โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ ชวนคุณแม่พาลูกฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสเอชพีวี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/553188

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 24 ธ.ค. 2558 06:01

 

ร่วมสร้างแม่ลูกสุขภาพดีรับปีใหม่ 
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญชี้ยิ่งฉีดเร็วยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพป้องกันเชื้อก่อมะเร็งปากมดลูก

ถึงแม้ว่าปัจจุบัน โรคมะเร็งปากมดลูกจะเป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ แต่มะเร็งปากมดลูกยังคงเป็นมะเร็งที่พบบ่อยที่สุดเป็นอันดับสองในหญิงไทย นั่นก็เป็นเพราะเรายังคงชะล่าใจและไม่ให้ความสำคัญในการป้องกันโรคดังกล่าวอย่างจริงจัง เนื่องในโอกาสเทศกาลปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ จึงอยากเชิญชวนคุณแม่พาลูกมาร่วมสร้างสุขภาพดี และแสดงความรักด้วยการพาลูกเข้ารับวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสเอชพีวี พร้อมทั้งเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับเชื้อไวรัสเอชพีวีและแนวทางป้องกันที่มีประสิทธิภาพอย่างวัคซีนป้องกันเอชพีวี เพื่อรณรงค์ให้สตรีไทยใส่ใจสุขภาพและห่างไกลจากมะเร็งร้าย

แพทย์หญิงณัฐยา รัชตะวรรณ สูติ-นรีแพทย์โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ กล่าวว่า “หลายๆ คนคงเคยได้ยินชื่อเชื้อไวรัสเอชพีวี (HPV) หรือ Human Papilloma Virus มาก่อน ซึ่งเชื้อไวรัสนี้สามารถติดต่อกันได้ง่ายมาก ส่วนใหญ่เป็นการติดเชื้อที่อวัยวะสืบพันธุ์จากการมีเพศสัมพันธ์ หรือการสัมผัสเชื้อโดยตรง ซึ่งเชื้อไวรัสเอชพีวีแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 กลุ่มสายพันธุ์เสี่ยงสูง 14 สายพันธุ์ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคมะเร็งปากมดลูก เช่น สายพันธุ์ 16 และ 18 และกลุ่มที่ 2 กลุ่มสายพันธุ์เสี่ยงต่ำ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคอื่นๆ เช่น สายพันธุ์ที่ 6 และ 11 ที่เป็นสาเหตุของโรคหูดหงอนไก่ โดยปัจจุบันพบว่า โรคมะเร็งปากมดลูกพบบ่อยเป็นอันดับ 2 และมีหญิงไทยเสียชีวิตจากมะเร็งปากมดลูกเฉลี่ยถึงวันละ 14 คน จากการสำรวจพบว่าภาคเหนือและภาคอีสานพบผู้ที่ติดเชื้อไวรัสเอชพีวีมากที่สุดประมาณร้อยละ 20-30 เนื่องมาจากเด็กวัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์ค่อนข้างเร็ว ส่วนในภาคกลางมีอัตราการติดเชื้ออยู่ที่ร้อยละ 10 และภาคใต้มีอัตราการติดเชื้อน้อยที่สุดไม่ถึงร้อยละ 10 นั่นก็เป็นเพราะพฤติกรรม เนื่องจากวัฒนธรรมและความเชื่อของคนใต้ที่ค่อนข้างเคร่งครัด และไม่นิยมเปลี่ยนคู่นอน ทำให้อัตราการติดเชื้อน้อยกว่าภาคอื่นๆ โดยปกติ ร่างกายคนเราสามารถขจัดเชื้อไวรัสเอชพีวีออกไปได้ แต่หากได้รับเชื้อเป็นเวลานานจนติดเชื้อแบบคงทน ก็จะลุกลามกลายเป็นมะเร็งปากมดลูกได้ สำหรับอาการของโรคมะเร็งปากมดลูกในช่วงแรก ส่วนมากจะมีอาการตกเลือด อาจจะมีลักษณะเป็นเลือดออกกะปริบกะปรอยในระหว่างรอบเดือน หรือมีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์ บางรายอาจมีน้ำปนออกมากับเลือด หรือตกขาวปนเลือด หากเป็นหญิงวัยหมดประจำเดือนก็อาจจะมีเลือดออกมาโดยไม่ทราบสาเหตุ

นอกจากนี้ ยังสามารถสังเกตได้จากอาการตกขาวที่มีกลิ่นเหม็นผิดปกติ หรือมีหนองและเลือดปนออกมาด้วย แต่หากเป็นอาการในระยะลุกลาม อาจมีอาการขาบวม ปวดท้องหรือปวดหลังรุนแรง ปวดก้นกบและบริเวณต้นขา อีกทั้งยังอาจจะมีอาการปัสสาวะและอุจจาระเป็นเลือดอีกด้วย ส่วนการรักษาขึ้นอยู่กับระยะของมะเร็ง หากเป็นระยะที่ 1 สามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัด ซึ่งมีโอกาสหาย 100 เปอร์เซ็นต์ แต่หากเป็นมะเร็งปากมดลูกระยะที่สองขึ้นไป การรักษาจะเป็นแบบการฉายแสง หรืออาจรักษาร่วมกับเคมีบำบัดในบางกรณี”

