สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี ด้วยการปลูกข้าวอินทรีย์ที่ตำบลท้อแท้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20151115/216874.html

การศึกษา-สาธารณสุข-สิ่งแวดล้อม : ข่าวทั่วไป
วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน 2558
สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี ด้วยการปลูกข้าวอินทรีย์ที่ตำบลท้อแท้

รักชีวิต รักษ์สิ่งแวดล้อม : สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี ด้วยการปลูกข้าวอินทรีย์ที่ตำบลท้อแท้ : โดย…สร้อยแก้ว คำมาลา

                      ตำบลท้อแท้ ชื่อนี้หลายคนได้ยินแล้ว อาจอมยิ้มพลางอดสงสัยไม่ได้ว่า นี่คือชื่อตำบลจริงๆ หรือ?
                      นี่คือชื่อตำบลจริงๆ อยู่ในเขต อ.วัดโบสถ์ จ.พิษณุโลก ซึ่งเป็นตำบลหนึ่งที่มีการสร้างเครือข่ายกลุ่มเกษตรกรปลูกข้าวปลอดภัย ที่สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนให้การหนุนเสริมมาตั้งแต่ปี 2556
                      ต.ท้อแท้ สมาชิกส่วนใหญ่ของชุมชนดำรงชีพด้วยวิถีเกษตรกรรมและเช่นเดียวกันกับประชากรไทยส่วนใหญ่ของประเทศ ที่หลายสิบปีที่ผ่านมา วิถีการเกษตรของพวกเขาต้องพึ่งพาสารเคมีเป็นหลัก ไม่ว่าปุ๋ย ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า หรือการเร่งการเจริญเติบโตต่างๆ จนเป็นผลทำให้สุขภาพทั้งของพวกเขาและผู้บริโภคตกอยู่ภาวะอันตรายมากขึ้น
                      จนเมื่อสามปีที่แล้ว เวทย์ พลูหน่าย ประธานสภาองค์กรชุมชนตำบลท้อแท้ ได้เห็นถึงปัญหาเรื่องหนี้สินของเกษตรกรอันเนื่องมาจากต้นทุนการผลิตจากการซื้อสารเคมี ปุ๋ยเคมี มีจำนวนสูง จึงได้นำเรื่องมาปรึกษาหารือกับสมาชิกในสภาองค์กรชุมชน ประมาณเดือนธันวาคม 2556 และนับจากนั้นเครือข่ายเกษตรกรปลูกข้าวปลอดภัย จึงเกิดขึ้น โดยมีสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนให้การสนับสนุนเพื่อพัฒนาศักยภาพชุมชน เป็นจำนวนเงิน 2 แสนบาท
                      สภาองค์กรชุมชนตำบลท้อแท้ เริ่มขยายกลุ่มผู้ผลิตข้าวปลอดภัย โดยมีการพาสมาชิกชุมชนไปดูงานพื้นที่รูปธรรมของ จ.ลพบุรี เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการผลิตแบบไร้สารเคมี กระทั่งทำให้สมาชิกที่ไปเห็นเกิดแรงบันดาลใจ และกลับมาเป็นคนต้นแบบให้แก่ชุมชนทั้งหมด 8 คน
                      ผ่านไปเพียงหนึ่งปี คนต้นแบบเหล่านี้ได้เรียนรู้ทั้งความสำเร็จและล้มเหลว และนำมาถ่ายทอดให้สมาชิกชุมชนได้รับฟังซึ่งยังคงเห็นถึงความหวังในแนวทางการผลิตอาหารปลอดภัยนี้ว่า เป็นแนวทางที่ดีและสามารถประสบความสำเร็จได้ โดยกลุ่มผู้ผลิตที่เรียกว่า คนต้นแบบนี้ยังคงดำเนินการผลิตแบบไร้สารเคมีและขยายพื้นที่เพาะปลูกแบบไร้สารเพิ่มเรื่อยๆ
