ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160319/224380.html
สนช.รับหลักการ‘ก.ม.ออกเสียงประชามติร่างรธน.’ หวั่น‘เครื่องลงคะแนน’สร้างสับสน : ประภาศรี โอสถานนท์
หลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติผ่าน “ร่างพ.ร.บ.ออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ…” จากนั้นร่างกฎหมายนี้จะเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. ซึ่งเมื่อวันที่ 18 มีนาคม มีการประชุม สนช. เพื่อพิจารณาร่างฉบับนี้
“วิษณุ เครืองาม” รองนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงถึงการร่างกฎหมายว่า สาระสำคัญคือจัดให้มีกฎหมายว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ซึ่งหลักการเปิดไว้กว้างเพราะเป็นกฎหมายใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน ส่วนเหตุผลที่เสนอให้มีกฎหมาย สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 10 มีนาคม ที่ผ่านมา ที่ประชุม สนช.มีมติเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 มาตรา 39/1 ในประเด็นการออกเสียงประชามติ ซึ่งร่างแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวอยู่ระหว่างนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย
แต่ขณะเดียวกันจำเป็นต้องจัดให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการออกเสียงประชามติ เพราะว่าตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวที่เป็นแม่บท ประกอบกับฉบับเพิ่มเติมที่ สนช.มีมติเห็นชอบไปแล้ว ประสงค์ให้ออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งร่างรัฐธรรมนูญจะเสร็จภายในเดือนมีนาคมนี้หลังจากนั้นก็จะส่งให้ประชาชนออกเสียงแสดงประชามติว่าจะให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าว
วิษณุ ระบุว่า เท่าที่ได้ประชุมหารือกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ที่รับผิดชอบออกเสียงประชามติ คาดว่าการออกเสียงประชามติจะกำหนดวันได้ต้นเดือนสิงหาคมปีนี้ จึงจำเป็นต้องกำหนดกฎเกณฑ์ กติกา หลักเกณฑ์ วิธีการ ระยะเวลา คุณสมบัติ ลักษณะต้องห้ามของผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติ กำหนดวิธีการออกเสียงว่าจะใช้วิธีการแบบใด กำหนดในส่วนที่เกี่ยวกับหีบบัตรลงคะแนน หรือบัตรลงคะแนน ตลอดจนการนับคะแนน การประกาศบัตรใดเป็นบัตรเสียและผลการออกเสียงประชามติ
ทั้งนี้ ในระหว่างนั้นหากมีการทำผิดอะไรเกิดขึ้น ก็ต้องกำหนดโทษ ถ้ามีเหตุผลใดที่ขัดขวางให้การออกเสียงประชามติไม่เรียบร้อย เช่น ไม่สามารถทำได้ในบางสถานที่บางหน่วย ก็ต้องให้อำนาจ กกต.ที่จะดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งจำเป็นต้องบัญญัติไว้ในกฎหมาย เพราะเกี่ยวกับการกำหนดความผิด กำหนดโทษ และกำหนดหลักเกณฑ์ ซึ่งอาจจะล่วงล้ำไปในขอบเขตที่ พ.ร.บ.อื่นได้เคยกำหนดไว้ ประกอบกับมาตรา 39/1 วางหลักไว้ว่าการกำหนดเรื่องดังกล่าวให้เป็นไปตามกฎหมาย
กกต.เป็นผู้ยกร่างทั้งหมด ส่วน ครม.หากจะรอให้ร่างพ.ร.บ.ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมก่อน ก็อาจจะลำบากในเรื่องของเงื่อนเวลา เพราะต้องเตรียมหลายอย่าง และการเตรียมการใดๆอย่างไม่มีกฎหมายรองรับ การกระทำแม้จะมีเจตนาดีแต่อาจจะเป็นความผิดได้ จึงจำเป็นต้องจัดให้มีกฎหมายประชามติคู่ขนานกันไป แต่จะเริ่มใช้บังคับจะมีการควบคุมกำหนดเวลาให้สามารถใช้บังคับจริงได้เมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติมแล้ว ซึ่งเป็นกระบวนการที่ฝ่ายบริหารจะประสานกับผู้เกี่ยวข้องต่อไป
อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตที่เกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณให้แก่ กกต. ข้อสังเกตเกี่ยวกับการรับผิดของ กกต. ข้อสังเกตเกี่ยวกับถ้อยคำ ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ในวิสัยที่จะแก้ไขได้ เพราะหลักการของพ.ร.บ.นี้เปิดกว้าง โดยไม่มีข้อจำกัด หาก สนช.ผ่านหลักการวาระที่ 1 คาดว่าจะช่วยปรับปรุงแก้ไขร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ให้เสร็จสิ้นทันกำหนดเวลา
แนวคิดของพ.ร.บ.ฉบับนี้นำมาจาก 3 ทาง 1.นำมาจากพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยเรื่องการออกเสียงประชามติ พ.ศ.2552 ซึ่งจะมีการออกเสียงประชามติเรื่องอื่นๆ ด้วย โดยไม่เกี่ยวข้องกับร่างรัฐธรรมนูญ อาทิ ประชามติเห็นชอบหรือไม่ของการสร้างเขื่อน ระบบชลประทาน เป็นต้น 2.นำมาจากประกาศและระเบียบที่่กกต.เคยยกร่างไว้ช่วงร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่คาดว่าจะผ่านสภาปฏิรูปแห่งชาติและเข้าสู่ขั้นตอนการทำประชามติ เมื่อไม่ได้จึงนำสาระบางส่วนมาปรับปรุงทำเป็นพ.ร.บ.ที่เสนอนี้ 3.การรับฟังความคิดเห็นหลากหลายที่ผ่านมาว่า ต้องการให้ประชามติเป็นไปในลักษณะใด หลังจากได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญให้การนับคะแนนเสียงว่าจะผ่านหรือไม่ผ่านประชามติชัดเจนขึ้น และมีการกำหนดให้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) จัดทำคำอธิบายโดยสรุป ซึ่งเป็นเรื่องเกิดขึ้นใหม่ กกต.ได้นำมาเขียนไว้ในพ.ร.บ.ที่เสนอมาในวันนี้ด้วยเป็นหนทางที่ 3 เพื่อให้สนช.พิจารณา
“ชาญวิทย์ วสยางกูร” สนช. อภิปรายว่า การใช้เครื่องลงคะแนนประชามติครั้งนี้ มีจำนวนกี่เครื่อง เท่ากับจำนวนหน่วยเลือกตั้งที่มีหรือไม่ ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดความสับสนในหน่วยเลือกตั้งว่าหน่วยนี้ใช้เครื่องลงคะแนน อีกหน่วยใช้บัตรลงคะแนน และกกต.มีความพร้อมมากน้อยเพียงใด จึงเห็นว่าการใช้เครื่องลงคะแนนควรรอไว้ให้มีความพร้อม รวมทั้งการทำความเข้าใจกับประชาชน
เช่นเดียวกับ “พล.อ.มารุต ปัชโชตะสิงห์” ตั้งข้อสังเกตว่า การกำหนดใช้เครื่องลงคะแนนยังไม่น่าจะเหมาะสม กกต.ก็มีเครื่องไม่มาก ซึ่งจะทำให้มีผลเสียมากกว่าผลดี กกต.ไม่ควรจะมาทดลองเพราะเป็นเรื่องใหม่ที่ไม่ใช้มาก่อน ซึ่งอาจจะทำให้ประชาชนเกิดความสับสนได้ และถ้าหากเกิดความผิดพลาดขึ้นมาอาจส่งผลต่อประเทศโดยรวมและเกิดความล่าช้าหรือต้องลงคะแนนใหม่ นอกจากนี้จะส่งผลเสียต่อผู้บริหารซึ่งอาจจะเป็นการเรียกแขกก็ได้ หากจะทดลองใช้ก็ควรจะใช้ในการเลือกตั้งท้องถิ่นในพื้นที่ไม่กว้าง
