หมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง ความเข้มแข็งของชาวบ้านดอนตะโหนด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05057151058&srcday=2015-10-15&search=no

วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 28 ฉบับที่ 609

รายงานพิเศษดูงานเกษตรเมืองสิงห์ เมืองคนมีความสุขสูงสุด

สุรเดช สดคมขำ

หมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง ความเข้มแข็งของชาวบ้านดอนตะโหนด

เศรษฐกิจทุกวันนี้ อาจเรียกว่าเป็นยุคข้าวยากหมากแพงก็ว่าได้ การทำมาหาเก็บของคนในสังคมเป็นเรื่องที่ลำบาก รายรับที่ได้อาจไม่เพียงพอต่อรายจ่ายในชีวิตประจำวัน ทำให้เกิดการกู้หนี้ยืมสิน กอปรกับการประกอบสัมมาอาชีพเท่าไหร่ก็ไม่เพียงพอ ความเป็นอยู่ที่ควรจะดีกลับลดน้อยถอยลง จนเกิดสภาวะเครียดทางจิตใจ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงของคนในยุคปัจจุบัน

ในโอกาสที่ นิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้าน ฉบับนี้ ลงพื้นที่จังหวัดสิงห์บุรี

จึงขอนำเสนอ หมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง ของชาวบ้านดอนตะโหนด หมู่ที่ 7 ตำบลโพทะเล อำเภอค่ายบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี โดยมีหัวเรือใหญ่ คือ คุณเอกศักดิ์ ทองคำ ผู้ใหญ่บ้าน ที่ขับเคลื่อนให้คนในหมู่บ้านเหลือกิน เหลือใช้ เหลือเก็บ ไม่มีหนี้สิน สร้างความเข้มแข็งให้กับชาวบ้านดอนตะโหนดเลยทีเดียว ขณะที่ผู้เขียนได้ไปสัมภาษณ์ ผู้เขียนยังแอบอิจฉาชาวบ้านดอนตะโหนดมิน้อย ที่สามารถจัดการความเป็นอยู่ได้ดีขนาดนี้ จนชาวบ้านอยู่ดีมีสุข เกิดความรัก ความสามัคคี

คุณเอกศักดิ์ ผู้ใหญ่บ้าน เล่าว่า ชาวบ้านดอนตะโหนด มีทั้งสิ้น 70 ครัวเรือน อาชีพส่วนใหญ่ทำนา ทำสวน แต่รายได้จากการประกอบอาชีพดังกล่าว ยังไม่เพียงพอต่อความเป็นอยู่ เพราะนาที่ทำส่วนใหญ่ยังเป็นนาเช่า จึงมองเห็นปัญหาเรื่องปากท้องของชาวบ้านเป็นหลัก เมื่อประมาณปี 2538 ผู้ใหญ่บ้านคนเก่าได้จัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์ และต่อมาเมื่อปี 2551 ได้จัดตั้งวิสาหกิจชุมชนโรงสีข้าว เพราะมีผู้สูงอายุท่านหนึ่งในหมู่บ้านป่วยเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง แพทย์จึงแนะนำให้กินข้าวกล้องไรซ์เบอร์รี่ จึงไปหาซื้อมาจากจังหวัดอื่น กิโลกรัมละ 100 กว่าบาท

คุณเอกศักดิ์ บอกว่า ผู้สูงอายุท่านนั้นคิดว่าเราเองก็ทำนา แต่ทำไมจะต้องไปซื้อข้าวจากที่อื่นมากิน จึงได้ไปหาพันธุ์ข้าวปลูกไรซ์เบอร์รี่มาปลูกเอง เมื่อกินไปได้สักระยะสุขภาพดีขึ้น ชาวบ้านในหมู่บ้านจึงคิดร่วมกันว่า ควรจะสีข้าวไรซ์เบอร์รี่ขายเอง แต่ต้องเป็นข้าวปลอดสารพิษ จึงมีการรวมกลุ่มทำข้าวปลอดสารพิษขึ้น ที่รวมตัวได้ทั้งหมด 12 ครัวเรือน จาก 70 ครัวเรือน โดยตกลงกันว่าข้าวไรซ์เบอร์รี่ที่ปลูกต้องไม่ใช้ยาคุมฆ่าหญ้า ไม่ใช้สารเคมีไล่แมลงศัตรูพืช ทำให้ปัจจุบันสามารถผลิตข้าวไรซ์เบอร์รี่ได้ ประมาณ 18 ตัน ต่อปี ในจำนวนที่นา 60 ไร่ เพราะความใส่ใจเรื่องสารเคมีมากขึ้น จึงได้จัดตั้งธนาคารปุ๋ย ได้รับความช่วยเหลือจากกรมพัฒนาที่ดิน ปุ๋ยที่ทำนำมาขายให้กับคนในหมู่บ้านใช้เอง เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด

คุณเอกศักดิ์ บอกว่า ชาวบ้านดอนตะโหนดได้น้อมนำกระแสพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง มาใช้ในชีวิตประจำวัน ทำให้ทุกคนในหมู่บ้านเข้มแข็ง มีความเป็นอยู่ดีขึ้น ไม่เป็นหนี้สิน มีเงินเหลือเก็บเหลือใช้ เพราะมีเงินกลุ่มออมทรัพย์ของหมู่บ้านเอง โดยมี คุณไพโรจน์ ศิลประเสริฐ เป็นประธาน

คุณไพโรจน์ อยู่บ้านเลขที่ 41/2 หมู่ที่ 7 ตำบลโพทะเล อำเภอค่ายบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี เล่าว่า กลุ่มออมทรัพย์ที่จัดตั้งขึ้นมานั้น ให้ชาวบ้านตั้งสัจจะการออมเงินทุกเดือน จะฝากมากน้อยไม่สำคัญ แต่ขอให้ฝากทุกเดือน โดยขั้นต่ำเป็นเงิน 50 บาท แต่ไม่เกิน 500 บาท ต่อเดือน ซึ่งชาวบ้านแต่ละครัวเรือนจะมีเงินฝากไม่เท่ากัน แล้วแต่จำนวนรายได้ที่มี ทำให้ปัจจุบันทางกลุ่มออมทรัพย์ของหมู่บ้านมีเงินไว้หมุนเวียน ประมาณ 5 ล้านบาท เพื่อเป็นกองทุนสำหรับให้ชาวบ้านภายในหมู่บ้าน ครัวเรือนไหนมีเรื่องเดือดร้อนจำเป็นที่จะต้องใช้เงิน สามารถมากู้ได้ทั้งระยะสั้น และระยะยาว แต่ชาวบ้านที่จะกู้ได้ต้องเป็นสมาชิกของกลุ่มออมทรัพย์เท่านั้น ตั้งแต่เริ่มโครงการมา ยังไม่มีชาวบ้านที่กู้เงินไปแล้วไม่ใช้คืน แต่กลับคืนเงินทั้งต้นทั้งดอกครบถ้วนตามกำหนด

ต่อมาจึงได้จัดตั้งให้เป็นสถาบันการเงินที่ใหญ่ขึ้น โดยนำเอากองทุนหมู่บ้าน โครงการ เอสเอ็มแอล (SML) และกลุ่มออมทรัพย์ของหมู่บ้านที่มีอยู่เดิม มาจัดรวมเข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดเงินหมุนเวียนมากยิ่งขึ้น ทำให้สามารถดูแลชาวบ้านได้ดียิ่งขึ้น โดยมีสวัสดิการด้านต่างๆ สำหรับสมาชิกได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น

“พอมารวมเป็นสถาบันการจัดการเงินทุนชุมชน เราก็แบ่งกลุ่มให้ชาวบ้านรับผิดชอบ ดูแลกันเองเป็นกลุ่มๆ ตอนนี้ถ้ามีสมาชิกในหมู่บ้านเกิดคลอดลูก ทางกลุ่มออมทรัพย์จะทำขวัญให้รายละ 500 บาท แต่พ่อแม่ของเด็กต้องมาฝากเปิดบัญชีให้ลูก 100 บาท ในเดือนแรกที่ลูกคลอด เราต้องการให้เด็กเป็นสมาชิกของกลุ่มเลย ต่อไปก็ให้พ่อแม่ของเด็กมาฝากเข้ากับทางกลุ่มออมทรัพย์เรา ซึ่งแต่ละครั้งที่ฝาก ขึ้นอยู่กับรายได้ของพ่อแม่เด็กเอง ว่ามีรายได้มาก รายได้น้อย เพื่อให้มีเงินเก็บ จะมากจะน้อยไม่ว่ากัน”

