ส.ว.สรรหา-องค์กรอิสระดาบคสช.คุม‘การเมือง’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160314/224076.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม 2559
ส.ว.สรรหา-องค์กรอิสระดาบคสช.คุม‘การเมือง’

ส.ว.สรรหา-องค์กรอิสระดาบคสช.คุม‘การเมือง’ : ทีมข่าวสืบสวนสอบสวน

           ข้อเสนอของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เกี่ยวกับเรื่องให้มี “ส.ว.สรรหา” โดยที่มีคนของ คสช.ไปดำรงตำแหน่ง พร้อมกับออกตัวว่า เป็นความเห็นส่วนตัว ก็น่าจะพอเข้าใจได้ หากเป็น “ส่วนตัว” ที่ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

แต่หากเป็นตำแหน่ง รองหัวหน้าและประธานที่ปรึกษา คสช.แล้ว น่าสนใจว่า ข้อเสนอที่สุ่มเสี่ยงต่อข้อกล่าวหาว่า นี่คือการสืบทอดอำนาจของ คสช. แล้วนี่จะยังเป็นข้อเสนอ “ส่วนตัว” ได้อีกหรือไม่

ถึงแม้ พล.อ.ประวิตร จะบอกว่า ขึ้นอยู่กับกรรมการร่างรัฐธรรมนูญว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ ถ้าเห็นด้วยก็ให้ใส่ไว้ในบทเฉพาะกาล มีอายุ 5 ปี ถ้าไม่เห็นด้วยก็จบ

แต่พล.อ.ประวิตร ก็บอกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องมี

ไม่ใช่แค่ พล.อ.ประวิตร ที่มาพูดเรื่อง ส.ว.สรรหา หากแต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.ก็ให้เหตุผลถึงความจำเป็นที่จะต้องมี สว.สรรหา มาแล้วในก่อนหน้านี้ เพียงแต่ไม่ชัดเจนว่า ส.ว.สรรหา นั้นมีคุณสมบัติอย่างไร

“เราจะคิดและตัดสินใจอะไร ชอบหรือไม่ชอบอันไหน อยากให้ทุกคนทบทวน ดูวันเวลาที่ผ่านมา ประเทศไทยเผชิญเรื่องอะไรมาบ้าง ความเดือดร้อน ความไม่เข้มแข็ง การไม่มีขีดความสามารถ การใช้อาวุธสงคราม สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ผมวาดภาพให้เห็นความหวาดกลัวเพื่ออยู่ต่อ แต่ท่านต้องคำนึงว่ามันจบหรือยัง การเมืองทั้งหมดทุกกลุ่มพร้อมร่วมมือเดินหน้าประเทศหรือยัง ถ้าตอบได้ว่าพร้อมแล้วบอกมา ใครมั่นใจรับรองแทนบ้าง เพราะวันนี้ยังตีกันอยู่ทุกวัน ขณะผมมีอำนาจยังขนาดนี้ ผมก็ไม่รู้ว่าวันหน้าจะแค่ไหน”
บางคนมองว่า ที่พล.อ.ประยุทธ์ พูดมานั้น อาจเป็นมุมมองของ “ทหาร” แต่หากมองในมุมของ คสช.แล้วพวกเขาคือหน่วยรบ ที่เมื่อออกมาแล้วจะต้องรบให้จบ เพราะบทเรียนเมื่อปี 2549 นั้นเป็นตราบาป มากกว่าจะนำไปอวดอ้าง

การให้มี ส.ว.สรรหาเข้ามาทำหน้าที่ 5 ปี เพื่อเป็นหลักประกันว่า การเข้ามายึดอำนาจในครั้งนี้จะไม่ “เสียของ” นั่นก็คือ สิ่งที่ได้ออกแบบ วางกรอบเอาไว้ จะต้องเดินไปตามนั้น

ซึ่งแม้จะไม่พูดให้ชัดเจน แต่ถ้อยแถลงของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็หมายความเช่นนั้นจริงๆ

“เรื่องอำนาจ ส.ว.ก็ทำหน้าที่ดูแลรัฐธรรมนูญไม่ให้มีปัญหา ไม่ให้ได้รับการแก้ไขจนเละเทะไปหมด ทำนองนี้ และดูแลเรื่องธรรมาภิบาล การบริหารราชการแผ่นดิน ดูแลยุทธศาสตร์ที่เขียนไว้กว้างๆ ถ้ารัฐบาลไม่ทำหรือทำน้อย ก็เปิดประชุมสองสภาว่าทำไมไม่ทำแค่นั้น ไม่ใช่ไปชี้ผิดชี้ถูกยุบรัฐบาล มันไม่ใช่ ถ้าจะยุบรัฐบาลมันต้องเข้ากลไก ศาลไปว่ามา แต่ไม่ใช่ให้ศาลมาชี้เอง คงไม่ได้ มันต้องมีมูล ร้องทุกข์กล่าวโทษ”

แต่เรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องใหม่สำหรับสังคมที่ประดักประเดิดกับการอยู่ร่วมกับ คสช. แล้วบางครั้งก็คิดไปว่ากำลังอยู่ในบรรยากาศประชาธิปไตย จนบางครั้งออกไปเรียกร้องให้รัฐบาล และ คสช.ทำอย่างที่รัฐบาลมาจากการเลือกตั้งปฏิบัติ

ข้อเรียกร้องให้กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ยกร่างรัฐธรรมนูญให้ออกมาเป็นประชาธิปไตยมากที่สุดจึงยังคงมีอยู่ ทั้งที่รู้ว่าผู้ที่ร่างรัฐธรรมนูญอยู่นั้น ไม่ได้มาจากกระบวนการประชาธิปไตย

