมเคยชี้แจงกับสื่อว่าผู้ดำเนินการระบุว่ามีหัวคิว ตนยังยืนยันว่าพูดจริง ตนจึงบอกว่าหากมีการระบุเช่นนี้หากเป็นหัวคิวถ้ามีต้องผิดกฎหมาย และต้องตรวจสอบว่ามีหรือไม่ ที่ไหน และอย่างไร ทั้งนี้ ในการตรวจสอบหน่วยงานอาจยังไม่สามารถระบุชื่อได้ ดังนั้นขอให้ยึดถือกฎหมายเป็นหลัก
นายประยงค์ กล่าวอีกว่า ในส่วนของป.ป.ท.รับผิดชอบตรวจสอบเฉพาะกรณีหัวคิว โดยใช้อำนาจตามคำสั่ง คสช.ที่ 69 รวบรวมข้อมูลหลักฐานและบันทึกหลักฐานปากคำจากเอกชนและหน่วยงานของรัฐ พบว่ามีการจ่ายเงินกันจริงระหว่างเอกชนกับเอกชน ซึ่งทั้ง 2 ฝ่าย ให้ข้อเท็จจริงว่า เป็นค่าตอบแทนทางธุรกิจ หรือค่าชักนำงานมาให้ เมื่อลงลึกในวงเงินพบว่ามีการจ่ายกัน 6-7 % ของวงเงินค่าจ้าง โดยราคาค่าจ้างเป็นไปตามราคาท้องตลาด เบื้องต้นยังไม่พบพิรุธ ทั้งข้อเท็จจริงจากการสอบปากคำและพยานเอกสาร รับฟังได้ว่าเป็นการจ่ายค่าตอบแทนที่เป็นค่าหางานมาให้
ด้านนายพิศิษฐ์ กล่าวว่า ในส่วนสตง. มีการตรวจสอบ 5 ประเด็น ประเด็นแรก คือ เงินบริจาคที่มีข้อกังวลว่าจะรับจ่ายครบ และถูกต้องหรือไม่ เรื่องกระบวนการจัดซื้อว่าเป็นไปตามระเบียบราชการหรือมีข้อพิรุธหรือไม่ เรื่องเนื้องานว่าตรงตามคุณลักษณะ เนื้อโลหะถูกต้องหรือไม่ และมีหัวคิวหรือไม่ นอกนั้นอาจมีประเด็นภายหลัง เช่น เงินบัญชีกองทุนว่ามีการบริหารจัดการอย่างไร ซึ่งสตง.จะตอบทุกประเด็นด้วยข้อเท็จจริง ประเด็นแรก เรื่องการรับเงินบริจาคเข้ากองทุนของกองทัพ มีการแยกเม็ดเงินออกจากเงินสวัสดิการซึ่งเป็นเงินส่วนเดิมชัดเจน โดยมีธนาคาร 6 แห่ง ที่เปิดบัญชีรับบริจาค โดยมีการตรวจสอบรวมไปถึงการบริจาคผ่านร้านเซเว่น อีเลฟเว่น และตู้รับ ซึ่งทั้งหมดมีการนำเงินเข้าบัญชี และพบว่าการรับงินไม่มีปัญหา สตง. เชื่อว่าจากหลักฐานมีการลงรับเงินเข้าบัญชีถูกต้อง รวมถึงมีการตรวจสอบยอดเงินสตามที่รับบริจาคผ่านทางโทรทัศน์ และที่คาดไม่ถึงคือมีการเตรียมใบเสร็จรับเงินไว้รอด้วย แต่เมื่อมีประเด็นเกิดขึ้นพบว่ามีการปิดบัญชีเหลือเพียง 1 บัญชี ซึ่งจากการตรวจสอบ ยอดเงินบริจาคตัดยอดเมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 58 รวมประมาณ 733 ล้านบาทรวมดอกเบี้ย และปัจจุบันเหลือยอดเงินประมาณ 140 ล้านบาท
