ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20151121/217264.html
การศึกษา-สาธารณสุข-สิ่งแวดล้อม : ข่าวทั่วไป
วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน 2558
‘สิทธิสุดท้าย’ แห่งชีวิต
เปิดแนวคิดสิทธิผู้ป่วยเลือกปฏิเสธการรักษาในวาระสุดท้ายของชีวิต ตามมาตรา 12 ของ พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 ซึ่งผ่านมา 8 ปี แล้ว พบว่า มีคนไทยใช้สิทธิไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากคนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ถึงสิทธิดังกล่าว
ขณะเดียวกัน ในวงการแพทย์ยังมีข้อถกเถียง แพทย์จำนวนหนึ่งมองว่า กฎหมายฉบับนี้ ขัดจรรยาบรรณ และยังผลักภาระความรับผิดชอบมาให้แพทย์ โดยเฉพาะหากเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด เมื่อผู้ป่วยยังไม่ถึงวาระสุดท้าย
ส่วนฝ่ายสนับสนุนเชื่อว่า การแสดงเจตนารมณ์ปฏิเสธการรักษาของผู้ป่วย จะช่วยให้แพทย์ปฏิบัติได้ถูกต้อง มีหลักการ และไม่ทำให้ผู้ป่วยตกอยู่ในภาวะ “ฝืนก็ไม่ได้ ตายก็ไม่ลง” สิทธิเลือกอยู่ สิทธิเลือกไป ใช้ได้แค่ไหน ดังนั้น รายการ คม ชัด ลึก ซึ่งออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์เนชั่นทีวี ดิจิทัลช่อง 22 เมื่อช่วงค่ำวันที่ 19 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา จึงได้จัดเสวนาในหัวข้อ สิทธิการตาย
คุณหญิงจํานงศรี หาญเจนลักษณ์ นักเขียนชื่อดังทั้งด้านธรรมะและหนังสือสำหรับเด็ก ซึ่งเป็นผู้ขับเคลื่อนให้เกิดระบบการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย กล่าวว่า ทำเพราะว่า ต้องการจะทำ และจากที่ได้คุยกับคุณหมอ คุณหมอก็บอกว่า มีกฎหมายตัวนี้อยู่แล้ว ดังนั้น เมื่อมีอยู่แล้วก็ทำเสียเลย
จริงๆ แล้วตัวเองคิดมานานแล้ว เพราะในประสบการณ์ชีวิต พบกับความตายของคนที่รู้จัก ที่คิดว่า ไม่ถูกต้อง ที่เขาจะต้องทรมานอย่างนั้น หรือจะกล่าวว่า ตายอย่างไร้ศักดิ์ศรี ก็คงไม่ผิด
ผู้ป่วยมีท่อคาคออยู่เป็นเดือน มือ-เท้าถูกมัดไว้กับเตียง เพราะถ้าปล่อยผู้ป่วยก็จะพยายามดึงออก ทุกครั้งที่เข้าไปเยี่ยม เขาก็มองหน้าเรา น้ำตาคลอ เหมือนจะขอร้อง น้ำตาไหล และจะมีการกระตุ้นความดันตลอด ทุกครั้งที่ความดันตก เพราะหากหยุดกระตุ้น หัวใจไม่บีบตัว น้ำในร่างกายจะไหลย้อนเข้าไปท่วมปอด ผู้ป่วยคนนี้ อายุ 99 ปี เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา และตัวเองอยู่ในเหตุการณ์
