ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน
http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05121151058&srcday=2015-10-15&search=no
| วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 28 ฉบับที่ 609 |
บัญชีชาวบ้าน
วิโรจน์ เฉลิมรัตนา virojch@yahoo.com
เมื่อถูกตรวจสอบภาษี (ตอนที่ 2)
อย่างที่กล่าวไว้ตอนที่แล้วว่า หากถูกตรวจสอบภาษี คำถามแรกที่ต้องถามตัวเองคือ ถูกตรวจสอบภาษีเงินได้ หรือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือเป็นการตรวจสภาพกิจการโดยทั่วไป
หากเป็นการตรวจสภาพกิจการโดยทั่วไป ส่วนใหญ่ประเด็นและข้อมูลจะเกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจว่า กิจการทำอะไร ขายอะไร สินค้าคืออะไร ลูกค้าเป็นใครบ้าง ลักษณะการดำเนินธุรกิจขายในประเทศหรือส่งออกไปยังต่างประเทศ รูปแบบการทำรายการเป็นอย่างไร การรับชำระเงินจากลูกค้าทำในรูปแบบไหน เป็นเงินสด รับเช็ค หรือเงินโอน การสั่งซื้อสินค้าซื้อจากไหน ใครเป็นซัพพลายเออร์หลัก การชำระเงินค่าสินค้ากิจการใช้วิธีการอย่างไร กิจการมีพนักงานกี่คน ระบบการจ่ายเงินเดือนทำผ่านธนาคาร หรือจ่ายแก่พนักงานอย่างไร กิจการมีคลังสินค้าหรือไม่ กระบวนการและขั้นตอนการผลิตเป็นอย่างไร
เมื่อตอบคำถามเหล่านี้แล้ว กรมสรรพากรจึงจะขยับขยายประเด็นไปสู่ประเด็นภาษีเงินได้ หรือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม สุดแล้วแต่รูปแบบธุรกิจที่กิจการเป็นอยู่ ในลักษณะที่กรมสรรพากรจะวิเคราะห์ความเสี่ยงของกิจการว่า ด้วยรูปแบบดังกล่าว มีความเสี่ยงในด้านการเสียภาษีอย่างไร
เอาตั้งแต่กิจการขายอะไร ลูกค้าเป็นใคร หากสินค้าที่กิจการขายนั้น เป็นสินค้าที่มักซื้อขายกันผ่านตลาดที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ทำไม่ค่อยถูกต้อง กิจการก็จะถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษเป็นเบื้องต้นอยู่แล้ว ถามว่ากรมสรรพากรรู้หรือไม่ว่า กิจการประเภทใดที่มีโอกาสซื้อขายไม่ผ่านระบบ และมักเป็นกิจการที่หลบเลี่ยงภาษี คำตอบคือ อย่าว่าแต่กรมสรรพากรเลยครับ แม้แต่ชาวบ้านร้านช่องทั่วๆ ไปก็พอทราบ
ไม่ต้องสงสัยว่า หากเราประกอบธุรกิจที่ในวงการนั้นทำบัญชีหรือเสียภาษีไม่ค่อยถูกต้องกัน จุดเริ่มต้นของกิจการก็มีความเสี่ยงที่จะถูกกรมสรรพากรเพ่งเล็งอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้น ใครก็ตามที่คิดจะประกอบธุรกิจเหล่านั้น ก็คงต้องถามตัวเองตั้งแต่วันแรกที่จะเริ่มประกอบธุรกิจว่า เรามีจุดยืนที่จะอยู่ตรงไหน จะเป็นผู้ประกอบการที่เหมือนคนอื่นๆ ที่ต้องคอยหลบเลี่ยง เปิดบิล ไม่เปิดบิล อยู่ตลอดเวลาในชีวิตประจำวันหรือไม่ หรือจะเลือกเป็นผู้ประกอบการที่แตกต่างจากรายอื่นๆ ในอุตสาหกรรรมประเภทเดียวกัน
