หวั่นน้ำเค็มรุกสวนผักผลกระทบภัยแล้งเมืองปทุม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160127/221275.html

เกษตร-วิทยาศาสตร์-ไอที : ข่าวทั่วไป
วันพุธที่ 27 มกราคม 2559
หวั่นน้ำเค็มรุกสวนผักผลกระทบภัยแล้งเมืองปทุม

หวั่นน้ำเค็มรุกสวนผักผลกระทบภัยแล้งเมืองปทุม : นิธิศ นาเจริญรายงาน

            ในอดีตเกษตรกร อ.เมือง จ.ปทุมธานี นิยมทำนาปลูกข้าวหาเลี้ยงชีพ เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ลุ่มรับน้ำ แต่ละปีมีระยะเวลาที่น้ำท่วมขังพื้นที่ยาวนานนับเดือนเศษ จึงไม่เหมาะจะเพาะปลูกพืชอย่างอื่น นอกจากการทำนาปลูกข้าว

แต่หลังน้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2554 เป็นต้นมา พื้นที่บริเวณนี้แล้งน้ำ ไม่มีน้ำท่วมขังอย่างเช่นอดีต โดยเกษตรกรในพื้นที่เชื่อว่าเป็นผลจากระบบการจัดการน้ำและภัยธรรมชาติเอลนีโญ ทำให้ไทยประสบปัญหาภัยแล้ง เกษตรกรบางส่วนจึงหันไปปลูกผักในฤดูแล้ง สลับกับทำนาปลูกข้าวในฤดูฝน

แต่มาในปีนี้วิกฤติภัยแล้งคุกคาม รัฐบาลรณรงค์ให้เกษตรกรปลูกผักใช้น้ำน้อยทดแทนการทำนาปรัง เพราะวิตกว่าน้ำจะไม่พอต่อการอุปโภคบริโภค เกษตรกรบางส่วนให้ความร่วมมือ หันไปปลูกผักอายุสั้นใช้น้ำน้อยมาระยะหนึ่ง แต่จากปัญหาวิกฤติภัยแล้งที่ยังมีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้น เกษตรกรจึงกังวลว่า สวนผักที่เพาะปลูกอาจต้องประสบปัญหาน้ำเค็มรุกพื้นที่ในอีกไม่นานนับจากนี้

“หันมาปลูกผักใช้น้ำน้อยแทนการปลูกข้าวมาระยะเวลาหนึ่ง เพราะผักใช้เวลาเพียง 31-45 วัน ก็สามารถจำหน่ายได้ โดยจะมีพ่อค้าเข้ามารับซื้อถึงพื้นที่ ต่างจากการทำนาที่ต้องใช้เวลานานกว่า 4 เดือน จึงจะสามารถเก็บเกี่ยวได้ และยังต้องใช้ต้นทุนที่สูง โดยส่วนตัวแล้วเห็นว่า การปลูกผักน่าจะคุ้มค่ากว่าการปลูกข้าว ที่สำคัญคือ ปริมาณการใช้น้ำแตกต่างกันมาก ปลูกข้าวต้องนำน้ำเข้าแปลงนาจนท่วมทั่วพื้นที่ ขณะที่แปลงผักเพียงมีน้ำรดหรือมีน้ำเลี้ยงท้องร่องก็พอแล้ว แต่ที่เป็นห่วงคือ ช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นไป จนถึงเดือนเมษายน น้ำทะเลจะรุกเข้ามาในแม่น้ำเจ้าพระยาจนถึงเมืองปทุมธานี ทำให้น้ำเค็มเข้ามาในพื้นที่การเกษตร เป็นเช่นนี้มา 2 ปีแล้ว เมื่อนำน้ำเค็มรดผักทำให้ผักตายหรือไม่ก็แคระแกร็นไม่โต” บังอร นุพงษ์ไทย เกษตรกรชาวสวนผักใน ต.บางเดื่อ อ.เมือง จ.ปทุมธานี บอกเล่าถึงปัญหาที่ประสบ

เกษตรกรหญิงรายนี้ให้ข้อมูลด้วยว่า ก่อนถึงเดือนกุมภาพันธ์จะพยายามเร่งเก็บผักที่ปลูกไว้ให้ได้ทั้งหมด เพราะคาดการณ์ว่า ปีนี้น้ำเค็มจะรุกเข้าพื้นที่อีก เพราะจากการติดตามข่าวสารมีการแจ้งเตือนว่า ปีนี้วิกฤติภัยแล้งจะรุนแรง อาจไม่มีน้ำจากเขื่อนเพียงพอที่จะปล่อยน้ำมาไล่ความเค็มจากปัญหาน้ำทะเลรุกแม่น้ำเจ้าพระยา

สอดคล้องกับ “หนู สวยงาม” เกษตรกรวัย 74 ปี ที่หันไปปลูกผักบุ้งแทนทำนาปลูกข้าว ก็แสดงความเห็นเช่นกันว่า ผักบุ้งจะไม่ทนกับน้ำเค็ม ซึ่งหากค่าความเค็มเพิ่มสูงขึ้นจากระดับปกติ แปลงผักบุ้งจะเกิดความเสียหาย คงต้องทำใจไว้ล่วงหน้า เพราะหากน้ำเค็มรุกพื้นที่แปลงผักเมื่อไหร่คงต้องยุติการปลูกผักไว้ชั่วคราว