                      พร้อมกับขยายแนวคิดไปยังเพื่อนบ้านคนอื่นๆ จนมีสมาชิกครบทั้ง 8 หมู่บ้าน และเข้าร่วมกลุ่มผลิตอาหารปลอดภัยอีกประมาณ 80 คน โดยมีแปลงนา แปลงผัก สวนผลไม้ปลอดภัยเป็นต้นแบบในชุมชนเพื่อเรียนรู้ร่วมกัน อันมีจุดมุ่งหมายสำคัญคือเพื่อให้ประชาชนใน ต.ท้อแท้ ได้บริโภคข้าว ผลไม้ ปลอดภัย เกษตรกรมีสารเคมีตกค้างในร่างกายลดลง
                      ความเติบโตของกลุ่มได้พัฒนาไปอีกขั้น เมื่อทางกลุ่มข้าวปลอดภัยได้ประกาศใช้ “ธรรมนูญชุมชนระบบการผลิตข้าวปลอดภัย” ขึ้นมา ซึ่งกลายเป็นข้อตกลงของกลุ่ม เมื่อเดือนกรกฎาคม 2557 เพื่อขอความร่วมมือในการจัดการสิ่งแวดล้อมให้มีความปลอดภัย โดยธรรมนูญฉบับนี้จะไม่มีการบังคับใช้กับสมาชิกทุกคนในตำบล หากแต่จะใช้กับเกษตรกรที่เข้าร่วมเพื่อขยายความร่วมมือไปอย่างละมุนละม่อม
                      นอกจากนี้ 20 กรกฎาคม 2558 สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนได้จับมือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อย่าง องค์การบริหารส่วนตำบลท้อแท้อีกครั้ง เพื่อพัฒนาศักยภาพของกลุ่มเกษตรกรข้าวปลอดภัย ภายใต้โครงการเศรษฐกิจและทุนชุมชนเข้มแข็ง โดยได้จัดเวทีสร้างแผนปฏิบัติการ “ข้าวปลอดภัย” ที่ห้องประชุมชั้นสองของอบต.ท้อแท้ เพื่อสรุปบทเรียนของการปลูกข้าวไร้สารในปีที่ผ่านมาและร่วมกันวางแผนในการปลูกข้าวปลอดภัยในปีต่อไป
                      แน่นอนว่าเกษตรกรที่เริ่มต้นปลูกข้าวปลอดภัยไม่ได้ประสบความสำเร็จไปเสียทุกคน หนึ่งในแปดคนของคนต้นแบบที่หันมาทำการเกษตรไร้สารเคมี อย่าง “หมอตู่” หรือ ศรายุทธ พุนพิน นักวิชาการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลท้อแท้ ซึ่งมีความสนใจในอาหารปลอดภัยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ได้กลับมาทำนาไร้สารเคมีของตนเองประมาณ 3 ไร่ ปรากฏว่าเขาไม่ได้ข้าวเลย
                      หมอตู่เล่าว่า เขาได้ทดลองทำนาโยน ปรากฏว่า ต้นกล้าถูกทั้งนกเป็ดน้ำ ทั้งมด กินหมด นับตั้งแต่เพาะกล้าแล้ว (เล่าไปหัวเราะไป) ต่อมาเมื่อข้าวงอกงามดี ก็ปรากฏว่ามีหญ้าขึ้นเต็มไปหมด ความที่เขาไม่ใช้ยาฆ่าหญ้าเขาก็ปล่อยให้หญ้าขึ้นเต็มไปหมด และเมื่อข้าวเท่าที่มีออกรวงมาหนูก็มากินอีก สรุปว่าเขาไม่ได้ข้าวเลย แต่เมื่อให้พี่สาวแฟนมาทำในปีต่อมา พี่สาวแฟนสามารถผลิตข้าวได้อย่างงดงามทั้งที่ทำนาปลอดภัยเหมือนกัน