ทั้งที่ คสช.เอง ก็ประกาศเสียงดังฟังชัดว่า พวกเขาไม่ใช่ประชาธิปไตย

แต่ คสช.เอง ก็บอกว่า ไม่ใช่ว่าไม่ศรัทธาในประชาธิปไตย เพียงแต่ไม่เชื่อว่า รัฐธรรมนูญจะเป็นยาวิเศษที่จะทำให้ประเทศไทยเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง

ด้วยสภาพบ้านเมืองในขณะนี้ ต่อให้ร่างกติกามาดีขนาดไหน ก็ไม่สามารถสยบนักการเมืองสายพันธุ์ไทยได้

และไม่เชื่อว่า จะนำพาชาติบ้านเมืองเดินไปตามแนวทางที่พวกเขาวางเอาไว้ภายใต้ความเชื่อมั่นว่า บ้านเมืองจะพ้นจากปากเหวได้ จะต้องมีกฎกติกาที่บังคับใช้ได้จริง มีเจ้าหน้าที่ของรัฐที่จริงจังกับความเดือดร้อนของประชาชน มีความยุติธรรมที่ประชาชนทุกคนเข้าถึงได้จริง

แต่ “รัฐธรรมนูญ” ที่ร่างกันมาหลายต่อหลายฉบับ ฉีกไปก็หลายฉบับนั้น ไม่สามารถทำให้ประชาชนเข้าถึงจุดที่ว่านั้นได้

รัฐธรรมนูญปี 2540 ที่ว่าดีที่สุดเท่าที่ประเทศไทยเคยมีมา เพราะออกแบบให้มีองค์กรอิสระเข้ามาควบคุมตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหาร รวมทั้งข้าราชการทั้งหลาย แต่รัฐธรรมนูญปี 2540 กลับให้ผลผลิตเป็นนักการเมืองที่ฉ้อฉลเอาอำนาจประชาชนไปเป็นของตนเอง

ด้วยข้ออ้างเพียงแค่ว่า “มาจากการเลือกตั้ง” แล้วเข้าไปจัดการคัดเลือกกรรมการองค์กรอิสระ จนสุดท้ายก็ได้องค์กรอิสระที่มีคณะกรรมการสวมปลอกคอของนักการเมืองเข้ามาทำหน้าที่อำนวยความสะดวกให้นักการเมือง

นี่คือเหตุผลที่เป็นความจำเป็นที่จะต้องมี ส.ว.สรรหา มาทำหน้าที่ร่วมกับ ส.ส. ที่มาจากการเลือกตั้งของ คสช.

แน่นอนว่า ส.ว.สรรหานั้น ส่วนหนึ่ง หรืออาจจะส่วนใหญ่ ที่กำหนดให้มี 200 คนนั้นถ้าไม่ใช่ คสช.ก็ต้องเป็นคนของ คสช. เพื่อให้แน่ใจได้ว่า 5 ปีที่วางกรอบ วางแนวทางเอาไว้ ถึงแม้จะมีรัฐบาลใหม่แม้จะเข้ามาบริหารประเทศภายใต้แนวนโยบายของตน ก็จะต้องนำกรอบและแนวทางที่ทั้ง สภาปฏิรูปประเทศ ทั้ง สนช. ได้วางเอาไว้นั้นไปสานต่อด้วย

ภายใต้กลไกที่มีอยู่ติดดาบให้ ส.ว.สรรหา ไม่ว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญมาตรา 77 ที่เปิดทางให้ ส.ส. หรือ ส.ว.เข้าชื่อกันไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจำนวนสมาชิกแห่งสภานั้น ยื่นเรื่องให้ประธานส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ ถอดถอนสมาชิกรัฐสภาได้ หรือจะเป็นการยื่นญัตติถามเหตุผลของฝ่ายบริหารว่าทำไมไม่ทำตามกรอบที่วางเอาไว้

แต่ดาบที่คมกว่านั้น ก็คือบรรดาองค์กรอิสระทั้งหลายที่จะต้องมาจากการสรรหา และคัดเลือกโดยวุฒิสภา ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อทิศทางชัดเจน องค์ประกอบก็ต้องชัดเจน เพื่อให้เดินไปในทิศทางเดียวกัน

จึงไม่ต้องแปลกใจว่า บรรดาองค์กรอิสระทั้งหลายได้ถูกกรรมการร่างรัฐธรรมนูญออกแบบให้ใหม่ เพิ่มความคม ความยาว ของดาบ เพื่อเอาไว้จัดการพวกแหกกรอบโดยเฉพาะ

นายทหารจาก คสช.เปรียบเปรยอำนาจใหม่ของพวกเขาภายใต้กรอบที่มาของ ส.ว.สรรหา และดาบขององค์กรอิสระ โดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญ และ ป.ป.ช. ไม่ต่างอะไรกับอำนาจของคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ (คปป.) ที่คณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ ชุดของ “บวรศักดิ์ อุวรรณโณ” นำเสนอ แต่ถูก สปช.ตีตกไป

“อำนาจของ ส.ว.สรรหา และองค์กรอิสระ ในรัฐธรรมนูญใหม่ เทียบเคียงได้กับอำนาจของ คปป. หรือมาตรา 44 ในรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ที่ให้อำนาจในการระงับยับยั้งการกระทำใดๆ ทั้งทางนิติบัญญัติ และทางบริหาร แต่ไม่มีอำนาจทางตุลาการ สิ่งเหล่านี้จะเป็นกลไกสำคัญในการคุมฝ่ายการเมือง ให้อยู่ในระบบ” นายทหารจาก คสช. ระบุ

และอย่าได้สงสัยถ้า พล.อ.ประวิตร จะถามกลับมาว่า ผิดตรงไหนที่ คสช.จะไปเป็น ส.ว.สรรหา

Leave a comment