ปัจจุบันเมื่อมีประเด็นข้อสังสัย สตง.ขอให้ทางกองทัพปิดบัญชีรับบริจาคทั้งหมดโดยรวบเหลือ 1 บัญชี แยกต่างหากออกจากบัญชีสวัสดิการ ทำให้ได้ข้อเท็จจริงเรื่องการรับบริจาค แม้แต่การบริจาคผ่านสถานีโทรทัศน์ สตง.ก็เข้าไปถอดเทปตรวจสอบทั้งหมด พบว่ามีการลงรับทางบัญชีครบถ้วน ตัวเลขทั้งหมดที่มีการรับบริจาคผ่านบัญชีตัดยอด ณ วันที่ 31 ธ.ค. 58 ได้ตัวเลขประมาณ 733 ล้านบาทเศษรวมดอกเบี้ย มีการเบิกจ่ายแล้ว 458 ล้านบาท เป็นค่าองค์พระประมาณ 318 ล้านบาท มีเงินยืมที่ยังไม่เป็นค่าใช้จ่ายแต่มีการเบิกจ่ายออกไปเพื่อจัดทำเหรียญพระบุรพกษัตริย์ให้ประชาชนเช่าบูชา 105 ล้านบาท ซึ่งมีหลักฐานให้ตรวจสอบเช่นเดียวกัน และมีผลผลิตจัดสร้างเหรียญเพื่อจำหน่ายหารายได้จริง จากนั้นสตง.ได้แนะนำ ให้นำเงินส่วนที่เหลือคืนเงินยืมเพื่อหักกลบลบหนี้และปิดบัญชี ในส่วนของเงินบริจาคขณะนี้คงเหลือส่วนหนึ่ง ประมาณ 140 ล้านบาทเศษ
นายพิศิษฐ์ กล่าวอีกว่า ลำดับเหตุการณ์เงินที่มาใช้จ่ายไม่ได้มีเพียงเงินบริจาคกว่า 700 ล้านบาท เท่านั้น แต่ยังมีการจัดตั้งงบประมาณกลาง 63 ล้านบาท เพื่อทำ 5 โครงการ ซึ่งจัดทำไปแล้ว 4 โครงการ ส่วนอีก 1 โครงการ วงเงิน 9 ล้านบาท ถูกชะลอไว้ แต่ผูกพันงบฯไว้ส่วนหนึ่งแล้ว ทั้งนี้ รัฐบาลมีนโยบายเข้ามามีส่วนร่วมกับประชาชนในโครงการดังกล่าว จึงนำงบประมาณส่วนหนึ่งมาเสริมเงินบริจาคที่ได้รับมา ขณะอนุมัติใช้งบกลาง ก็มีการเชิญชวนขอบริจาคเพื่อร่วมใจก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ และ เงินอีกส่วนหนึ่งมาจากกองทัพบก เพื่อใช้ในการดูแลสถานที่ก่อสร้าง มีงบฯตั้งไว้ปกติ เพื่อทำรั้วรอบและโรงเรือนก่อสร้าง 2 สัญญา วงเงิน 27 ล้านบาท นอกจากนั้นยังมีการรับบริจาคเป็นสิ่งของ เช่น วัสดุก่อสร้าง ในส่วนนี้กองทัพเบิกจ่ายเฉพาะค่าใช้จ่ายแรงงาน เครื่องจักร และน้ำมันรถ ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายประจำชองทหารที่รับผิดชอบงานก่อสร้าง ผลการตรวจสอบพบว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติและอยู่ในวิสัยที่ทำได้ ในส่วนของรายได้ที่มาจากผู้มีจิตศรัทธา จัดอยู่ในหมวดรายได้อื่นๆ เช่น บริจาคต้นไม้ สตง.ตรวจสอบแล้วไม่ปรากฏว่ามีการซื้อต้นไม้ โดยต้นไม้ได้จากการบริจาค ผู้บริจาคไม่คิดค่าต้นไม่ แต่คิดค่าแรงในการขนย้ายต้นไม้และค่าน้ำมันประมาณ 4 ล้านบาท ส่วนรายได้จากการปลูกต้นไม้นั้น เป็นวิธีการหารายได้เพิ่มเติม เช่น ติดราคาที่ต้นไม้ แต่ไม่ได้เขียนระบุว่าเป็นค่าปลูก ทำให้คนคิดไปได้ว่าเป็นค่าต้นไม้ แต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฎผู้ปลูกต้นไม้ต้องเสียเงินค่าปลูก