คุณไพโรจน์ เล่าและบอกต่ออีกว่า

“พอเด็กโตขึ้น เราก็มีเงินทุนเรื่องการศึกษา โดยเอากองทุนหมู่บ้านมาจัดเป็นทุนการศึกษา ให้กับเด็กในหมู่บ้าน ปีละ 10 ทุน ทุกอย่างที่ทำนี่คือเราคิดกันทั้งหมู่บ้าน ไม่ได้มีคนใดคนหนึ่งคิดกันมาเอง เราประชาคมช่วยกันเสนอความคิดขึ้นมา ต่อไปเรื่องป่วยเจ็บพักรักษาตัวนอนโรงพยาบาลเกิน 2 คืน ทางกลุ่มออมทรัพย์ เราจะไปเยี่ยมไข้รายละ 500 บาท จะใช้สิทธิ์ได้ปีละครั้ง ถ้ามีผู้เสียชีวิตในหมู่บ้าน เราจะมีกองทุนสงเคราะห์ เก็บจากคนในหมู่บ้าน ส่วนคนนอกหมู่บ้านก็ช่วยข้าวสาร คนละ 2 กิโลกรัม พร้อมเงิน 100 บาท โดยกรรมการเราจะช่วยเก็บตอนสวดพระอภิธรรมคืนแรก…นอกจากนี้ ยังมีเงินทุนสำหรับซื้อพืชผักสวนครัวแจก คือ ผู้สูงอายุ ผู้พิการติดเตียง ตอนนี้ที่เราจัดมี 13 ชุด โดยเอาเงินที่ได้จากดอกเบี้ย มาแก้ไขปัญหาความยากจน เราก็พยายามหมุนเวียนดูแลกันในหมู่บ้าน ส่วนเงิน เอสเอ็มแอล (SML) เราก็จัดการเอามาซื้อเต็นท์ เก้าอี้ เวลาคนในหมู่บ้านมีงานก็มาขอยืมกันใช้ ไม่ต้องไปเช่าที่อื่น มาเอาไปช่วยกันกางได้ เพราะถ้าไปเช่าจากที่อื่น ก็หลังละ 700 บาท”

จากนั้น คุณเอกศักดิ์ ยังเพิ่มข้อมูลให้ด้วยว่า เมื่อหมู่บ้านมีเงินทุนมากพอก็สามารถทำโครงการต่างๆ ได้ โดยจัดตั้งโรงสีชุมชนขนาดกลางขึ้น เพื่อสีข้าวกล้อง ข้าวไรซ์เบอร์รี่ขาย สร้างรายได้ให้กับชาวบ้าน คนที่รับผิดชอบด้านนี้ ได้แก่ คุณเกษม หอมเทียม เป็นประธาน

คุณเกษม อยู่บ้านเลขที่ 35 หมู่ที่ 7 ตำบลโพทะเล อำเภอค่ายบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี เล่าว่า

“โรงสีนี่เริ่มมาตั้งแต่ปี 51 โดยเอาเงินของ SML โรงสีเราผลิตได้ตันกว่าๆ ต่อวัน โดยชาวบ้านที่นี่ไม่ต้องซื้อข้าวกิน เก็บข้าวไว้แล้วมาสีกันเอง เพราะตอนนี้ข้าวแพง ทุกคนเห็นว่าเราปลูกเอง ก็อย่าขายหมด มาสีเองที่โรงสีเราได้ ตอนนี้ไม่ใช่รับสีเฉพาะในหมู่บ้านเรา แต่รับสีทั่วไปเลย ชาวบ้านจากหมู่อื่นก็มา โรงสีเราสีได้ทั้งข้าวกะเทาะเปลือก กับข้าวกล้อง”

“พอเราได้เครื่องสีมาใหม่ๆ ต่อไป ก็เป็นวิธีบริหารจัดการ ต้องทำให้ดี เราแบ่งออกเป็น 2 ระบบ คือจ้างสี จะเอาข้าวเปลือกมาสี จะได้ข้าวสาร ได้รำ ได้ปลายข้าว ค่าจ้างสี ถังละ 12 บาท กับสีฟรี โดยทางโรงสีเราจะหักรำ หักปลายข้าว โดยเอาข้าวมา 10 แต่เอาข้าวกลับไป 5 ส่วน สีฟรี โดยไม่ต้องจ่ายเงิน ส่วนมากชาวบ้านจะใช้ระบบสีฟรี ส่วนรำกับปลายข้าวเราก็เอาไปขาย เพื่อเอาเงินตรงนั้นมาใช้จ่าย…ส่วนคนงานที่มาทำงาน เราให้ค่าแรง ถังละ 5 บาท ก็สามารถมีรายได้ พอเรามาทำข้าวกล้องไรซ์เบอร์รี่ ก็จะซื้อเครื่องสีมาอีกตัวหนึ่ง เพื่อสำหรับสีข้าวที่ปลอดสารพิษ ตัวข้าวกล้องเรารับสีถังละ 15 บาท” คุณเกษม กล่าว

เนื่องจากชาวบ้านดอนตะโหนด ได้จัดการพัฒนาชุมชนให้มีความเข้มแข็ง มีการช่วยเหลือซึ่งกันละกัน อยู่ในวิถีพอเพียง เลี้ยงตัวเองได้ ทำให้เมื่อปี 2553 ได้รับรางวัลหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงระดับจังหวัด เพราะได้น้อมนำกระแสพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาปฏิบัติ แล้วทุกคนในหมู่บ้านอยู่ดีมีความสุข ทำให้โครงการต่างๆ ที่ทำประสบผลสำเร็จด้วยดี จึงมีความคิดที่จะทำโครงการต่อไปคือ การปลูกผักปลอดสารพิษ ซึ่งตอนนี้ในหมู่บ้านได้ผลิตปุ๋ยหมัก และสารกำจัดแมลงศัตรูพืช ที่ได้จากธรรมชาติมาใช้กันเอง โดยลดสารเคมีที่เป็นอันตราย เพื่อให้ทุกคนในหมู่บ้านมีสุขภาพที่ดี

