‘แผนกคดีทุจริตฯ’ศาลอาญามือปราบโกง‘กรรมติดจรวด’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160314/224081.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม 2559
‘แผนกคดีทุจริตฯ’ศาลอาญามือปราบโกง‘กรรมติดจรวด’

‘แผนกคดีทุจริตฯ’ศาลอาญามือปราบโกง‘กรรมติดจรวด’ : โดย เกศินี แตงเขียว สำนักข่าวเนชั่น

           หากกล่าวถึงคดีซึ่งเป็นที่สนใจของประชาชนเป็นอย่างมากในช่วงนี้ คงหนีไม่พ้น คดีที่ศาลพิพากษาให้จำคุก 13 ปี 4 เดือน นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรเล่าข่าวชื่อดัง จากการที่ยักยอกเงินค่าโฆษณาของ อสมท ซึ่งคดีดังกล่าวใช้เวลาในการพิจารณารวดเร็ว เพียงเวลา 1 ปี ก็สามารถมีคำพิพากษาออกมาได้ และคำพิพากษาดังกล่าวส่งผลทางสังคมในเวลาต่อมา ทำให้นายสรยุทธต้องยุติบทบาทในฐานะสื่อมวลชนที่เขาทำมาเกือบ 30 ปี

คดีดังกล่าวหลายคนอาจยังไม่ทราบว่า เป็นฝีมือของแผนกคดีหนึ่งในศาลอาญา นั่นก็คือ “แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐ” ในศาลอาญา หรือจะเรียกง่ายๆ ว่า “ศาลอาญาแผนกคดีทุจริตฯ” ก็ได้ และ “คดีสรยุทธ ไร่ส้ม” ไม่ใช่คดีแรก ดังนั้นเราจึงมาทำความรู้จัก “แผนกคดีทุจริตของศาลอาญา” กัน

“10 สิงหาคม 2558” เป็นฤกษ์งามยามดี ศาลอาญาที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีทั่วราชอาณาจักร ได้จัดตั้ง “แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบของเจ้าที่รัฐ” ด้วยเป้าประสงค์ที่ว่า การทุจริตเป็นการกระทำที่ส่งผลกระทบสังคมในวงกว้าง ส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเมืองและความมั่นคงของรัฐ ขณะที่การแสวงหาพยานหลักฐานทำได้ยาก จึงจัดตั้งแผนกคดีขึ้นมาเฉพาะ เพื่อบริหารจัดการคดีให้ได้ผลสัมฤทธิ์ต่อการมุ่งมั่นปราบปรามทุจริต

และตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2554 ที่ให้กระบวนพิจารณาคดีเจ้าหน้าที่รัฐกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ต้องเป็น “ระบบไต่สวน” เพื่อจะได้ดำเนินกระบวนพิจารณาแสวงหาข้อเท็จจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรม ความจำเป็นนี้ ทำให้ศาลต้องให้ความสำคัญกับวิธีพิจารณาด้วย จึงได้กำหนดกระบวนพิจารณาคดีเกี่ยวกับความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการของเจ้าหน้าที่รัฐในศาลอาญา เป็นระบบไต่สวน ที่ขั้นตอนจะคล้ายกับดำเนินคดีของ “แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา”

ซึ่งจุดเด่นระบบไต่สวน คือ การยึดถือสำนวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นหลัก และยังมีสาระสำคัญที่จะต้องให้โจทก์ยื่นคำฟ้องพร้อมสำนวน ป.ป.ช.ทั้งหมด เพื่อให้สิทธิแก่จำเลยที่จะมาตรวจสอบข้อกล่าวหาและพยานหลักฐานได้ ระบบไต่สวนจึงทำให้ทั้งอัยการโจทก์ จำเลย และศาล ต่างได้เห็นพยานหลักฐานทั้งหมดก่อนจะเริ่มสืบพยาน ทำให้เมื่อถึงเวลาไต่สวนพยานประเด็นมีความกระชับ ว่าประเด็นใดเกี่ยวข้องกับคดีหรือไม่ ทำให้การแสวงหาข้อเท็จจริงใช้เวลาไม่เนิ่นนาน

อนุรักษ์ สง่าอารีย์กูล รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาและอดีตเลขานุการแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา เปรียบเทียบระบบพิจารณาคดีให้ฟังว่า การจัดตั้งแผนกคดีทุจริตฯ ในศาลอาญา มีการจัดกระบวนการบริหารจัดการคดีให้มีความรวดเร็ว โดยมีบุคลากรเฉพาะที่มีความชำนาญด้านคดีลักษณะนี้ ซึ่งจะมีผู้พิพากษาตำแหน่งเทียบเท่ารองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น เป็นหัวหน้าแผนก 1 คน