นายพิศิษฎ์ กล่าวต่อว่า ประเด็นที่ 2 กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างว่าถูกต้องหรือไม่ สตง.ไม่ได้ดูเพียงว่า เป็นงบของกองทัพ 2 สัญญา วงเงิน 27 ล้านบาท หรือเป็นงบกลาง แต่เป็นเงินราชการต้องใช้จ่ายตามระเบียบราชการ ซึ่งผลการตรวจสอบไม่พบความผิด จากการตรวจสัญญาแบบรูปรายการ ตรวจสอบที่หน้างานพบว่ามีความสมบูรณ์ 95% ขึ้นไป ไม่ถึง 100% เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น ลูบไปแล้วต้องไม่สะดุดเลย ส่วนที่เหลือจึงเป็นประเด็นในเรื่องความประณีต จึงไม่มีข้อสังเกตถึงความผิดปกติ
สำหรับประเด็นที่ 3 เนื้อวัสดุถูกต้องหรือไม่ สตง. ได้หาทางตอบปัญหานี้ ในเมื่อสงสัยว่าวัสดุคุณภาพตามสเป็คหรือไม่ ในสัญญาระบุว่าโลหะที่ใช้นำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งมีหลักฐานยืนยันการนำเข้าโลหะจริง ส่วนค่าของเนื้อวัสดุเป็นไปตามข้อกำหนดหรือไม่ สตง.ไม่มีทางเลือกอื่นเพื่อสนองตอบประเด็นข้อสงสัย จึงขอขมาลาโทษแล้วตัดเนื้อโลหะส่วนหนึ่งจากองค์พระรูป ส่งตรวจพิสูจน์ที่จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ซึ่งผลสอบพบว่าวัสดุมีคุณภาพตรงตามเสปค
นายพิศิษฐ์ ยังกล่าวต่อว่า ประเด็นที่ 4 หัวคิว ซึ่งหลักฐานการเงินและการให้ปากคำของ 5 โรงหล่อเรื่องหัวคิว มีโรงหล่อ 5 แห่งที่มีการจ่ายค่าใช้จ่ายที่เรียกว่าเป็นค่าที่ปรึกษาที่แนะนำให้ได้งาน โดยได้ข้อสรุปตรงกันทั้ง 5 โรงหล่อว่ามาจากการบริหารจัดการของโรงหล่อเอง ประมาณ 7 % ของสัญญาค่าจ้างที่ปรึกษา จากนั้นสตง.พยายามตรวจสอบประวัติเซียนอุ๊ว่ามีความสามารถในการเป็นที่ปรึกษาได้หรือไม่ เหตุใดจึงได้รับความเชื่อถือจากโรงหล่อให้เป็นที่ปรึกษา จนพบว่าเซียน อุ๊ มีกิจการโรงหล่อของตัวเองชื่อสยามปุระ และมีผลงานก่อสร้างหลวงปู่ทวดองค์ใหญ่ ถือว่ามีบทบาทางสังคม โดยมีการรับเงินค่าที่ปรึกษาไป 20 ล้าน[km ซึ่งถือเป็นรายได้ของเซียนอุ๊ที่ย้ำว่ามีสิทธิ์ได้รับเพราะทำหน้าที่แก้ไขปัญหาต่าง ๆ เพราะพระรูปแต่ลงองค์ไม่ได้หล่อเสร็จพร้อมกัน นอกจากนี้ยังมีการปรับลดราคาก่อสร้างจากองค์ละ 70 ล้านบาท เหลือเพียง 40-45 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ต่อมามีการแนะนำว่าไม่ควรรับเงินค่าที่ปรึกษา จึงเป็นที่มาของการบริจาคเงินดังกล่าวเป็นเช็ค 5 ฉบับ สั่งจ่ายในนามจากบริษัท สยามปุระ ทั้งสองฝ่ายยืนยันตรงกันว่าจ่ายเพราะสมัครใจตามที่ให้คำแนะนำ แต่เมื่อได้ข้อคิดว่าควรทำประโยชน์เซียนอุ๊จึงตัดสินใจนำมาคืน กองทัพออกใบเสร็จให้ ดังนั้น จึงมองว่า กรณีดังกล่าวไม่อยู่ในส่วนที่เห็นว่ามีเจตนาร้าย หรือผิดปกติ เพราะการบริจาคทำให้กองทุนรับเงินเพิ่มขึ้นอีก 20 ล้านบาทเมื่อวิเคราะห์ค่าที่ปรึกษาและการบริจาคครั้งนี้อยู่ในส่วนเอกชนกับเอกชนซึ่งเกิดจากความสมัครใจ