ดิฉันเองทราบดีว่า ตัวเองก็จะถึงวันนั้น แต่ต้องการตายอย่างเป็นธรรมชาติถ้าทำได้ จึงได้เขียนหนังสือแสดงเจตนาปฏิเสธการรักษาไว้เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2555 โดยเป็นการเขียนก่อนที่อายุจะครบ 73 ปี 1 วัน โดยที่ขณะนั้นสุขภาพร่างกายยังแข็งแรง เพียงแต่ขณะนั้นจะต้องเข้ารับการผ่าตัดถุงน้ำดี ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นเรื่องเล็ก แต่ก็ฉวยโอกาสนั้นทำขึ้น เพราะถือว่า สิทธิการตาย เป็นสิทธิของแต่ละบุคคล
สำหรับหนังสือแสดงเจตนารมณ์ปฏิเสธการรักษาที่ทำขึ้นนั้น เป็นการทำในขณะที่ร่างกายแข็งแรง สติ สัมปชัญญะ สมบูรณ์ มีการพูดคุยกับลูกๆ ทั้ง 4 คน และลูกทุกคนเข้าใจดี และเซ็นชื่อเป็นพยานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ผศ.นพ.พรเลิศ ฉัตรแก้ว หัวหน้าศูนย์ชีวาภิบาล โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวว่า คุณหญิงจำนงศรีถือเป็นคนแรกที่คิดจะทำเรื่องนี้ ทั้งๆ ที่สุขภาพแข็งแรง เป็นคนที่ไม่ประมาทเตรียมตัวเองให้พร้อม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เป็นการวางแผนของตัวเองไว้แต่เนิ่นๆ
เรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะผู้ป่วยหนักหลายรายที่เข้ารับการรักษาหลายครั้งหลายหน ก็เคยได้พูดคุยกัน เขาจะพูดเลยว่า รอบนี้พอแล้วนะ เพราะลองมาเยอะแล้ว ไม่มีอะไรดีขึ้น มีแต่ทรงกับทรุด เป็นไปตามขบวนการของโรค คนที่จะพูดอย่างนี้ได้ แสดงว่า เขาต้องเห็นภาพต่อไปในอนาคตแล้วว่าเขาจะต้องเจออะไร เขาจึงวางแผนการเดินทางของตัวเองได้
ตามปกติการจะให้คำปรึกษาแก่ผู้ป่วยหรือญาติผู้ป่วย ตรงนี้ต้องขึ้นอยู่ว่า ขณะนั้นสภาวะของผู้ป่วยเป็นอย่างไร รู้สึกตัวหรือไม่ หากผู้ป่วยอาการค่อนข้างหนัก พูดไม่ได้ ก็จะถามญาติว่า ผู้ป่วยเคยพูดอะไรไว้หรือไม่ ปกติผู้ป่วยเป็นคนอย่างไร สภาวะที่เคยป่วยเขาเคยตอบสนองอย่างไรบ้าง เคยแสดงเจตนารมณ์ปฏิเสธการรักษา ไว้หรือไม่
จริงๆ แล้ว กฎหมายฉบับนี้มีตามขึ้นมาจากเรื่องการแพทย์ ที่ค่อนข้างก้าวหน้าขึ้น จนกระทั่งคนไข้หากจะเสียชีวิต ก็มีการเยื้อชีวิต โดยการใส่เครื่องช่วยหายใจได้ กระตุ้นหัวใจได้ ใส่ปอดใส่หัวใจเทียมได้ เมื่อทำมาถึงระดับหนึ่ง ก็รู้สึกว่า เป็นอะไรที่ทำแล้วมีแต่โทษไม่มีประโยชน์ ก็เลยมีการคิดกันว่า ใครจะตอบคำถามได้ดีที่สุด นั่นก็คือ คนไข้เองจะเป็นคนให้คำตอบที่ดีที่สุด ไม่ใช่ญาติหรือหมอ
ก่อนหน้านี้ ก็เคยมีผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งมารับการผ่าตัด แล้วก็กลับมาใหม่ หลังจากเข้ารับการผ่าตัดรอบสอง อาการก็ดีขึ้น หลังจากนั้นอีกระยะหนึ่งก็กลับมาใหม่ คราวนี้ก็จะมีหนังสือแจ้งให้ทราบว่า เขาไม่ขอที่จะยื้อชีวิต ขอที่จะคืนตัวเองสู่ธรรมชาติ ขอจากไปอย่างธรรมชาติ แต่หนังสือดังกล่าวของเขาเป็นการเขียนขึ้นจากความรู้สึก ไม่ใช่เขียนในลักษณะตามกฎหมาย ซึ่งขณะนั้นก็ยังไม่มีแบบฟอร์ม ปัจจุบันมีแบบฟอร์มให้แล้ว
