หมอเกษตร ทองกวาว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05080151058&srcday=2015-10-15&search=no

วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 28 ฉบับที่ 609

หมอเกษตร ทองกวาว

เคอร์คูมินอยด์ สารต้านอนุมูลอิสระ ในขมิ้นชัน

เรียน คุณหมอเกษตร ทองกวาว ที่นับถือ

ผมอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งไม่นานมานี้ ในเนื้อหาบอกว่า ขมิ้นชัน มีสารที่สามารถรักษาโรคมะเร็งได้จริงหรือไม่ครับ สารดังกล่าวคือสารอะไร ขอรบกวนคุณหมอเกษตร ช่วยกรุณาแนะนำด้วยครับ

ขอแสดงความนับถือ

ทวีวงศ์ อุณหวิทยา

เลขที่ 78/5 ถนนนิคมมักกะสัน แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400

ตอบ คุณทวีวงศ์ อุณหวิทยา

สารสำคัญที่พบในขมิ้นชัน คือ เคอร์คูมินอยด์ เป็นสารสีเหลือง ได้จากเหง้าของขมิ้นชัน ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับ อนุมูลอิสระ กันครับ อนุมูลอิสระเป็นโมเลกุลที่มีอิเล็กตรอนเดี่ยวๆ อยู่ในภาวะไม่คงตัว ไวต่อการเกิดปฏิกิริยาทางเคมี อนุมูลอิสระเกิดขึ้นได้จากอาหารหลายประเภทที่มนุษย์บริโภคเข้าไป สารเคมีกำจัดแมลง เคมีภัณฑ์ที่ใช้ในอาคารบ้านเรือนทั่วไป รวมทั้งควันบุหรี่ที่อยู่ใกล้ตัวคุณด้วยละ ในสภาวะปกติ อนุมูลอิสระที่เข้าสู่ร่างกายมนุษย์จะถูกกำจัดโดยสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายที่มนุษย์สร้างขึ้น แต่เมื่อใดปริมาณของอนุมูลอิสระมากเกินกำลัง สารต้านอนุมูลอิสระจะกำจัดได้ อนุมูลอิสระเหล่านั้นจะทำให้เกิดความผิดปกติในร่างกายขึ้น เช่น อาการปวดเมื่อย โรคเกี่ยวกับหัวใจ ปริมาณคอเลสเตอรอลเพิ่มสูงขึ้น และที่สำคัญเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็ง ที่เป็นโรคร้ายคร่าชีวิตมนุษย์เป็นอันดับต้นๆ ของโรคร้ายทุกชนิด ส่วนสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ร่างกายของมนุษย์สร้างขึ้น หรือเพิ่มเติมจากภายนอก จะทำหน้าที่ป้องกันการเข้าทำลายเซลล์เนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย และซ่อมแซมส่วนของเซลล์ที่ถูกอนุมูลอิสระเข้าทำลาย

จากผลงานวิจัยขององค์การเภสัชกรรม พบว่า สารเคอร์คูมินอยด์ที่ได้จากเหง้าของขมิ้นชัน สามารถลดอาการโรคสมองเสื่อม ใช้รักษาโรคไขข้ออักเสบ ช่วยยับยั้งการเกิดฝี หนอง เนื่องจากเชื้อแบคทีเรีย และที่สำคัญคือมีฤทธิ์ป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ได้ อย่างไรก็ตาม การนำสารสำคัญในขมิ้นชันไปใช้ประโยชน์ในด้านสุขภาพ ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์และเภสัชกร ครับ

ข้าวพันธุ์เจ๊กเชยเสาไห้ เป็นข้าว จี.ไอ. ไปแล้ว

เรียน คุณหมอเกษตร ทองกวาว ที่นับถือ

ผมอยากทราบความเป็นมาของข้าวพันธุ์เจ๊กเชยเสาไห้ เพราะเคยเห็นนำไปแสดงที่ห้างแห่งหนึ่ง และยังระบุว่าเป็นข้าว จี.ไอ. ผมเกิดความสงสัย ครั้นจะไปถามเจ้าหน้าที่ก็ไม่ทันกาล เพราะมีภารกิจต้องเดินทางไปทำธุระที่อื่น ผมจึง จ.ม. มาเรียนถามคุณหมอเกษตร เพื่อขอทราบรายละเอียดครับ