นายพิศิษฐ์ กล่าวต่อว่า ประเด็นที่ 5 บัญชีเงินกองทุนสวัสดิการกองทัพบก โดยระเบียบกระทรวงกลาโหมหากเป็นเงินสวัสดิการจะมีการตรวจสอบภายใน สตง.ถือว่าไม่มีเหตุพิเศษจึงไม่ตรวจ แต่ต่อมาก็มีการเปลี่ยนชื่อเป็นกองทุนอุทยานราชภักดิ์ มีเงินขณะนี้รวม 108 ล้าน ยังไม่มีค่าใช้จ่ายหรือมีการเคลื่อนไหวเพราะมีการรอผลการตรวจสอบก่อน ส่วนเรื่องการแก้ไขเอกสารตกแต่งบัญชี นิติกรรมอำพราง สตง.พยายามใช้เทคนิคตรวจทุกรูปแบบ ทั้งกระบวนการจัดซื้อ การทำสัญญา และรับจ่ายเงิน แต่พบว่าไม่น่าจะมีการตกแต่งบัญชี เพราะคำนวณราคากลาง ความเหมาะสมของราคากลางอย่างละเอียดแล้ว ข้อสรุปจะเป็นไงคงไม่ต้องมี แต่ที่นำมาชี้แจงเป็นข้อเท็จจริงก็น่าจะพอสรุปได้
“การที่มีใครให้คำแนะนำและมีการตกลงยินยอมกันก็ทำได้ หลังจากนี้เรายังสามารถติดตามการลงบัญชีและการเสียภาษีขยายผลต่อได้ว่ามีการลงรับและเสียภาษีถูกต้องหรือไม่ การก่อสร้างงานนี้เป็นงานศิลปกรรม ต้องแก้หน้างานต้องอาศัยผู้ชำนาญ เรื่องนี้ไม่เหมือนกรณีทุจริตก่อสร้างสนามฟุตซอลโรงเรียน เพราะกรณีนั้นมีเจ้าหน้าที่หักเงินหัวคิวก่อนชัดเจน แต่กรณีนี้ตรวจราคากลางก็ไม่ได้แพง ค่าที่ปรึกษาเหมาะสมกับทางธุรกิจ เอกชนรู้ว่าควรหรือไม่ควรจ่าย เงินที่จ่ายค่าหล่อพระรูปเป็นเงิน 318 ล้านบาท ตามหลักฐานเป็นการจ่ายทีเดียว”ผู้ว่าสตง.กล่าว
ด้านนายจตุพร ซักถามว่าผู้ออกแบบคือกรมศิลปากรแต่คนจัดการกับเป็นเอกชน และเป็นที่ของคำว่าค่าที่ปรึกษาเกิดขึ้นภายหลังคำว่าหัวคิวใช่หรือไม่ และการเข้าพบอดีตผบ.ทบ.เป็นการเข้าไปรายงานผลสอบก่อนที่จะมีการสรุปผลใช่หรือไม่ และตั้งประเด็นถึงการจัดสร้างเหรียญให้เช่าบูชาซึ่งอาจมีราคาจำหน่ายแพงกว่าราคาในท้องตลาด อย่างไร นอกจากนี้ เซียนอุ๊ มีตำแหน่งเป็นนายก อบต. รับค่าตอบแทนเป็นที่ปรึกษาได้อย่างไร ร ในแวดวงโรงหล่อราคากลาง 70 ล้านบาท ถูกบวกมาแล้ว จึงสามารถ จ่าย 20 ล้านบาท เป็นค่าที่ปรึกษษโดยไม่รู้สึกอะไร ขณะนี้องค์พระรูปอย่างน้อย 2 องค์ จะหล่นลงมาวันไหนก็ได้ 1 องค์พ่อขุนรามคำแหง กลางคืนสั่น มีเสียงดังชัดเจน และรูปหล่อ ร. 4 ลูกตุ้มถ่วงสั่นตลอด สตง.ได้เข้าไปดูรายละเอียดเรื่องการสั่นไหวหรือไม่
