ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
http://www.thairath.co.th/content/599194
โดย ไทยรัฐออนไลน์ 31 มี.ค. 2559 19:44

พาณิชย์ เผย ผลรับฟังความคิดเห็น ส่วนใหญ่หนุนไทยร่วมทีพีพี เดินหน้า ทำความเข้าใจภาคเกษตร ยัน การคุ้มครองพันธุ์พืช-จีเอ็มโอ ไม่กระทบแน่ ส่วนภาคปศุสัตว์ ที่กลัวแข่งไม่ได้ คาด รัฐอาจจัดตั้งกองทุนเยียวยา หากเข้าร่วมทีพีพีจริง ลั่น ถ้าไม่ร่วม อุตฯ ของต่างประเทศอาจมีปัญหา จ่อชง ‘บิ๊กตู่’ ประกาศท่าทีไทย 2 พ.ค.นี้ ร่วมหรือไม่…
วันที่ 31 มี.ค.59 นายวินิจฉัย แจ่มแจ้ง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึง ความคืบหน้าการรับฟังความคิดเห็นในการเข้าร่วม ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (ทีพีพี) ว่า กระทรวงพาณิชย์ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน ทั้งภาคประชาสังคม ภาควิชาการ ภาคธุรกิจ ภาคเกษตรและภาครัฐในส่วนกรุงเทพฯ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ส่วนใหญ่เห็นว่าการเข้าร่วมทีพีพีจะเกิดประโยชน์กับไทย แต่ในด้านผลกระทบ จะต้องมีมาตรการดูแลให้รอบคอบและชัดเจน และเห็นว่าการรับฟังความคิดเห็นในกรุงเทพฯ ไม่เพียงพอ ต้องรับฟังความคิดเห็นในต่างจังหวัดด้วย โดยเฉพาะภาคเกษตรกร ซึ่งกระทรวงฯ ได้เริ่มลงพื้นที่รับฟังความคิดเห็นแล้ว
ทั้งนี้ ตั้งแต่เดือน ก.พ.59 จึงได้ลงพื้นที่รับฟังความคิดเห็นจากเกษตรกร ที่ จ.ตาก จ.นครศรีธรรมราช และ จ.อุบลราชธานี ซึ่งชี้แจงในประเด็นที่เกษตรกรยังมีกังวล เช่น การคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ ตามอนุสัญญาคุ้มครองพันธุ์พืช (UPOV) ที่เกษตรกรกลัวว่า ทีพีพีต้องบังคับให้สมาชิกเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาดังกล่าว แล้วจะทำให้เกษตรกรไม่สามารถเก็บเมล็ดพันธุ์พืชใหม่ไว้ใช้สำหรับการเพาะปลูกในฤดูกาลต่อได้ ซึ่งที่จริงแล้ว UPOV ไม่ได้ห้ามแต่อย่างใด แต่ห้ามนำไปเพาะปลูกแล้วนำเมล็ดพันธุ์ไปใช้ทางการค้า ส่วนเรื่องพืชตัดแต่งทางพันธุกรรม (จีเอ็มโอ) ทีพีพีกำหนดให้มีการแลกเปลี่ยนและเผยแพร่ข้อมูลเท่านั้น และไทยยังสามารถกำหนดเงื่อนไขในการดูแลได้ตามกฎหมาย คือ เมล็ดพันธุ์จีเอ็มโอใช้ในแปลงทดลองได้ แต่ห้ามนำไปใช้เพาะปลูกเชิงพาณิชย์
นอกจากนี้ เกษตรกรยังมีกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อพันธุ์พืชท้องถิ่นที่อาจสูญหายจากการปรับปรุงพันธุ์ และยังขาดการพัฒนาพันธุ์ให้ทัดเทียมกับต่างชาติ รวมทั้งกระบวนการตรวจสอบพันธุ์พืชใหม่ที่ขอรับการคุ้มครองของไทย ซึ่งกระทรวงฯ จะประสานไปยังหน่วยงานที่กำกับดูแลเพื่อปรับปรุงแก้ไขต่อไป สำหรับการลงพื้นที่ครั้งต่อไป จะไปที่ จ.จันทบุรี เชียงใหม่ ขอนแก่น สุราษฎร์ธานี สงขลา พิษณุโลก และอยุธยา
นายวินิจฉัย กล่าวด้วยว่า จากการรับฟังความคิดเห็นมาทั้งหมด ทำให้ทราบว่าภาคธุรกิจส่วนใหญ่ สนับสนุนให้ไทยเข้าร่วม เพราะไทยได้ประโยชน์มากกว่าเสีย โดยเฉพาะในด้านการลงทุน หากไทยไม่ประกาศให้ชัดเจนว่าจะเข้าร่วมหรือไม่ จะทำให้นักลงทุนต่างประเทศไหลไปประเทศเพื่อนบ้านที่เข้าร่วมเป็นสมาชิกทีพีพีแล้ว อย่างเวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ บรูไน ขณะเดียวกัน ล่าสุด ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ไต้หวัน และเกาหลีใต้ได้ประกาศจะเข้าร่วมทีพีพีแล้ว และส่งผลทางจิตวิทยา ทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นเข้าไปลงทุนในประเทศเหล่านี้มากขึ้น
ส่วนทางด้านผลกระทบยังมีความกังวลในประเด็นสิทธิบัตรยา เช่น การชดเชยความล่าช้าในการจดสิทธิบัตร การการขึ้นทะเบียนยาที่ไม่สมเหตุสมผล ซึ่งสามารถแก้ไขได้โดยปรับปรุงกระบวนการทำงานภายในประเทศ และยังกังวลในเรื่องการคุ้มครองยาที่นานเกินไป รวมทั้งยังมีความกังวลในภาคปศุสัตว์ ซึ่งเกรงว่าจะได้รับผลกระทบจากสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะเครื่องในหมูและชิ้นส่วนไก่ อย่างไรก็ตาม หากไทยจะเข้าร่วมทีพีพี ก็อาจเจรจาขอขยายระยะเวลาในการเปิดเสรีภาคที่ได้รับผลกระทบ อย่างปศุสัตว์ รวมถึงต้องจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือเพื่อรองรับผลกระทบจากการเปิดเสรีด้วย
นายวินิจฉัย กล่าวเพิ่มเติมว่า จะรวบรวมประเด็นข้อคิดเห็นทั้งหมด ทั้งผลดี ผลกระทบ และแนวทางแก้ไขเสนอให้คณะอนุกรรมการศึกษาความพร้อมของไทยต่อความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก ที่มีนางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ เป็นประธาน พิจารณาในวันที่ 27 เม.ย.59 และวันที่ 2 พ.ค.นี้ จะนำเสนอให้คณะกรรมการพัฒนาการค้าระหว่างประเทศ (พกค.) ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพื่อประกาศท่าทีของไทยในการเข้าร่วมทีพีพีต่อไป.