“หากจะให้เปรียบเทียบ “ระบบไต่สวน” กับ “ระบบกล่าวหา” จริงๆ แล้วต้องดูว่าระบบมุ่งประโยชน์ทางใด ซึ่งระบบไต่สวนโดยเฉพาะข้อหาทุจริตนี้ มุ่งเน้นการคุ้มครองประโยชน์หรือความเสียหายของรัฐ จึงกำหนดให้ภาระการแสวงหาข้อเท็จจริงเป็นของศาลมากกว่าคดีอาญาทั่วไป เพราะมีสมมุติฐานเรื่องความสามารถของจำเลยที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐในการแก้ข้อกล่าวหาว่าจะมีบทบาทหรือศักยภาพในการเข้าถึงพยานหลักฐานเหนือกว่าเจ้าหน้าที่ที่เป็นฝ่ายตรวจสอบ ดังนั้นลำพังการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบอาจจะยังไม่พอ จึงให้ศาลเข้ามีบทบาทลักษณะเทคแอ็กชั่น ในการแสวงหาข้อเท็จจริงจากหลักฐานเพิ่มขึ้น คือเรียกถามพยานเพิ่มเติม มากกว่าแค่การนั่งรับฟังอย่างเดียว ทำให้ได้ชุดความจริง ใกล้เคียงความจริงที่เกิดขึ้นไปแล้ว 100% หรือใกล้เคียงมากที่สุด ซึ่งต่างจากคดีอาญาทั่วไปที่ใช้ระบบกล่าวหา ที่จำเลย คือประชาชนธรรมดา ส่วนเจ้าหน้าที่รัฐที่เป็นฝ่ายตรวจสอบจะมีศักยภาพสูงกว่า คือเป็นตำรวจ อัยการ ที่มีเครื่องมือเต็มที่ ดังนั้นระบบกล่าวหาจึงมุ่งคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน โดยให้ศาลเป็นผู้ตรวจสอบกระบวนการทำงานของตำรวจ อัยการ ในการนำพยานหลักฐานที่เอามากล่าวหาประชาชนตกเป็นจำเลยว่าเป็นจริงหรือไม่ ขั้นตอนการแสวงหาหลักฐานมานั้นถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมเต็มที่จากสถานะคู่ความที่ต่างกัน”

อนุรักษ์อธิบายถึงระบบไต่สวนที่ทำให้คดีเสร็จเร็ว เพราะมีการเสนอสำนวนตั้งแต่ต้น จำเลยสามารถตรวจสอบว่าส่วนใดเป็นคุณเป็นโทษ กระบวนการเสมือนให้มีเวลานำข้อสอบไปทำที่บ้าน แล้วหาหลักฐานมาหักล้าง ทำให้ร่วมกันแสวงหาข้อเท็จจริงทั้ง ศาล โจทก์ และจำเลยด้วยกัน

ขณะที่ผ่านมา 7 เดือน หลังการเปิดแผนก มีคดีข้อกล่าวหาเจ้าหน้าที่รัฐประพฤติมิชอบเข้าสู่กระบวนการพิจารณาถึง 60 คดี มีทั้งคดีที่ฟ้องอยู่ในคดีอาญาทั่วไปก่อนตั้งแผนก รวม 33 คดี ส่วนคดีฟ้องใหม่หลังการตั้งแผนกจำนวน 27 คดี

และหนึ่งในคดีสำคัญ ที่เข้าสู่การพิจารณาและพิพากษาของแผนก ที่มีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่สังคมรู้จักตกเป็นจำเลย ก็คือ “คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา” อดีตผู้ว่าการ สตง. ที่อัยการสูงสุดยื่นฟ้อง หลังจาก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดว่า ในปี 2546 คุณหญิงจารุวรรณ อดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ดำเนินการจัดรายชื่อเจ้าหน้าที่ สตง.สัมมนานอกสถานที่ รวมกับการจัดงานกฐิน จ.น่าน จนทำให้มีการเบิกจ่ายเงินจำนวน 294,440 บาท ไม่ชอบ คดีนี้ อัยการยื่นฟ้องต่อศาลอาญาเมื่อ 30 ตุลาคม 2557 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติิหน้าที่โดยมิชอบฯ ตามมาตรา 157 ซึ่งแผนกใช้เวลาพิจารณาคดีเพียง 1 ปี ก็พิพากษาคดีได้ โดยศาลตัดสินให้จำคุกคุณหญิงจารุวรรณเป็นเวลา 2 ปี แต่ได้ประกันตัวระหว่างอุทธรณ์คดี