นายพิศิษฐ์ กล่าวชี้แจงว่า การตรวจสอบของสตง.ดูทั้งหลักฐานและข้อเท็จจริง เรื่องราคากลางสตง.มีวิศวกรประเมินราคากลาง ว่าแพงเกินจริงหรือไม่ ดังนั้นหากมีหลักฐานเรื่องราคาแพงเกินจริงขอให้ส่งเอกสารมาให้ สตง. ในชั้นนี้สตง.ตรวจพบว่าราคากลางมีความสมเหตุสมผล ส่วนที่ระบุว่าองค์พระรูปมีการชำรุดต้องแก้ไข ก็ตรงกับที่โรงหล่อทั้ง 5 แห่ง ให้การมาตั้งแต่ต้นว่ามีปัญหาหน้างานต้องแก้ไขตลอด จึงมีการจ่ายค่าตอบแทน โดยค่าตอบแทนโรงหล่อจ่ายจากเงินของเขา มีการลงบัญชีรายจ่าย ขณะที่ผู้รับก็ลงรายได้ไว้แล้ว โดยสตง.จะตรวจสอบจากการจ่ายภาษีสรรพากรด้วย ส่วนที่นายระบุว่าการเข้าพบอดีตผบ.ทบ.เพื่อรายงานผลการตรวจสอบนั้น ยืนยันว่าตนทยอยเปิดเผยความคืบหน้าในการตรวจสอบให้สังคมรับทราบมาเป็นระยะๆ ก่อนเข้าพบอดีตผบ.ทบ. การเข้าพบเพื่อไปสอบถามให้ได้ความจริงถึงความเข้าใจในคำว่าหัวคิว ไม่ได้ไปเล่าให้ฟังว่าผลสอบเป็นอย่างไร ส่วนท่านจะไปสรุปหรือให้สัมภาษณ์เพราะความสบายใจก็เป็นเรื่องของท่าน ทั้งนี้ในการสอบถามก็มีการบันทึกการให้ข้อมูล ส่วนเรื่องการจัดสร้างเหรียญนั้น ยิ่งการจำหน่ายเหรียญได้กำไรมากก็เป็นทุนให้กับโครงการนี้มากขึ้นด้วย ทั้งนี้ หลังมีข่าวเรื่องอุทยานราชภักดิ์การก่อสร้างบางส่วนชะลอออกไป ตัวเลขการเช่าบูชาเหรียญก็นิ่ง บัญชีบริจาคก็ไม่มีการเคลื่อนไหว
พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวเสริมว่า ประเด็นนี้พล.อ.อุดมเดชยืนยันมาตลอดว่าไม่ผิด และเคยต่อว่าตนด้วยซ้ำ ดังนั้นจึง ไม่เข้าใจว่าคำถามของนายจตุพรว่าต้องการสื่ออะไร จากข้อสรุปที่ไปสอบถามพล.อ.อุดมเดช มีการยอมรับว่าพลาด พูดออกไปเพราะไม่เข้าใจ จึงใช้คำว่าหัวคิว ตนไม่พูดกับท่านมานานมาก จนการตรวจสอบจบลงจึงไปเรียนให้ทราบว่า ที่ท่านพูดว่าหัวคิว มันผิด เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าไม่มีเจตนา แต่เกิดจากผู้สื่อข่าวซักถามและมีการตอบคำถามกันไปมา จึงหลุดคำว่าหัวคิวออกไป โดยไม่เข้าใจเนื้อหาและวิธีการ
ผู้สื่อช่าวรายงานว่า ในช่วงท้ายนายเรืองไกรและนายวรัญชัย โชคชนะ พยายามซักถามประเด็นหัวคิว โดยเปรียบเทียบกับกรณีอื่นๆ ทำให้พล.อ.ไพบูลย์ ถามย้อนกลับว่า ตนไม่ได้โง่ขอให้ถามตรงประเด็น อย่าใช้คำถามขยายวงไปเรื่อยๆ เพราะตนตรวจสอบใน 5 ประเด็น นอกเหนือจากนี้เป็นเรื่องของหน่วยงานอื่นต้องตรวจสอบต่อ เช่น ป.ป.ช. กรมสรรพากร ส่วนโลหะจากองค์พระที่ตัดมาพิสูจน์โลหะจะส่งเก็บเข้าพิพิธภัณฑ์ให้เป็นประวัติศาสตร์ หากข้องใจเรื่องราคากลางขอให้ส่งหลักฐานมาให้ตรวจสอบ อย่าพูดไปเรื่อยๆ