“ถามว่ากังวลหรือไม่ ยอมรับว่ากังวล เพราะผักที่ปลูกไว้จะมีปัญหาหากน้ำเค็มรุกหนักผักจะไม่โต และหากค่าความเค็มสูงมากๆ เมื่อนำไปรดผักจะตาย ผมกังวลกลัวว่าหลังจากกลางเดือนกุมภาพันธ์ไปแล้วจะเกิดปัญหานี้ เราไม่รู้ว่าน้ำจะเค็มเมื่อไหร่ ต้องวัดดวง ดูได้อย่างเดียวคือถ้าผักตาย ผักไม่โต นั่นล่ะน้ำเค็มรุกแล้ว” เกษตรกรเจ้าของแปลงผักบุ้งวัย 74 ปี กล่าว

แต่นอกเหนือจากค่าความเค็มของน้ำที่สูงขึ้นเพราะปัญหาน้ำทะเลรุกแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญ ที่ชาว จ.ปทุมธานี นำไปใช้ในการทำเกษตรแล้ว ปัญหาอย่างหนึ่งที่ชาวสวนผักในพื้นที่ต้องการให้รัฐบาลยื่นมือเข้าช่วยเหลือ คือ ปัญหาราคาผักที่ตกต่ำ ซึ่งเป็นผลมาจากการกดราคาของพ่อค้าคนกลาง

“ทุกวันนี้ตลาดค้าผักสำคัญของชาว จ.ปทุมธานี คือตลาดไท และตลาดสี่มุมเมือง ซึ่งมีพ่อค้าเข้าไปรับซื้อผักจากคนปลูกถึงหน้าสวน ซึ่งราคาผักรับซื้อจะตกอยู่ประมาณ 2-3 บาทต่อกิโลกรัม แต่หากไปเดินดูในท้องตลาดจะพบว่าราคาผักที่พ่อค้ารับซื้อจากชาวสวนไปนั้น จะมีราคาตกกิโลกรัมละ 25-30 บาท” เกษตรกรชาวสวนผัก ให้ข้อมูล

จากการสอบถามเกษตรกรบางรายให้ข้อมูลว่า นอกจากการถูกกดราคาพืชผลทางการเกษตรจากกลุ่มพ่อค้าคนกลางแล้ว บางรายยังถูกโกง โดยพ่อค้าบางรายรับผักไปแล้วไม่ยอมจ่ายเงิน ซึ่งมีพฤติการณ์ที่คล้ายกันคือเข้าไปรับซื้อระบบเงินเชื่อ อ้างนำผักไปจำหน่ายก่อนแล้วจะนำเงินมาจ่ายค่าผักภายหลังจากจำหน่ายผักได้ เกษตรกรบางรายไว้ใจ เพราะซื้อขายกันบ่อยครั้ง แต่ในที่สุดก็ตกเป็นเหยื่อถูกหลอก เอาไปแล้วไม่นำเงินมาจ่ายตามที่ตกลงไว้ เกษตรกรบางรายจึงต้องนำผักไปจำหน่ายเองในตลาด ยิ่งเป็นการเพิ่มต้นทุน

ส่วนข้อกังวลในเรื่องน้ำเค็มรุกเข้าพื้นที่ปลูกผัก มีข้อมูลจากการประปานครหลวง ได้ตรวจค่าความเค็มของแม่น้ำเจ้าพระยาในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่า ค่าความเค็มของแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณสถานีสำแล อยู่ในพื้นที่ อ.เมือง จ.ปทุมธานี อยู่ที่ 0.16 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งค่าความเค็มดังกล่าวยังไม่กระทบต่อการนำไปใช้ทำการเกษตร เพราะพืชผักต่างๆ จะได้รับผลกระทบต่อการเจริญเติบโต หากค่าความเค็มของน้ำเกิน 2 กรัมต่อลิตร

อย่างไรก็ตาม จากการจัดเก็บสถิติของกรมชลประทานพบว่าในช่วงปี 2557-2558 ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ จากการวัดค่าความเค็มที่สถานีสำแล มีค่าความเค็มมากถึง 1 กรัมต่อลิตร ต่อเนื่องกันเป็นเวลานานกว่า 20 ชั่วโมงใน 1 วัน มีค่าความเค็มสูงสุดถึง 1.92 กรัมต่อลิตร บางช่วงเวลา และตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นไป ค่าความเค็มของน้ำเพิ่มสูงขึ้นเป็น 2 กรัมต่อลิตร ซึ่งเป็นเช่นนี้ครอบคลุมระยะทางตลอดลำแม่น้ำเจ้าพระยา 79-93 กิโลเมตร ตั้งแต่ท่าน้ำนนท์ จ.ปทุมธานี จนถึง อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา โดยค่าความเค็มที่ตัวเลขดังกล่าวกระทบต่อการเจริญเติบโตของพืชผักที่เกษตรกรเพาะปลูกไว้

ดังนั้นจากข้อมูลของปีที่แล้ว ทำให้เกษตรกร จ.ปทุมธานี ต่างวิตกว่า ปีนี้จะเกิดปัญหาซ้ำและอาจรุนแรงกว่าปีที่ผ่านมา

Leave a comment