การที่คนอื่นๆ ในแวดวงทั้งคู่แข่ง คู่ค้า เขาไม่ยอมอยู่ในระบบกัน แต่เราจะอยู่โดยถูกต้องนั้น เป็นเรื่องหนักหนาสาหัสที่ต้องทำใจกันพอสมควร บางคนบอกใครๆ เขาก็ทำกัน ถ้าเราไม่ทำก็อยู่ไม่ได้ (จริงหรือไม่ ไม่ทราบ หรือเป็นเพียงข้ออ้าง) หรือถ้าเรายอมเป็นคนส่วนน้อยที่ทำถูกต้อง ใครๆ เขากำไรกันโครมๆ แต่เราต้องกระเบียดกระเสียร เราจะทนอยู่ได้หรือไม่
อันที่จริงชีวิตเป็นเรื่องของทางเลือก หากเราคิดจะเลือกอยู่อย่างถูกต้อง เราคงต้องวางท่าทีให้ชัดเจนตั้งแต่วันแรกที่ตัดสินใจแล้วว่า เรายอมเสียเปรียบ เรายอมทนเห็นคนเขาร่ำรวยกันอย่างรวดเร็วในเส้นทางที่เราก็มองเห็น แต่เราไม่เลือกเดินอย่างเขา เราอาจจะมองเขาตาปริบๆ วันนี้ แต่ในระยะยาว เรานอนหลับสบายทุกคืน ไม่ต้องมาห่วงกังวล และหากถูกตรวจสอบ เราก็สามารถตอบคำถามได้อย่างเต็มภาคภูมิกว่าการหลบเลี่ยง ทั้งนี้ แล้วแต่ว่าเราอยากเลือกเดินทางไหน เท่านั้น ไม่มีใครมาสั่งเราได้
ดังนั้น การประกอบธุรกิจอะไร และเลือกเดินอย่างถูกต้องหรือหลบเลี่ยง เป็นสิ่งที่ต้องคิดก่อนถูกตรวจสอบภาษี เป็นเรื่องก่อนถูกตรวจสอบ ไม่ใช่ถูกตรวจสอบแล้วค่อยมาคิด นอกจากเมื่อถูกตรวจสอบแล้วพบว่า มีความยุ่งยากและหวาดเสียวเกินไป บางกิจการอาจจะเริ่มมองเห็นและต้องการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินการก็ต้องถือเป็นเรื่องที่ต้องบอกว่า ไม่มีคำว่าสายเกินไป
กรณีที่กรมสรรพากรขยายประเด็นมาตรวจสอบเรื่อง “ภาษีเงินได้” นั้น ต้องทำความเข้าใจว่าเกี่ยวข้องกับตัวเลขในงบกำไรขาดทุน เกือบทั้งหมด ตั้งแต่ ยอดรายได้ บันทึกครบถ้วนหรือไม่ ต้นทุนขาย คำนวณด้วยวิธีการบัญชีที่ยอมรับตามมาตรฐานการบัญชี และเลือกใช้วิธีเดียวกันโดยสม่ำเสมอ หรือหากมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการบัญชีในการคำนวณต้นทุนสินค้าแล้ว มีเหตุผลและหลักฐานรองรับว่า สมเหตุสมผล หรือไม่
ตัวเลขค่าใช้จ่ายของกิจการที่บันทึกไว้นั้น เป็นค่าใช้จ่ายที่เป็นไปตามหลักการบัญชี และหลักภาษีอากรหรือไม่ เป็นรายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจของกิจการ เกี่ยวข้องโดยตรงกับกิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไม่เป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัวที่นำมาบันทึกบัญชี ไม่เป็นรายจ่ายต้องห้ามตามกฎหมายภาษีอากร ไม่มีการกำหนดค่าใช้จ่ายขึ้นเองโดยไม่มีมูลฐานรองรับอย่างสมเหตุสมผล ไม่มีการกำหนดค่าใช้จ่ายโดยอิงจากจำนวนเงินสูงหรือต่ำของกำไรของกิจการ เป็นต้น
ประเด็นการถูกตรวจสอบภาษีเงินได้นั้น กิจการต้องเข้าใจความแตกต่างระหว่างตัวเลขทางบัญชีกับหลักเกณฑ์ทางภาษีไว้ด้วย เนื่องจากในทางปฏิบัติ งบการเงินของกิจการรายงานตัวเลขตามมาตรฐานการบัญชี ก็จะได้ตัวเลขกำไรขาดทุนออกมาตัวหนึ่ง ซึ่งถือเป็นตัวเลขอย่างเป็นทางการของกิจการ