ด้วยความนับถืออย่างสูง

วิทย์ วงศ์ทองสุข

เลขที่ 48/2 หมู่ที่ 11 ตำบลมะลิวัลย์ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น 40000

ตอบ คุณวิทย์ วงศ์ทองสุข

ข้าวพันธุ์เจ๊กเชยเสาไห้ เป็นข้าวพันธุ์พื้นเมือง มีปลูกกันมากในบริเวณที่ลุ่มแม่น้ำป่าสัก จังหวัดสระบุรี มานานกว่า 200 ปี โดยเฉพาะพื้นที่อำเภอเสาไห้ ในอดีตชุมชนแห่งนี้มีการค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าเกษตรกันอย่างคึกคัก จนเกิดท่าน้ำเจ๊กเฮง เจ๊กเฮง เป็นพ่อค้าชาวจีน เมื่อปลดระวางตนเอง จึงมอบหน้าที่ให้ เจ๊กเชย ผู้เป็นน้องชาย ทำหน้าที่ดูแลและควบคุมสินค้าทุกประเภท ทั้งของกิน ของใช้ และเสื้อผ้า เหมือนร้านขายของชำทั่วๆ ไป เจ๊กเชยค้าขายมาหลายปี สังเกตเห็น ข้าวก้นจุดพันธุ์หนึ่ง เมื่อนำมาหุงต้มแล้วรสชาติดี ข้าวขึ้นหม้อ เป็นตัว ไม่เละหรือแฉะ เมื่อนำมาทำข้าวราดแกง ที่สำคัญเก็บไว้ค้างคืนก็ไม่บูดเน่าเสีย จึงแนะนำให้ชาวนาปลูกข้าวพันธุ์ก้นจุดนี้ แล้วนำมาแลกสินค้าจำเป็นอื่นๆ พร้อมให้ราคาแพง ต่อมาเกษตรกรจึงปลูกข้าวพันธุ์ดังกล่าวมากขึ้น แล้วเรียกว่า ข้าวพันธุ์เจ๊กเชย ส่วนเสาไห้นั้น มาเพิ่มเติมในภายหลัง จุดเด่นอีกประการหนึ่ง เมื่อนำแป้งข้าวไปทำเส้นขนมจีน หรือเส้นก๋วยเตี๋ยว จะได้เส้นเหนียว นุ่ม และไม่ขาดง่าย

ข้าวพันธุ์เจ๊กเชยเสาไห้ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หรือข้าว จี.ไอ. หรือ G.I. Rice (Geographic Indication Rice) ไปเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 เป็นต้นมา ความสำคัญของสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์นั้น ถือเป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่มีความเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ เน้นการผลิต และการใช้ทรัพยากรในพื้นที่เป็นหลัก สินค้าต้องเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และมีคุณภาพดี ซึ่งจะแตกต่างจากสินค้าประเภทเดียวกันที่ผลิตในต่างพื้นที่ เห็นหรือยังครับว่า ข้าวไทยเราไปไกลในระดับอินเตอร์แล้วครับ

ลิลลี่ ปลูกได้ดีบนที่สูง ที่มีอากาศหนาวเย็น

เรียน คุณหมอเกษตร ทองกวาว ที่นับถือ

ผมสนใจอยากจะปลูกต้นลิลลี่มาก เพราะเห็นว่ามีดอกสวยงาม และอายุการใช้งานของดอกได้นาน ผมอยู่ที่จังหวัดกาญจนบุรี จะปลูกได้หรือไม่ ผมยังขาดความรู้และประสบการณ์ด้านนี้ จึงขอเรียนถามว่า การปลูกและการดูแลรักษานั้น ต้องทำอย่างไรจึงจะได้ผลดี ขอคำแนะนำครับ

ขอแสดงความนับถือ

ณัฐวุฒิ ทรงบดี

เลขที่ 132/3 สี่แยกไทรโยคใหญ่ หมู่ที่ 5 ตำบลไทรโยค อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี 71150

ตอบ คุณณัฐวุฒิ ทรงบดี

ลิลลี่ เป็นพืชเมืองหนาว เมื่อนำมาปลูกเมืองไทย จึงต้องการอากาศหนาวเย็น ในเวลากลางคืนที่ 13-18 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 70-75 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น แหล่งปลูกต้องอยู่บนที่สูง หรือระดับน้ำทะเลปานกลาง อย่างน้อย 400 เมตร ขึ้นไป ดินต้องมีความอุดมสมบูรณ์สูง มีความเป็นกรด ด่าง ระหว่าง 5.5-7.5 และต้องมีน้ำอย่างเพียงพอ