จากนั้น…ยังมีการตัดสินคดีสะเทือนวงการสื่อสารมวลชน อย่าง “สรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้ดำเนินรายการเล่าข่าวชื่อดัง และบริษัทไร่ส้มฯ” โดยพฤติการณ์คดีคือ เมื่อปี 2548-2549 นายสรยุทธได้สนับสนุนอดีตพนักงานจัดทำคิวโฆษณาของบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ไม่ให้จัดทำใบคิวโฆษณาให้ถูกต้อง โดยมีการจ่ายเงินค่าตอบแทนถึง 6 แสนบาทด้วย และส่งผลให้ อสมท ขาดประโยชน์จากการเก็บค่าโฆษณาเกินเวลารวมเป็นจำนวน 138.79 ล้านบาท

คดีนี้อัยการเป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นางพิชชาภา เอี่ยมสะอาด อดีตพนักงานจัดทำคิวโฆษณา อสมท, บริษัทไร่ส้ม จำกัด, นายสรยุทธ กรรมการผู้จัดการบริษัท ไร่ส้ม จำกัด และ น.ส.มณฑา ธีระเดช เจ้าหน้าที่ บจก.ไร่ส้ม เป็นจำเลย 1-4 ต่อศาลอาญา เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2558 และหลังจากใช้เวลาไต่สวน 1 ปีเต็ม ศาลก็มีคำพิพากษาว่า นายสรยุทธกับพวกกระทำผิด ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 ให้จำคุกนายสรยุทธ 13 ปี 4 เดือน และปรับบริษัทไร่ส้ม เป็นเงิน 8 หมื่นบาท ส่วนนางพิชชาภา จำคุก 20 ปี, น.ส.มณฑา จำคุก 13 ปี 4 เดือน ซึ่งทั้งหมดได้ประกันตัวรอสู้คดีชั้นอุทธรณ์

ส่วนคดีสำคัญอื่น ที่ยังอยู่ระหว่างพิจารณาของแผนกนี้ ก็คือ…คดี “จุฑามาศ ศิริวรรณ อดีตผู้ว่าการ ททท.” กับลูกสาว ที่อัยการยื่นฟ้องว่า กระทำผิดตาม พ.รบ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การของหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 และพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่ต่ำกว่า 20 ปี กรณีเรียกรับเงินจากนักธุรกิจชาวสหรัฐอเมริกาเพื่อให้ได้สิทธิในการจัดงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ ปี 2002-2007 มูลค่ากว่า 60 ล้านบาท

คดีนี้่อัยการยื่นฟ้องต่อศาลอาญา วันที่ 25 สิงหาคม 2558 ขณะนี้ี้อยู่ในช่วง “ตรวจพยานหลักฐาน” ในคดี และศาลจะเริ่มไต่สวนพยานอัยการโจทก์วันที่ 24 พฤษภาคมนี้ และกำหนดสิ้นสุดการไต่สวนพยานจำเลยนัดสุดท้ายในวันที่ 10 สิงหาคม 2559 จะเห็นได้ว่า กระบวนพิจารณาคดีนี้น่าจะใช้เวลาไม่เกิน 1 ปีเช่นกัน

ทั้งหมด…เป็นเพียงตัวอย่างคดี ที่ชี้ให้เห็นว่า เมื่อมีการกล่าวหาเจ้าหน้าที่รัฐทุจริต ประพฤติมิชอบ กระบวนการพิจารณาในชั้นศาลก็ให้ความสำคัญต่อการแสวงหาความจริงโดยรวดเร็ว เพื่อพิสูจน์ว่า จำเลยนั้นบริสุทธิ์ หรือมีความผิดตามข้อกล่าวหา

ขณะที่ในอนาคตอันใกล้ภายในปี 2559 สังคมไทยอาจจะได้เห็นการจัดตั้ง “ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ” ที่เป็นการยกฐานะ “แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐในศาลอาญา” แยกมาเป็นศาลเฉพาะเสมือน “ศาลชำนัญพิเศษ” เพื่อบริหารจัดการคดีให้สัมฤทธิผล ต่อการบังคับบทลงโทษผู้ทำผิดแบบ “กรรมติดจรวด” ด้วย
ผลงานแผนกคดีทุจริตฯในศาลอาญา

-จำคุก 2 ปี คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา อดีตผู้ว่าการ สตง. ใช้งบไม่ชอบจัดงานทอดกฐิน จ.น่าน ใช้เวลาพิจารณาคดี 1 ปี

-จำคุก 13 ปี 4 เดือน “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” ยักยอกเงินค่าโฆษณา อสมท ใช้เวลาพิจารณาคดี 1 ปี

-อยู่ระหว่างพิจารณาคดี จุฑามาศ ศิริวรรณ อดีตผู้ว่าการ ททท. เรียกรับเงินจัดงานเทศกาลภาพยนตร์ฯ คาดว่าใช้เวลา 1 ปี พิพากษาคดีได้

Leave a comment