ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160215/222469.html
เตรียมพร้อมปฏิบัติการฝนหลวงภารกิจเหนือเมฆพิชิตเอลนิโญ : ดลมนัส กาเจ
ยังเหลือเวลาอีก 14 วัน ที่จะเข้าสู่ฤดูกาลปฏิบัติการฝนหลวง ของกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่จะเริ่มขึ้นในวันที่ 1 มีนาคม และจะไปสิ้นสุดในวันที่ 31 ตุลาคมของทุกปี แต่ในช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยประสบปัญหาภัยแล้งอย่างรุนแรง น้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดกลางและขนาดใหญ่ 33 แห่งทั่วประเทศเหลือเพียง 37,546 ล้าน ลบ.ม. จากความจุ 70,370 ล้าน ลบ.ม. หรือ 53% แต่ใช้ได้จริง เพียง 14,043 ล้าน ลบ.ม. หรือ 20% เท่านั้น เนื่องจากได้รับอิทธิพลจากปรากฏการณ์เอลนีโญ ที่ทำให้ปริมาณน้ำฝนน้อยและฝนตกไม่เป็นไปตามฤดูกาล
จากสถานการณ์ดังกล่าว ทำให้กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ต้องจัดชุดปฏิบัติการฝนหลวงเคลื่อนที่เร็วถึง 4 ชุด ออกปฏิบัติการทำฝนหลวงช่วงเดือนพฤศจิกายนจนถึง 29 กุมภาพันธ์ 2559 ก่อนที่จะถึงฤดูกาลปฏิบัติการฝนหลวงตามปกติในวันที่ 1 มีนาคม ที่จะถึงนี้ และสามารถเติมน้ำในอ่างเก็บน้ำได้กว่า 11 ล้าน ลบ.ม. เน้นที่เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จ.ลพบุรี เพื่อเป็นน้ำต้นทุนในการผลักดันน้ำเค็มทะลักเข้าแม่น้ำเจ้าพระยาได้ระดับหนึ่ง
น้ำสำรอง เหลือ 1,347 ล้าน ลบ.ม.
ข้อมูลจาก นายฎรงค์กร สมตน ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 12 ที่รับผิดชอบในการบริหารจัดการน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ระบุว่า การบริหารจัดการน้ำลุ่มน้ำเจ้าพระยา ในพื้นที่ที่สำนักงานชลประทานที่ 12 รับผิดชอบว่า ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2558 มีน้ำต้นทุนใช้การได้จากเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีปริมาณน้ำ 4,247 ล้าน ลบ.ม. แบ่งการบริหารจัดการน้ำตามแผน คือเพื่อการอุปโภค-บริโภค จำนวน 1,100 ล้าน ลบ.ม. เพื่อ รักษาระบบนิเวศ จำนวน 1,400 ล้าน ลบ.ม., เพื่อเกษตรกรรม (ไม้ผลและอ้อยปลูกไปแล้ว) จำนวน 400 ล้าน ลบ.ม. และยังเหลือปริมาณน้ำสำรองในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคม 2559 จำนวน 1,347 ล้าน ลบ.ม.
ปล่อยน้ำวันละ 17.76 ล้าน ลบ.ม.
สำหรับแผนและผลการระบายน้ำสะสมไปแล้วจากเขื่อนภูมิพล แผน 800 ล้าน ลบ.ม. ผล 429 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 54% เขื่อนสิริกิติ์ แผน 1,600 ล้าน ลบ.ม. ผล 825 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 52% เขื่อนแควน้อยฯ แผน 200 ล้าน ลบ.ม. ผล 97 ล้าน ลบ.ม. เป็น 48% และเขื่อนป่าสักฯ แผน 300 ล้าน ลบ.ม. ผล 145 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 48% ณ วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2559 น้ำใช้การจาก 4 เขื่อน มีปริมาณน้ำ 3,377 ล้าน ลบ.ม. และการระบายต่อวัน จากเขื่อนภูมิพล 5 ล้าน ลบ.ม. เขื่อนสิริกิติ์ 10 ล้าน ลบ.ม. เขื่อนแควน้อย 1.03 ล้าน ลบ.ม. และเขื่อนป่าสัก 1.73 ล้าน ลบ.ม. รวมอัตราการระบายต่อวัน 17.76 ล้าน ลบ.ม.
