ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160323/224562.html
เมื่อ‘โชค’คือที่พึ่งของขนส่งสาธารณะ : ขยายปมร้อน โดยอรรถยุทธ บุตรศรีภูมิ
เมื่อ 24 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา เกิดเหตุขัดข้องขึ้นกับรถไฟฟ้าบีทีเอส ทำเอาปั่นป่วนไปทั่วกรุง เพราะปัจจุบันมีผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าถึง 7 แสนเที่ยวคนต่อวัน เมื่อเกิดเหตุย่อมส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง โดยครั้งนั้นเกิดเหตุกับระบบรางระหว่างสถานีสยามและสถานีชิดลม
ภาวะที่เห็นเฉพาะหน้าคือมีผู้โดยสารตกค้างเป็นจำนวนมาก แน่นชานชาลาสถานี เพราะวันนี้รถไฟฟ้ากลายเป็นเส้นเลือดหลักของคนกรุงที่จะเข้ามาทำงานใจกลางเมือง ที่สำคัญคือการแก้ไขใช้เวลากว่าหนึ่งวัน ทำให้วันนั้นทั้งวันปัญหาลามล้นออกจากสถานีรถไฟฟ้าสู่ท้องถนนจนการจราจรติดขัดไปทั่ว
แต่ก็ยังโชคดีที่ปัญหามีอยู่แค่นั้น ไม่กระทบต่อสวัสดิภาพของผู้ใช้บริการ
ถัดมาอีกไม่กี่วัน ก็เกิดเหตุกับระบบขนส่งมวลชนซ้ำสอง แต่คราวนี้เปลี่ยนไปเกิดกับเรือโดยสารที่คลองแสนแสบ กล่าวคือ เมื่อวันที่ 5 มีนาคม เรือโดยสารคลองแสนแสบเกิดติดไฟขึ้นมา จากหลักฐานที่เกิดขึ้นแม้จะเรียกไม่ได้เต็มปากว่าเป็นการระเบิด แต่หากใช้ภาษาปากของชาวบ้านก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะพูดเช่นนั้น
เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นปรากฏมีประกายไฟออกมา ที่เกิดขึ้นก็เนื่องมาจากเรือโดยสารนั้นใช้ระบบก๊าซแอลเอ็นจี และก๊าซได้รั่วออกมาจนเกิดประกายไฟ ซึ่งทำให้มีผู้บาดเจ็บไปหลายราย
เหตุการณ์ครั้งนั้นก็ยังโชคดีที่มีเพียงผู้บาดเจ็บ ไม่ได้มีผู้เสียชีวิต ทั้งๆ ที่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นสุ่มเสี่ยงเป็นอย่างยิ่ง เพราะทั้งเกิดประกายไฟและอยู่ในน้ำ
ต่อมาอีกไม่ถึงเดือน เมื่อวันที่ 21 มีนาคมที่ผ่านมา ก็เกิดเหตุขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เกิดกับ “แอร์พอร์ตลิงค์” โดยเกิดปัญหากับระบบจ่ายไฟทำให้รถไฟหยุดนิ่งอยู่ที่บริเวณสถานีหัวหมาก เมื่อไม่มีไฟระบบปรับอากาศก็ไม่ทำงาน ทำให้ผู้โดยสารที่ติดอยู่ในขบวนขาดอากาศ จนสุดท้ายต้องเปิดประตูฉุกเฉินและลงเดินมาตามรางรถไฟเพื่อช่วยเหลือตัวเอง
ที่สำคัญคือกว่ากระบวนการช่วยเหลือจะทำได้ เวลาก็ผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมงครึ่ง มีผู้โดยสารจำนวนหนึ่งเป็นลมจากสภาพขาดอากาศ
ยังโชคดี ที่ไม่มีใครเป็นอะไรไปมากกว่านั้น หรือไม่เกิดเหตุการณ์ที่รุนแรงไปกว่านี้
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับระบบขนส่งมวลชนทั้งสาม ภายในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน และทั้งหมดเราต้องขอบคุณคำว่า “โชคดี” ที่ไม่ทำให้ใครเป็นอะไรไปมากกว่าสิ่งที่เกิดขึ้น คำถามคือเราจะพึ่งพา “โชคดี” ไปได้นานขนาดไหน
สำหรับรถบีทีเอส จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีคำอธิบายที่กระจ่างเพียงว่า ปัญหาที่เกี่ยวกับระบบสับรางเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะความบกพร่องของมนุษย์ หรือของระบบ และจะเกิดโอกาสอีกหรือไม่
ขณะที่สิ่งที่เกิดกับเรือโดยสารนั้น ใครที่เคยใช้บริการย่อมเห็นว่าสภาพตัวเรือนั้นเป็นอย่างไร เก่าแค่ไหน และมีระบบความปลอดภัยที่ดีพอหรือไม่ แม้จะบอกว่ายกเลิกเรือที่ใช้ระบบก๊าซ แต่ปัญหาที่เราเห็นกับระบบเรือนั้น ยังมีอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นสภาพตัวเรือที่เก่า ระบบความปลอดภัย หรือการให้ผู้โดยสารลงไปในเรืออย่างไม่มีกำหนด จนหวั่นว่าจะเกินจำนวนที่เรือจะรับน้ำหนักได้หรือไม่
หรือสิ่งที่เกิดขึ้นกับแอร์พอร์ตลิงค์ ก็ชัดเจนโดยการยอมรับของผู้บริหารเองว่าขบวนรถที่ใช้ในตอนนี้เลยระยะเวลาซ่อมบำรุงใหญ่มาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ทำ มีแต่เพียงการซ่อมบำรุงบางส่วน กล่าวคือตามคู่มือการบำรุงรักษานั้นต้องซ่อมบำรุงใหญ่ หรือยกเครื่อง(overhaul) เมื่อรถวิ่งถึง 1.2 ล้านกิโลเมตร แต่ปัจจุบันรถวิ่งไปแล้วประมาณ 1.6-1.7 ล้านกิโลเมตรก็ยังไม่ได้ทำ
ผู้บริหารชี้แจงว่าเป็นเพราะติดปัญหา จึงได้แต่เพีียงการซ่อมบำรุงบางส่วน ขณะเดียวกันก็พยายามอธิบายว่าทดแทนกันได้
แต่หากแทนกันได้จริงคู่มือซ่อมบำรุงคงไม่ระบุเช่นนั้น
ที่สำคัญพวกเขาวางแผนกันว่าจะยกเครื่องใหญ่เมื่อรถวิ่งถึงระยะ 2.4 ล้านกิโลเมตร ซึ่งหมายถึงเกินกว่าระยะที่กำหนดไว้ถึงหนึ่งเท่าตัว ในฐานะผู้ใช้บริการก็คงต้องบอกว่าหากเป็นเช่นนี้ก็ตัวใครตัวมัน
เหล่านี้คือการบริหารและการจัดการการขนส่งมวลชนแบบไทย มิพักต้องพูดถึงรถเมล์ที่มีปัญหาชนิดรายวัน จึงไม่แปลกที่คนในเมืองหลวงจำนวนหนึ่งขวนขวายที่จะหารถส่วนตัวมาใช้ หรือเลือกจะเมินบริการขนส่งมวลชนแม้จะประหยัดเวลากว่าก็ตาม
เพราะ ไม่มีใครมั่นใจได้เลยว่า “โชคดี” ที่อาศัยกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั้นจะหมดลงเมื่อไหร่