อย่างไรก็ตาม ในการเสียภาษีเงินได้นั้น กฎหมายภาษีอากรจะระบุเงื่อนไขเพิ่มเติมว่า พื้นฐานโดยทั่วไปของตัวเลขในงบการเงินให้เป็นไปตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป แต่จะมีเงื่อนไขปลีกย่อยว่า แต่ในทางภาษีอากร ค่าใช้จ่ายอะไรบ้างที่กิจการต้องปรับตัวเลขจากทางบัญชีให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ทางภาษีอากร ซึ่งไม่ได้หมายความว่า กิจการต้องทำรายการปรับปรุงขึ้นมาเพื่อปรับงบการเงิน แต่เป็นการปรับตัวเลขในกระดาษคำนวณภาษีเงินได้ โดยเริ่มต้นจากตัวเลขกำไรทางบัญชี (ที่ยกมาจากงบกำไรขาดทุน) แล้วปรับปรุงด้วยหลักเกณฑ์ข้อห้ามทางภาษีอากร
ตัวอย่างของรายการปรับปรุงทางภาษีอากร เช่น
– ค่าเสื่อมราคาของรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ในทางบัญชีหักค่าเสื่อมได้ตามระยะเวลาที่ใช้ประโยชน์ โดยคำนวณจากราคาทุนของสินทรัพย์ แต่ทางภาษีให้คำนวณค่าเสื่อมราคาจากมูลค่าสินทรัพย์ในส่วนที่ไม่เกิน 1 ล้านบาท ทำให้ในทางภาษีกิจการหักค่าเสื่อมราคาได้น้อยกว่า
– ค่ารับรองที่กิจการจ่ายออกไปและบันทึกรายการบัญชีไว้ มีเอกสารหลักฐานการจ่ายเงิน ทางภาษีมีกำหนดขั้นไว้ว่า หักได้ไม่เกิน ร้อยละ 0.3 ของรายได้รวม หรือ ทุนเรียกชำระแล้ว แล้วแต่ตัวใดจะสูงกว่า
– ค่าใช้จ่ายที่เป็นผลขาดทุนจากการตั้งสำรองต่างๆ เช่น ค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ ซึ่งในทางบัญชีจะถือว่ารับรู้เป็นขาดทุนในงบกำไรขาดทุนแล้วเมื่อคาดว่าจะเรียกเก็บเงินไม่ได้ และมีรายงานการประชุมกรรมการบริหารอนุมัติการตัดจำหน่ายเป็นหนี้สูญ แต่ในทางภาษีเงินได้จะรับรู้ผลขาดทุนดังกล่าวได้ต้องเกิดผลขาดทุนนั้นขึ้นจริงๆ แล้ว มีการฟ้องร้องให้ชำระเงินแล้ว แต่ไม่สามารถเรียกเก็บหนี้ได้ มีหลักฐานเป็นคำพิพากษา หรือ คำฟ้อง แล้วเท่านั้น จึงจะถือเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีได้ เป็นต้น
ประเด็นการถูกตรวจสอบทางภาษี ในประเด็นภาษีเงินได้ กิจการจะต้องมีนักบัญชีที่รู้และมีประสบการณ์ในเรื่องเหล่านี้ เพื่อที่จะรับมือกับการถูกตรวจสอบได้ แต่หากกล่าวให้ถูกต้องแล้ว กิจการควรจะมีการวางแผน เตรียมการ ในประเด็นที่อาจถูกตรวจสอบตั้งแต่แรก ยังไม่ต้องรอให้มีการเข้ามาตรวจสอบจึงค่อยมาเริ่มดำเนินการ การวางแผนตั้งแต่ต้นนั้น หมายความถึง การกำหนดรูปแบบการทำรายการต่างๆ เพื่อลดความเสี่ยงและหลีกเลี่ยงการเกิดประเด็นข้อโต้แย้ง หรือยากต่อการพิสูจน์ เมื่อมีการตรวจสอบภาษีในภายหลัง (จากที่เกิดรายการไปแล้ว)
ยกตัวอย่างง่ายๆ ว่า หากกิจการมีการรับชำระค่าสินค้าจำนวนเงินสูงๆ จากลูกค้าผ่านเงินสด ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผลในทางการค้า หรือหากกิจการอุตริไปยอมให้ลูกค้าชำระเงินสดผ่านกรรมการ ย่อมไม่เป็นที่น่าเชื่อถือ และยากจะอธิบายให้กรมสรรพากรเห็นคล้อยได้ว่า การทำธุรกรรมนั้นๆ เป็นไปตามปกติธุรกิจ และไม่มีอะไรซับซ้อนซ่อนเงื่อนอยู่เบื้องหลัง การทำให้รูปแบบการทำธุรกิจและรายการค้าเป็นไปอย่างสมเหตุสมผล และเป็นไปตามปกติธุรกิจ ย่อมเป็นจุดเริ่มต้นให้กรมสรรพากรประเมินว่า กิจการน่าจะดำเนินการอย่างถูกต้อง ไม่มีเจตนาหลบเลี่ยง ตั้งแต่ต้น ก็ย่อมช่วยลดประเด็นข้อโต้แย้งต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้