ต้องใช้เวลากักเก็บน้ำอีก2-3ปี
“ถ้าระดับน้ำในอ่างเก็บน้ำในเขื่อนต่างๆ ขณะนี้ หากฝนตกเท่าปี 2555/2556 ต้องใช้เวลาอีกอย่าง 2-3 ปีกว่าจะได้ระดับน้ำทุนปกติได้ เว้นแต่จะเกิดปาฏิหาริย์มีฝนตกหนักเหมือนปี 2554 เท่านั้น จึงจะสามารถเก็บน้ำได้ภายใน 1 ปี แต่คงยาก เพราะในปี 2554 ถือว่ามีปริมาณน้ำฝนมากที่สุดในรอบหลาบสิบปี และปีนี้จากการพยากรณ์อากาศ คาดว่าฝนจะตกช้ากว่าปกติด้วย จากเดิมจะตกราวเดือนพฤษภาคม อาจจะตกปลายเดือนมิถุนายนก็ได้” นายฎรงค์กร กล่าว
อย่างไรก็ตาม ทางสำนักงานชลประทานที่ 12 มีแนวทางการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ โดยรักษาระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาให้อยู่ที่ไม่ต่ำกว่า +14.00 ม.รทก.(ระดับน้ำทะเลปานกลาง) และควบคุมปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยา อัตราวันละ 75 ลบ.ม./วินาที รับน้ำเข้าพื้นที่เพื่ออุปโภค-บริโภค และอื่นๆ ผ่านประตูระบายน้ำพลเทพ, ประตูระบายน้ำบรมธาตุ รวมอัตราเฉลี่ยวันละ 37 ลบ.ม./วินาที และควบคุมปริมาณน้ำไหลผ่านประตูระบายน้ำโพธิ์พระยา 10 ลบ.ม./วินาที และส่งน้ำเข้าพื้นที่ทุ่งฝั่งตะวันตกตอนล่างลงสู่สำนักงานชลประทานที่ 11 ผ่านประตูระบายน้ำโพธิ์คอยและผักไห่-เจ้าเจ็ด อัตรา 3 ลบ.ม./วินาที
ปฏิบัติการฝนหลวงมากที่สุดในรอบ 10 ปี
จากวิกฤติขาดแคลนน้ำที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา และอาจรุนแรงซ้ำอีกในปีนี้ ทางกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ได้มีการเตรียมพร้อม สำหรับฤดูกาลปฏิบัติการฝนหลวงที่จะเริ่มในวันที่ 1 มีนาคม 2559 ที่จะถึงนี้และคาดว่าการปฏิบัติการฝนหลวงในปีนี้จะไม้น้อยกว่าปีที่ผ่านมาซึ่งได้ออกปฏิบัติการทำฝนหลวงมากที่สุดในรอบ 10 ปี กว่า 6,000 เที่ยวบินและได้ผลกว่า 94%
ล่าสุด นายเลอศักดิ์ ริ้วตระกูลไพบูลย์ อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร พร้อม นายสุรสีห์ กิตติมณฑล รองอธิบดี และผู้บริหารกรมฝนหลวงและการบินเกษตร เดินทางไปตรวจเยี่ยมความพร้อมที่จะปฏิบัติการ ที่สนามบินนครสวรรค์ อ.เมือง จ.นครสวรรค์ นอกจากนี้ยังถือโอกาสไปสร้างขวัญกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคกลาง ซึ่งเป็นที่ตั้งของหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงเคลื่อนที่เร็วในการบรรเทาสถานการณ์ภัยแล้งในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ลุ่มรับน้ำเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และลุ่มรับน้ำอ่างเก็บน้ำลำตะคอง ตลอดจนบินสำรวจติดตามสถานการณ์การเพาะปลูกในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา สถานการณ์น้ำของเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เขื่อนเจ้าพระยาด้วย
เครื่องบิน 33 ลำเตรียมพร้อม
นายเลอศักดิ์ บอกว่า วัตถุประสงค์ของการบินสำรวจในครั้งนี้ เพื่อสำรวจสถานการณ์น้ำบริเวณหัวงานเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และเขื่อนเจ้าพระยา รวมถึงพื้นที่ที่ประสบภัยแล้ง เพื่อนำข้อมูลที่ได้ไปปรับแผนการปฏิบัติการฝนหลวงให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และจากการที่ได้ออกสำรวจพื้นที่ ด้รับความร่วมมือจากนายฎรงค์กร สมตน ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 12 กรมชลประทาน ที่ร่วมบินสำรวจและให้ข้อมูลระหว่างการบินด้วย
