ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160201/221639.html
เทศกาลโคนมแห่งชาติปี59จัดยิ่งใหญ่สืบสานอาชีพพระราชทาน….สู่นมแห่งชาติ
เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯที่พระราชทานอาชีพการเลี้ยงโคนมให้แก่ปวงชนชาวไทยและแสดงความก้าวหน้าของวิทยาการด้านการเลี้ยงโคนมและอุตสาหกรรมโคนมของประเทศระหว่างวันที่ 27 มกราคม – 2 กุมภาพันธ์ 2559ที่ผ่านมา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย(อ.ส.ค)ได้จัดงานเทศกาลโคนมแห่งชาติ ประจำปี 2559 ขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ณ บริเวณเชิงเขาตาแป้น อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี

ดร.ณรงค์ฤทธิ์ วงศ์สุวรรณ อำนวยการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) กล่าวถึงรายละเอียดการจัดงานว่า ในการจัดงานครั้งนี้อ.ส.ค.ได้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “สืบสานพระราชปณิธาน อุตสาหกรรมโคนมไทยยุคใหม่สู่นมแห่งชาติ” โดยมีกิจกรรมในงานที่สำคัญ คือ การจัดนิทรรศการของส่วนราชการ/หน่วยงานต่าง ๆ และการสัมมนาวิชาการเรื่องเครื่องจักรกลเกษตร และปัจจัยขับเคลื่อนความสำเร็จงาน TMR สู่ฟาร์มโคนมยุคใหม่ การนำเสนอแนวความคิดของนักศึกษาในหัวข้อ “ความยั่งยืนของอาชีพ การเลี้ยงโคนมในมุมมอง 3 มิติคืออาชีพ ชุมชน สิ่งแวดล้อม เพื่อชิงถ้วยรางวัลพระราชทานจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี การประกวดโคนม มีการประกวดโคนมโดยจะมีการแข่งขันชิงถ้วยพระราชทาน ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ สำหรับโคนมชนะเลิศการประกวดโคนมประเภท โคนมมาก ท้องแรก อายุไม่เกิน 28 เดือน
โดยในวันที่ 27 มกราคม 2559 ชาวโคนมยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี เสด็จเป็นองค์ประธานเปิดงานพร้อมทั้งจะเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรนิทรรศการต่างๆ ภายในบริเวณงานอีกด้วย
ดร.ณรงค์ฤทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เป็นที่ทราบดีว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ของเรานั้นทรงพระปรีชาในหลายด้าน ด้านกิจการโคนมก็เป็นอีกแขนงหนึ่งที่ในหลวงของเรา ทรงให้ความสำคัญและความสนใจเป็นพิเศษ โดยครั้งที่พระองค์เสด็จประพาสทวีปยุโรปในปีพุทธศักราช 2503 ทรงสนพระทัยในกิจการ ฟาร์มโคนมของชาวเดนมาร์คเป็นอย่างมาก ด้วยทรงเห็นว่าอาชีพการเลี้ยงโคนมน่าจะเกิดประโยชน์ต่อเกษตรกรและประเทศไทย
ดังนั้น หลังจากเสด็จฯ นิวัติประเทศไทย รัฐบาลเดนมาร์คจึงได้ถวายโครงการส่งเสริม การเลี้ยงโคนมเป็นของขวัญแด่ล้นเกล้าทั้งสองพระองค์ เพื่อให้ดำเนินโครงการส่งเสริมการเลี้ยงโคนม ในประเทศไทยบรรลุตามเจตนารมณ์ที่ตั้งไว้โดยได้ดำเนินการจัดตั้ง“ฟาร์มโคนม”และ“ศูนย์ฝึกอบรมการเลี้ยงโคนมไทย-เดนมาร์ค” ขึ้นที่อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี และพระองค์ท่านพร้อมด้วย พระเจ้าเฟรเดอริคที่ 9 แห่งประเทศเดนมาร์ค ได้เสด็จเปิดฟาร์มโคนม เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2505 จากนั้นมาคณะรัฐมนตรีได้กำหนดให้วันที่ 17 มกราคม เป็นวันโคนมแห่งชาติจึงถือเป็นวันสำคัญยิ่ง ต่ออาชีพการเลี้ยงโคนมในประเทศไทย และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ก็จะมีการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองขึ้นเป็นประจำทุกปีอย่างยิ่งใหญ่ ดังนั้น จึงขอเชิญทุกท่านเยี่ยมชมงานเทศกาลโคนมแห่งชาติประจำปี 2559
ดร.ณรงค์ฤทธิ์ กล่าวต่อด้วยว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมนมไทยได้ก้าวหน้าไปมาก ในส่วนของ อ.ส.ค.ได้มีนโยบายยกระดับความสามารถของบุคลากรเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งพัฒนาศักยภาพบุคลากรทุกระดับตั้งแต่ระดับผู้บริหารและพนักงานให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ (Brand) และการสื่อสารแบรนด์ให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพื่อให้สามารถสร้างแบรนด์นมไทย-เดนมาร์คให้เป็นที่ยอมรับและครองใจผู้บริโภคอย่างยั่งยืน
ล่าสุด อ.ส.ค.ได้ระดมทีมจัดทำแผนการตลาดและการขายปี 59 มุ่งขยายตลาดและเพิ่มยอดขายนมไทย-เดนมาร์คสูงขึ้นทั้งภายในและต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดใหม่อย่างประเทศพม่าซึ่งกำลังไปได้สวยและได้รับการตอบรับดี พร้อมวางแผนขยายตลาดในเวียดนาม และมาเลเซีย โดยตั้งเป้ายอดขายรวมอยู่ที่ 8,482 ล้านบาท ขณะเดียวกันยังได้วางแผนยุทธศาสตร์พัฒนาแบรนด์ ปี 2560-2564 เพื่อผลักดันให้แบรนด์นมไทย-เดนมาร์คเป็นแบรนด์นมแห่งชาติให้ได้ภายใน 6 ปีข้างหน้าอีกด้วย
“ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ยอดขายกลุ่มสินค้านมของ อ.ส.ค.เติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปี2558 นี้ ยอดขายก็เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ 7,900 ล้านบาท โดยอัตราการเติบโตของตลาดในประเทศอยู่ที่ 10 % ส่วนยอดขายในต่างประเทศโตขึ้น ประมาณ 20 % ซึ่งมีบางประเทศที่โตขึ้นเกือบ 30 % มีตลาดส่งออกหลัก คือ ประเทศกัมพูชา และ สปป.ลาว อย่างไรก็ตาม การที่ อ.ส.ค.ได้เร่งพัฒนาบุคลากรและระดมทีมตลาดและฝ่ายขายร่วมพัฒนากลยุทธ์การสร้างแบรนด์ คาดว่าจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันให้กับ อ.ส.ค. สามารถชิงส่วนแบ่งและครองตลาดนมพร้อมดื่มในประเทศได้เพิ่มมากขึ้น พร้อมก้าวสู่การเป็นผู้นำตลาดนมพร้อมดื่มของประเทศในอนาคตอันใกล้นี้” ดร.ณรงค์ฤทธิ์ กล่าว