“ทวีศักดิ์ สูทกวาทิน” กล่าวไปในทิศทางเดียวกันว่า มีข้อท้วงติง คือการนำเครื่องออกเสียงลงคะแนนมาใช้ ซึ่งดูร่างพ.ร.บ.แล้วเห็นได้ชัดเจนว่า ร่างพ.ร.บ.นี้ออกมาใช้เพื่อการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับของนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรธ. ซึ่งคงใช้เพียงครั้งเดียว คงไม่ใช้ครั้งต่อไป เมื่อมีวัตถุประสงค์ในการใช้เพื่อรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ในกระบวนการนี้จึงไม่ควรนำมาตรการอะไรมาทดลอง เช่น การใช้เครื่องลงคะแนนเสียงซึ่งมีเครื่องจำนวนน้อย และเห็นด้วยที่่ว่าควรนำไปใช้ในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น ที่มีหน่วยเลือกตั้งน้อยและมีออกเสียงน้อยที่สามารถจะดำเนินการทดลองเพื่อให้เกิดความคุ้นเคยที่ระดับท้องถิ่นก่อนที่จะนำมาใช้ในการลงประชามติที่ดำเนินการทั้งประเทศ เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดขึ้นได้
“สุรางคณา วายุภาพ” อภิปรายว่า สิ่งที่ห่วงใย คือ ร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ดูเหมือนเปิดกว้างรองรับการนำเทคโนโลยีมาใช้ แต่หากดูรายละเอียดของกฎหมายแล้วในเรื่องการใช้เครื่องลงคะแนนเสียง ไม่แน่ใจว่าเครื่องดังกล่าวจะพร้อมสำหรับการใช้งาน เนื่องจากเป็นเรื่องใหม่ หากเครื่องลงคะแนนรายงานผลไม่ตรงกับข้อเท็จจริงจะเอาอะไรเป็นตัวตั้งและการใช้งานจะเสถียร
หลังจากที่สมาชิกสนช.ได้อภิปรายเสร็จแล้ว นายวิษณุ ชี้แจงเพิ่มเติมว่า ร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ใช้สำหรับเหตุการณ์นี้ครั้งเดียวจริงๆ คือการออกเสียงประชามติที่จะเกิดขึ้นในเดือนสิงหาคมนี้ ในส่วนของกกต.ก็พยายามยกร่างขึ้นให้ดีที่สุด แต่เนื่องจากความเร่งรัดเรื่องเวลาเพราะกกต.จะต้องไปปรับร่างให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญที่แก้ไข โดยกกต.มีเวลาเพียง 7 วันเท่านั้น ซึ่งข้อเสนอของสนช.ก็จะให้คณะกรรมาธิการวิสามัญไปปรับปรุงได้
“บุญเกียรติ รักชาติเจริญ” รองเลขาธิการกกต. ในฐานะรักษาการเลขาธิการ ชี้แจงว่า กกต.มีข้อจำกัดในการยกร่างกฎหมายดังกล่าว โดยร่างกฎหมายนี้ได้ใช้แนวทางจากพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ.2552 และประกาศของสภาร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการว่าด้วยการเผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญและการออกเสียงประชามติ มาพิจารณายกร่างกฎหมาย
สำหรับการกำหนดให้เพิ่มการใช้เครื่องลงคะแนนนั้น กกต.ได้นำเครื่องลงคะแนนมาตั้งแต่ปี 2545 ซึ่งมีความแม่นยำ เชื่อถือได้ ใช้งานได้จริง แต่ไม่สามารถนำมาใช้งานอย่างจริงจัง เพราะยังไม่มีกฎหมายใช้บังคับ ในครั้งนี้ก็จะใช้เป็นตัวอย่างโดยมีทั้งหมด 14 เครื่อง ในเขตกทม. 5 เครื่อง ส่วนที่เหลือจะอยู่ในต่างจังหวัด
“การใช้เครื่องลงคะแนน ถือเป็นทางเลือก โดยผู้ใช้สิทธิ์สามารถเลือกใช้บัตรลงคะแนนหรือใช้เครื่องได้ตามความสะดวก ส่วนการอำนวยความสะดวกแก่คนพิการและผู้สูงอายุทุกครั้งกฎหมายจะกำหนดไว้และกกต.จะมีระเบียบให้แต่ละหน่วยอำนวยความสะดวกช่วยเหลือคนพิการทั้งสายตา โดยใช้บัตรที่พิมพ์เป็นอักษรเบรลล์และจัดคูหาเป็นพิเศษเพื่ออำนวยสะดวกสำหรับผู้ใช้วีลแชร์ นอกจากนี้ในมาตรา 36 กำหนดให้คนพิการและผู้สูงอายุสามารถลงทะเบียนเพื่อแจ้งความประสงค์ให้กกต.ตั้งหน่วยออกเสียงพิเศษในการออกเสียงประชามติได้ ทั้งนี้ต้องมีการลงทะเบียนก่อนล่วงหน้า
จากนั้นที่ประชุมได้ลงมติรับหลักการในวาระแรกด้วยคะแนน 153 และงดออกเสียง 5 และตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญจำนวน 21 คน เพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.การออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ… โดยให้เสนอแปรญัตติภายใน 5 วัน ระยะเวลาดำเนินการ 20 วัน