“ขณะนี้เราเตรียมพร้อมแล้ว ที่ออกปฏิบัติการทำฝนหลวงเพื่อบรรเทาภัยแล้ง เครื่องบินลุกลำเราทำการซ่อมบำรุงอากาศยานและบริภัณฑ์ภาคพื้น รวมทั้งการบิน การฝึกบินทบทวน รูปแบบการเข้าปฏิบัติการฝนหลวงในกลุ่มเมฆลักษณะต่างๆ ช่งงนี้ถือเป็นช่วงที่เราทำการฝึกบินทบทวนของนักบินฝนหลวง เพื่อฝึกบินสร้างความคุ้นเคยกับท่าทางการบินในลักษณะต่างๆ ที่เป็นมาตรฐาน การปฏิบัติเมื่ออากาศยานเกิดเหตุฉุกเฉิน ทบทวนระบบต่างๆ ของเครื่องบิน และเพิ่มทักษะความสามารถการบินด้วยเครื่องวัดประกอบการบิน การบินกลางคืน การบินหมู่ ปฏิบัติการฝนหลวงและการบินโดยสาร ได้เริ่มฝึกบินทบทวนประจำปี ระหว่างวันที่ 9 มกราคม-27 กุมภาพันธ์ 2559” นายเลอศักดิ์ กล่าว
สำหรับเครื่องบินที่ใช้ในฝึกบินทบทวน ประกอบด้วย เครื่องบินแบบ ซีเอ็น 235 แบบซูเปอร์คิงแอร์ แบบคาซ่า และแบบคาราแวน ซึ่งทั้งหมดผ่านการซ่อมบำรุงเครื่องบินฝนหลวงก่อนออกประจำการตามหน่วยเสร็จสมบูรณ์ เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2559 ที่ผ่านมา เป็นอย่างดี มีเครื่องบินพร้อมสนับสนุนการบินปฏิบัติการฝนหลวง จำนวน 33 เครื่อง ก่อนที่จะไปประจำการหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงทั้ง 5 ภาค ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2559 ตามแผนการปฏิบัติการฝนหลวงประจำปี 2559 เป็นต้นไป
เตรียมสารกว่า 6,000 ตัน
ด้าน นายสุรสีห์ บอกว่า การปฏิบัติการฝนหลวงในปี 2559 ทางกรมฝนหลวงได้เตรียมพร้อมทุกด้าน โดยเฉพาะสารที่ใช้สำหรับทำฝนหลวงนั้นได้เตรียมไว้กว่า 6,000 ตัน มีเพียงพออย่างแน่นอน ส่วนที่กรมฝนหลวงฯ ต้องมีการฝึกซ้อมทุกปีเพื่อเตรียมพร้อมนั้น เนื่องจากการบินเพื่อปฏิบัติการฝนหลวง มีความซับซ้อนมากกว่าการบินพาณิชย์ และบินยากกว่าด้วย เนื่องจากการบินพาณิชย์เมื่อเจอกับกลุ่มก้อนเมฆแล้วนักบินจะนำเครื่องเลี่ยงออกห่าง ขณะที่นักบินฝนหลวงต้องเข้าจู่โจมก้อนเมฆ ที่หนาทึบ ฉะนั้นนักบินจะต้องมีความชำนาญพิเศษ โดยเฉพาะเครื่องบิน 1 เครื่องยนต์ อย่างคาราแวน เวลาปฏิบัติการต้องเป็นฟูงอย่างน้อย 3 ลำ หากเครื่องขัดข้องนักบินต้องมีความชำนาญในการร่อนเครื่องลงให้ปลอดภัยด้วย แต่รับรองว่าเครื่องบินฝนหลวงปลอดภัยสูงมาก
หน่วยเคลื่อนเร็วเติมน้ำได้ 11 ล้าน ลบ.ม.
ขณะที่ นายรัฐกร วรุณสุขะศิริ รักษาราชการแทนผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคกลาง สรุปผลปฏิบัติการฝนหลวงเคลื่อนที่เร็วว่า ได้เริ่มบินปฏิบัติการตั้งแต่ วันที่ 20 มกราคม 2559 จนถึงวันที่ 27 มกราคม 2559 สามารถขึ้นบินปฏิบัติการได้ 5 วัน 28 เที่ยวบิน ใช้สารฝนหลวงทั้งสิ้น 25.6 ตัน ตรวจพบฝนตกทั้ง 5 วัน สามารถเติมน้ำในเขื่อนในอ่างเก็บน้ำได้ 11 ล้าน ลบ.ม. โดยเฉพาะป่าสักชลสิทธิ์ 1.6 ล้าน ลบ.ม. มีฝนตกในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา พื้นที่รับน้ำเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ รวมทั้งในพื้นที่ จ.นครสวรรค์ ลพบุรี เพชรบูรณ์ พิจิตร อุทัยธานี สระบุรี และพื้นที่รับน้ำเขื่อนลำตะคอง จ.นครราชสีมา เป็นต้น
การปฏิบัติการฝนหลวงนับเป็นอีกหนึ่งภารกิจ ที่จะสามารถบรรเทาความแห้งแล้ง อันเกิดมาจากอิทธิพลของปรากฏการณ์เอลนีโญ ที่ทำให้ฝนตกไม่เป็นไปตามฤดูกาล และนับวันจะทวีจะทวีความรุนแรงอีกด้วย