พันธุ์ที่ปลูกในประเทศไทย มี 2 กลุ่ม กลุ่มแรก นำเข้าจากยุโรปและสหรัฐอเมริกา มีดอกสีขาว แดง และชมพู เป็นพันธุ์คาซาบลังก้า อาคาบูโก้ ไทยเบอร์ และซิมปลอน กลุ่มนี้มีดอกใหญ่ มีกลิ่นฉุน และ กลุ่มที่สอง นำเข้าจากญี่ปุ่น และไต้หวัน มีดอกสีขาว ครีม ส้ม ชมพู และแดง ดอกมีทั้งชนิดจุดประและไม่มี เช่น พันธุ์พราโต้ และโซลีมิโอ้

ลิลลี่ ปลูกได้ 2 ช่วง ในรอบ 1 ปี คือ ช่วงฤดูร้อน ระหว่างเดือนมีนาคม ถึงเดือนตุลาคม ต้องทำโรงเรือนพร้อมหลังคาพรางแสง 70-75 เปอร์เซ็นต์ พร้อมหลังคาพลาสติกกันฝนอีกชั้นหนึ่ง ส่วนช่วงฤดูหนาว ระหว่างเดือนพฤศจิกายน ไปถึงเดือนกุมภาพันธ์ ดินปลูก จัดสัดส่วนให้ดินร่วน สะอาด ปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยคอกเก่า และแกลบดิบ อัตรา 2 : 1 : 2 คลุกเคล้าให้เข้ากัน ยกร่องกว้าง 1 เมตร สูง 30 เซนติเมตร ความยาวขึ้นอยู่กับความต้องการ เว้นทางเดินระหว่างแปลง 50 เซนติเมตร หัวพันธุ์ ส่วนใหญ่นำเข้าจากต่างประเทศ และแตกหน่อแล้ว ยาว 2.5 เซนติเมตร ขนาดหัวใกล้เคียงกับหอมหัวใหญ่ ใช้ระยะปลูก 15×15 เซนติเมตร เปิดหลุมลึกไม่เกิน 10 เซนติเมตร ความกว้างพอวางหัวลงได้สะดวก กลบพอแน่น ให้หน่อโผล่พ้นดิน พร้อมรดน้ำตาม เมื่อตั้งตัวได้ ใส่ปุ๋ยยูเรีย อัตรา 500 กรัม ต่อ 100 ตารางเมตร แบ่งใส่ 2 ครั้ง ทุก 7 วัน อัตราเท่ากัน และรดน้ำตาม จากนั้นให้ใส่ปุ๋ย สูตร 15-15-15 อัตรา 1 กิโลกรัม ต่อพื้นที่ 100 ตารางเมตร ทุกเดือน จนถึงระยะใกล้เก็บเกี่ยว ส่วนอายุเก็บเกี่ยวขึ้นอยู่กับพันธุ์ปลูก แต่เฉลี่ยอยู่ที่ 120-130 วัน การเก็บเกี่ยว เริ่มตัดดอกได้เมื่อดอกที่ 1-2 เริ่มเปลี่ยนสีที่สดใสขึ้น ตัดต้นเหนือพื้นดิน 5-7 เซนติเมตร ด้วยกรรไกรคม และสะอาด สำหรับโรคที่พบเสมอ คือลำต้นเน่าเกิดจากเชื้อราชนิดหนึ่ง อาการเกิดแผลที่ลำต้น ต่อมาใบเหลืองและหักโค่น ป้องกันโดย อย่าให้น้ำขังแปลง เมื่อพบน้ำท่วมขังให้ระบายออกทันที หากพบต้นที่เป็นโรค ให้ถอนนำไปเผาทำลาย แล้วโรยทับหลุมด้วยปูนขาว การระบาดของโรคจะหมดไป

ส่วนที่กาญจนบุรี อากาศหนาวเย็นไม่พอสำหรับปลูกลิลลี่ ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม สอบถามที่ กองส่งเสริมพืชสวน กรมส่งเสริมการเกษตร ถนนพหลโยธิน เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ในวันและเวลาราชการ

Leave a comment