คุณเอกศักดิ์ เล่าว่า การที่จะมีสุขภาพที่ดีนั้น ต้องเริ่มจากขั้นตอนการผลิตที่ไม่มีสารพิษจริงๆ ไม่ว่าปุ๋ยที่ใช้ ต้องเป็นปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยต้องธรรมชาติ เพราะผลผลิตจะต้องเป็นเกษตรอินทรีย์จริงๆ จึงจัดตั้งธนาคารปุ๋ยขึ้นมาในหมู่บ้าน เพื่อให้ทุกคนในหมู่บ้านมีปุ๋ยไว้ใช้ทำการเพาะปลูกต่างๆ

“ธนาคารปุ๋ยนี่ กรมพัฒนาที่ดิน มาช่วยในการจัดตั้ง ปุ๋ยหมักทำจากขี้เค้กอ้อยกับขี้วัวเป็นหลัก เพราะว่าเราอยู่ใกล้โรงงานน้ำตาล เราเอามาหมัก ที่ธนาคารปุ๋ยเราไม่ได้ปั้นเม็ด แต่จะให้ชาวบ้านเอากระสอบมาโกยไปเอง กิโลละ 1 บาท คนนอกหมู่บ้านก็มาขอแบ่งซื้อ คนนอกหมู่บ้านก็มาแบ่งใช้ได้ ส่วนเงินที่ได้มาก็เตรียมเอาไปทำรอบต่อไป ปุ๋ยที่ทำนี่ ชาวบ้านเอาไปใช้เอง ตามนาข้าว ผักสวนครัวด้วย คนที่ปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ ก็เอาไปผสมดินปลูกประมาณนี้” คุณเอกศักดิ์ กล่าว

เมื่อทุกอย่างค่อนข้างจะครบวงจร คุณเอกศักดิ์ ยังบอกอีกว่า ชาวบ้านดอนตะโหนดคิดที่จะต่อยอด คือการปลูกผักปลอดสารพิษให้มากขึ้น เพราะช่วงที่รอข้าวถึงฤดูเก็บเกี่ยว ช่วงนั้นชาวบ้านจะว่าง จึงคิดที่จะทำสวนผักเพื่อให้มีรายได้มากยิ่งขึ้น ตอนแรกอาจจะทำแจกกันในหมู่บ้าน เมื่อทำสำเร็จและมีมากพอก็จะนำไปขายตามแหล่งรับซื้อต่างๆ ภายในจังหวัดสิงห์บุรี

จากโครงการต่างๆ ที่ชาวบ้านดอนตะโหนดสามารถทำร่วมกันจนประสบผลสำเร็จเป็นที่น่าภาคภูมิใจ เมื่อถามว่าทำอย่างไร ทั้ง 3 ท่าน ให้เหตุผลว่า ต้องการพัฒนาคนในหมู่บ้านให้มีคุณภาพ โดยเริ่มจากความสามัคคี มีความรู้ ไม่ว่าทุกคนมีข้อเสนอแนะในด้านไหน ชาวบ้านที่นี่จะพร้อมใจกันว่ามีประโยชน์มากน้อยเพียงไรกับหมู่บ้าน ถ้าทุกคนเห็นพ้องต้องกัน ก็ดำเนินการได้เลยทันที ทำให้การพัฒนาไปได้รวดเร็ว

ด้านผู้นำของหมู่บ้านนั้น ต้องมองเห็นประโยชน์ของคนในหมู่บ้านให้มากที่สุด โดยไม่หวังผลประโยชน์เพื่อตนเอง มีความเสียสละ ความเอาใจใส่ ก็ทำให้ชาวบ้านที่นี่เกิดความเชื่อมั่น และสามารถกำหนดทิศทางของงานให้มีความเจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป ด้วยความสามัคคีของทุกคน

สำหรับท่านใดที่สนใจเยี่ยมชมศึกษาดูงาน หรือปรึกษาการจัดแผนการพัฒนาด้านต่างๆ ติดต่อได้ที่ คุณเอกศักดิ์ ทองคำ ผู้ใหญ่บ้าน บ้านดอนตะโหนด หมู่ที่ 7 ตำบลโพทะเล อำเภอค่ายบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี หมายเลขโทรศัพท์ (089) 806-5046

ขอบพระคุณ คุณวนากร บังเกิด เจ้าหน้าที่สำนักงานเกษตรอำเภอค่ายบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี ที่พาลงพื้นที่ พบปะเกษตรกร

Leave a comment