                      “การทำนาไร้สารเคมี ไม่ได้ง่ายสำหรับทุกคน แต่คนที่ทำนาเป็นอยู่แล้ว อย่างไรเขาก็จะทำได้ แต่ผมไม่เคยทำนามาก่อนเลย ก็เลยไม่ประสบความสำเร็จ”
                      ดังนั้น ผลของการทำนาไร้สารที่ล้มเหลว ไม่ได้แปลว่า การทำนาปลอดภัยจะเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะเมื่อไปฟังคำตอบของคนต้นแบบคนอื่นๆ อาทิ ลุงพวง ดาวเรือง, นุจรินทร์ ศรีชมพู, ซิ้ม เพชรดี ปรากฏว่าทุกคนได้ผลผลิตที่ดี ต้นทุนลดลง ทั้งยังมีวิธีการแก้ไขปัญหาต่างๆ กันไป เช่น การจัดการหนู ใช้กับดักหนู การไล่นก ใช้หุ่นไล่กา มัดถุงพลาสติกติดไม้ปักกลางทุ่งนา หมั่นไปดูทุ่งข้าวบ่อยๆ หรือหากมีต้นหญ้าขึ้นก็ถอน
                      “สิ่งที่ทำ นอกจากจะช่วยให้ต้นทุนการเกษตรลดลง ยังทำให้สุขภาพผมดีขึ้น อาการชาที่เท้าของผมซึ่งเคยเป็นก่อนหน้านี้หายไป ผมมีความเชื่อมั่นในแนวทางนี้ แต่ผมไม่รู้ว่าทางภาครัฐจะช่วยสนับสนุนแค่ไหน เพราะปัญหาสำคัญคือตลาด”
                      ขณะที่นางนุจรินทร์ ศรีชมพู บอกว่า จำนวนข้าวไร้สารที่เธอได้เมื่อเทียบกับการผลิตข้าวใช้สารเคมี เมื่อหักกลบลบหนี้แล้วถือว่าได้ผลลัพธ์ค่าตอบแทนพอๆ กัน เพราะการทำนาไร้สารเคมีไม่ต้องใช้เงิน แต่ว่าสิ่งที่ได้เพิ่มมา คือ สุขภาพที่ดี อาจจะเหนื่อยมากขึ้นหน่อย อย่างต้นหญ้าต้องถอนเอง
                      แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนเห็นตรงกันคือ เมื่อเทียบกับผลผลิตที่ได้จากการทำนาใช้สารเคมี การทำนาอย่างหลังจะได้ผลผลิตมากกว่า รวมถึงเมล็ดข้าวปลอดสารนั้น มีขนาดเมล็ดเล็กกว่า ดังนั้น หากต้องขายข้าวในราคาเดียวกันแล้ว ข้าวไร้สารจะได้รับค่าตอบแทนที่น้อยกว่า เพราะถูกมองว่าเป็นข้าวคุณภาพต่ำ (เมล็ดเล็ก) ทุกคนจึงเห็นตรงกันว่า ต้องมีตลาดมารองรับเพื่อให้พวกเขาได้ผลิตข้าวปลอดภัยที่คุ้มค่ากับการผลิต
                      ดังนั้นก้าวต่อไป แนวทางการหาตลาดรองรับ จึงจำเป็น และจะมีการเปิดเวทีปรึกษาหารืออีกครั้ง โดยองค์การบริหารส่วนตำบลจะมาช่วยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงอีกทางหนึ่ง แต่เรื่องนี้ก็มีทางออกบ้างแล้ว นั่นคือ เจ้าหน้าที่ทหารจากอำเภอวัดโบสถ์ที่มาร่วมด้วย ยินดีจะช่วยหาตลาดให้ชาวบ้านอีกทางหนึ่ง รวมถึงทาง รพ.สต.ตำบลท้อแท้ ก็พร้อมสนับสนุน เพื่อจะได้สร้างแผน “ทำนาปลอดภัย” ให้แก่ชุมชนได้อย่างครอบคลุมและผู้ผลิตสามารถดำรงอยู่ได้อย่างแท้จริง
——————–
(รักชีวิต รักษ์สิ่งแวดล้อม : สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี ด้วยการปลูกข้าวอินทรีย์ที่ตำบลท้อแท้ : โดย…สร้อยแก้ว คำมาลา)

Leave a comment