“อย่างไรก็ตาม โรคมะเร็งปากมดลูกสามารถป้องกันได้ อันดับแรก Primary Prevention หรือการงดการมีเพศสัมพันธ์ซึ่งฝืนธรรมชาติและเป็นไปได้ยาก ดังนั้น เราจึงแนะนำให้สตรีเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสเอชพีวี ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคมะเร็งปากมดลูก โดยหากได้รับวัคซีนก่อนการติดเชื้อวัคซีนจะมีประสิทธิภาพป้องกันการติดเชื้อเอชพีวีได้ถึงร้อยละ 70-80 และมีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อไวรัสเอชพีวีสายพันธุ์ที่ 16 และ 18 ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ปัจจุบันการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสเอชพีวีสามารถทำได้ตั้งแต่ในเด็กอายุ 9 ปี จนถึงผู้ใหญ่อายุ 45 ปี แต่สำหรับผู้ใหญ่อาจจะต้องพิจารณาถึงเงื่อนไขอื่นๆ เช่น เคยมีเพศสัมพันธ์แล้วหรือไม่ เคยติดเชื้อไวรัสเอชพีวีมาก่อนหรือไม่ ฯลฯ โดยจะทำการตรวจภายในก่อนฉีดวัคซีนเพื่อให้มั่นใจว่ายังไม่เคยได้รับเชื้อเอชพีวีและยังไม่เคยเป็นมะเร็งปากมดลูกมาก่อน ทั้งนี้ ประสิทธิภาพของวัคซีนจะลดลงหากฉีดในผู้ที่มีเพศสัมพันธ์แล้ว คำแนะนำอื่นๆ ในการป้องกันมะเร็งปากมดลูก ก็คือแนะนำให้สตรีที่มีเพศสัมพันธ์แล้วเข้ารับการตรวจคัดกรองเป็นประจำ เราจะเห็นว่าโรคมะเร็งปากมดลูกถือเป็นมะเร็งชนิดเดียวที่ป้องกันได้ ทั้งนี้การป้องกันย่อมดีกว่าการรักษาเมื่อเป็นโรคแล้ว เพราะคุ้มค่ากว่าทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ และยังเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการรักษาโรคมะเร็งด้วย” แพทย์หญิงณัฐยา กล่าวเพิ่มเติม

ด้าน แพทย์หญิงหทัยทิพย์ ชัยประภา กุมารแพทย์สาขาทารกแรกเกิด โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ กล่าวว่า “ปัจจุบัน วัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสเอชพีวีมี 2 ชนิด ได้แก่ วัคซีนป้องกันเอชพีวีชนิด 2 สายพันธุ์ จะครอบคลุมสายพันธุ์ที่ 16 และ 18 ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งช่องคลอดในเพศหญิง และวัคซีนป้องกันเอชพีวีชนิด 4 สายพันธุ์ จะครอบคลุมสายพันธุ์ที่ 6, 11, 16 และ 18 ซึ่งมีข้อบ่งชี้ที่ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูก มะเร็งช่องคลอด มะเร็งทวารหนัก หูดหงอนไก่ ทั้งในเพศหญิงและเพศชาย สามารถฉีดในเด็กตั้งแต่อายุ 9 ปีขึ้นไป ซึ่งนับเป็นโอกาสดีที่คุณพ่อคุณแม่จะสามารถพาลูกสาวมาฉีดวัคซีน เพราะจริงๆ แล้วเชื้อไวรัสเอชพีวีสามารถติดได้ง่ายมาก นอกจากการติดเชื้อจากเพศสัมพันธ์แล้ว บางครั้งอาจเกิดจากการสัมผัสเชื้อโดยตรง เช่น ในห้องน้ำสาธารณะ ดังนั้น เด็ก วัยรุ่น หรือผู้ที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ก็มีโอกาสติดได้ หรือแม้แต่ในเด็กทารกก็สามารถติดเชื้อไวรัสเอชพีวีได้จากมารดาผ่านทางช่องคลอด ทำให้เกิดการอุดตันในระบบทางเดินหายใจ ดังนั้น การฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสเอชพีวีตั้งแต่เด็กจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะเด็กยังไม่เคยได้รับเชื้อไวรัสเอชพีวีมาก่อน และการฉีดวัคซีนในเด็กยังจะสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีกว่าการฉีดในผู้ใหญ่ถึง 2 เท่า ดังนั้น เราจึงแนะนำให้เด็กฉีดวัคซีนแค่ 2 เข็มก็เพียงพอแล้ว ในขณะที่ผู้ใหญ่ต้องฉีด 3 เข็ม จะเห็นได้ว่าฉีดในเด็กให้ความคุ้มทุนมากกว่า ทั้งในเรื่องค่าใช้จ่ายและประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ผู้ปกครองจำนวนมากยังไม่เห็นความสำคัญของการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสเอชพีวี เนื่องจากเห็นว่าเป็นเรื่องไกลตัว หรือมีความเชื่อผิดๆ ที่ว่าเป็นการส่งเสริมให้ลูกมีเพศสัมพันธ์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว การฉีดวัคซีนให้ลูกตั้งแต่เด็กจะช่วยให้ลูกมีภูมิต้านทานพร้อมเมื่อเติบโตสู่วัยเจริญพันธุ์ และยังป้องกันการติดเชื้อที่ไม่ได้มาจากเพศสัมพันธ์ด้วย”