การทำหนังสือแสดงเจตนารมณ์ปฏิเสธการรักษา ถือเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะคนไข้กับญาติได้มีการพูดคุยกันมาก่อน พอถึงภาวะนั้นญาติก็จะชัดเจน จากที่สังเกตก็คือ คนไข้จะได้รับการดูแลและมีการจากไปอย่างสงบกว่ามาก หากมีการเตรียมตัวอย่างนี้มาก่อน
ในกฎหมายระบุไว้ชัดเจนว่า จะใช้เมื่อถึงวาระสุดท้ายของชีวิตตน หมายถึงทางการแพทย์ก็ต้องพิจารณาว่า จริงๆ ตอนนี้เข้าสู่ระยะสุดท้ายแล้ว ก็เข้าเกณฑ์เหมาะสมทางการแพทย์แล้ว
พญ.ฉันทนา หมอกเจริญพงศ์ กรรมการสมาคมบริบาลระยะท้าย กล่าวว่า เรื่องนี้ก็ยังเป็นข้อถกเถียงกันในวงการแพทย์ มีทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย จริงๆ แล้วตามกฎหมายที่ว่าไว้ แพทย์สามารถปฏิบัติตามสิ่งที่ผู้ป่วยได้เขียนแสดงเจตนาไว้ตั้งแต่ตอนที่เขายังมีสติ สัมปชัญญะ ครบถ้วน และสามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเขาเอง
เราต้องมองว่า คุณหมอเป็นผู้ให้บริการ คนไข้ ญาติ เป็นผู้รับบริการ กฎหมายที่ออกมาเพื่อตอบความต้องการของผู้ให้บริการกับผู้รับบริการ ว่า ถ้าในเมื่อเรารู้แล้วว่า เป็นโรคที่รักษาแล้วไม่หาย ถึงแม้ปัจจุบันวิทยาการทางการแพทย์ไปไกล สามารถยื้อชีวิตผู้ป่วยได้ระยะหนึ่งก็ตาม แต่ก็หนีไม่พ้นเรื่องทุกข์ทรมาน คนที่เป็นญาติก็ทุกข์ทรมานไม่แพ้กัน สิ่งหนึ่งที่ตามมาก็คือ เรื่องค่าใช้จ่าย
จริงๆ แล้ว กฎหมายฉบับนี้มีวัตถุประสงค์ที่ดี เพื่อที่จะให้ผู้รับบริการกับผู้ให้บริการ คุยตรงกัน ความต้องการของทั้งสองฝ่าย และวางแผนร่วมกัน ระหว่างคนไข้ หมอ และ ญาติ ไม่ใช่เป็นการตัดสินใจของหมอเท่านั้น หรือญาติเท่านั้น แต่จะเป็นการพูดคุยร่วมกัน ตัดสินใจร่วมกัน
ในแง่กฎหมายมองย้อนกลับไป สิทธิผู้ป่วยฉบับล่าสุดเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ฉบับก่อนหน้านี้ก็ระบุชัดเจนว่า ผู้ป่วยที่ขอรับการรักษาพยาบาลมีสิทธิได้รับข้อมูลที่เป็นจริง และเพียงพอเกี่ยวกับการเจ็บป่วย การตรวจรักษา ผลดีและผลเสียจากการตรวจรักษาจากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพ ด้วยภาษาที่ผู้ป่วยสามารถเข้าใจได้ง่าย เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเลือกตัดสินใจในการยินยอมหรือไม่ยินยอมให้ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพปฏิบัติต่อตน