คุณแม่เปิ้ล-นลรรพรรฎ คุณแม่ของน้องอันดา – กุณฑีรา ยอดช่าง ที่พาลูกสาวมาฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสเอชพีวีกล่าวว่า “ปีนี้น้องอันดาอายุ 9 ปีพอดี เปิ้ลจึงพามาปรึกษาคุณหมอแล้วก็ได้รับคำแนะนำว่าควรให้น้องฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสเอชพีวีได้เลย อย่าคิดว่าการพาลูกไปฉีดวัคซีนจะเป็นการส่งเสริมให้เขามีเพศสัมพันธ์ เพราะอย่างที่คุณหมอบอกว่าจริงๆ แล้ววัคซีนป้องกันเอชพีวีก็เหมือนวัคซีนอื่นๆ ที่สำคัญ ฉีดตอนที่น้องยังเป็นเด็กจะช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีกว่าด้วย เรารู้สึกว่าตอนที่เรายังดูแลเขาได้ เราก็ต้องดูแลให้ดีที่สุด อะไรที่ช่วยปกป้องลูกเราได้ เราก็ต้องทำอยู่แล้วค่ะ เปิ้ลมองว่าการพาอันดามาฉีดวัคซีนเป็นการเตรียมพร้อมให้กับลูกในด้านสุขภาพเหมือนกับที่เราเตรียมเรื่องการศึกษาให้เขา เราลงทุนในวันนี้เพื่อเพิ่มโอกาสที่ดีให้ลูกให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีในอนาคต ส่วนตัวเปิ้ลเองก็ได้รับวัคซีนป้องกันเอชพีวีเรียบร้อยแล้วค่ะ เรามองว่าการป้องกันก่อนที่จะเป็นโรคย่อมดีกว่าเป็นแล้วรักษา และเปิ้ลอยากเชิญชวนให้คุณผู้หญิงทุกคนเข้ารับวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสเอชพีวี และหากคุณแม่ที่มีลูกสาวก็อย่าลืมพาลูกสาวไปรับวัคซีนป้องกันเอชพีวีกันนะคะ สายใยความรักของแม่สามารถส่งต่อได้ด้วยการดูแลสุขภาพของลูกค่ะ”

ทั้งนี้ โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ จึงอยากเชิญชวนคุณสุภาพสตรี และคุณแม่ที่รักและห่วงใยสุขภาพของลูกๆ พาลูกมาฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสเอชพีวี และเพื่อร่วมสร้างสุขภาพดีให้คุณแม่และคุณลูกรับเทศกาลปีใหม่ 2559 ทางโรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ มีบริการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสเอชพีวีสำหรับคุณแม่ โดยผู้ที่สนใจสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02-022-2222

ภาพจากซ้ายไปขวา : แพทย์หญิงณัฐยา รัชตะวรรณ สูติ-นรีแพทย์โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์, คุณเปิ้ล-นลรรพรรฎ และน้องอันดา – กุณฑีรา ยอดช่าง, แพทย์หญิงหทัยทิพย์ ชัยประภา กุมารแพทย์สาขาทารกแรกเกิด โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์

แพทย์หญิงณัฐยา รัชตะวรรณ สูติ-นรีแพทย์ โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์

แพทย์หญิงหทัยทิพย์ ชัยประภา กุมารแพทย์สาขาทารกแรกเกิด โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์

คุณแม่เปิ้ล-นลรรพรรฎ และน้องอันดา – ด.ญ. กุณฑีรา ยอดช่าง

คุณแม่เปิ้ล พาน้องอันดา เข้ารับคำปรึกษาจากคุณหมอก่อนเข้ารับวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสเอชพีวี

คุณแม่เปิ้ล-นลรรพรรฎ ยอดช่าง เข้ารับคำปรึกษาจากคุณหมอก่อนเข้ารับวัคซีนป้องกันเอชพีวีด้วยเช่นกัน

Leave a comment