ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
http://www.thairath.co.th/content/598219
โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 30 มี.ค. 2559 05:01

นายกิตติ พัฒนพงศ์พิบูล ประธานสมาคมสินเชื่อที่อยู่อาศัย เปิดเผยว่า นโยบายการก่อสร้างที่อยู่อาศัยราคาถูกให้ผู้มีรายได้น้อยหรือโครงการบ้านประชารัฐของรัฐบาลจะสร้างวิกฤติสินเชื่อด้อยคุณภาพหรือซับไพรม์เกิดขึ้นในประเทศไทย เนื่องจากการใช้ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐเข้าไปสนับสนุนสินเชื่อให้กับผู้มีรายได้ต่ำ เป็นการนำเงินภาษีของประชาชนไปอุดหนุน ซึ่งต้องระมัดระวัง เพราะหากดำเนินโครงการบ้านประชารัฐไปแล้ว ผู้ที่เข้าโครงการไม่สามารถผ่อนชำระได้ ก็จะส่งปัญหาต่อระบบทันที “นโยบายที่ต้องการให้ผู้มีรายได้น้อยมีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองเป็นเรื่องถูกต้อง ไม่จำเป็นให้เป็นเจ้าของ แต่ให้เช่าในราคาถูกก็ได้ แต่ต้องหาวิธีการช่วยเหลือที่ไม่ต้องพึ่งพาเงินภาษีประชาชน หรือใช้เงินอุดหนุนของรัฐ เนื่องจากผู้มีรายได้น้อยเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ธนาคารพาณิชย์ไม่ กล้าปล่อยสินเชื่อให้กับกลุ่มนี้ การใช้ธนาคารเฉพาะกิจเข้าไปสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เป็นการดำเนินการที่เสี่ยงมาก แต่โครงการบ้านประชารัฐที่ทำไปแล้ว ก็ทำต่อไป เนื่องจากยังเป็นจำนวนน้อย”
ทั้งนี้ การช่วยเหลือประชาชนให้มีที่อยู่อาศัย สามารถทำได้ด้วยวิธีการอุดหนุนเชิงธุรกิจ เป็นการดำเนินการของภาคเอกชน ใช้เงินกำไรของเอกชน ด้วยการส่งเสริมให้มีกำไรมากๆ และนำเงินมาทำโครงการ โดยส่งเสริมมาตรการระเบียบการก่อสร้าง การจัดสรรที่ดินและผังเมือง ทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของเอกชนและของรัฐ สามารถทำกำไรได้สูงขึ้นจากบ้านราคาสูง เช่น ออกกฎระเบียบในโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ผ่อนปรนให้เพิ่มพื้นที่ก่อสร้างมากขึ้นสำหรับบ้านราคาสูง และผ่อนปรนอาคารให้สูงขึ้น หรือผ่อนปรนข้อกฎระเบียบอื่นๆ และเมื่อเอกชนที่ได้รับประโยชน์จากการผ่อนปรน ต้องนำเงินมาก่อสร้างบ้านผู้มีรายได้น้อยในราคาต่ำกว่าตลาด 25-50% และที่สำคัญสถานที่ก่อสร้างโครงการควรอยู่ใกล้เมือง การเดินทางสะดวก
นายกิตติ กล่าวอีกว่า ในส่วนของธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ เช่น ธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือ ธอส. หรือการเคหะแห่งชาติ ก็ควรเปิดช่องให้ทำธุรกิจปกติ เพื่อให้ ธอส.แข่งขันกับธนาคารพาณิชย์ และการเคหะแห่งชาติแข่งขันกับผู้ประกอบการธุรกิจสังหาริมทรัพย์ เพื่อทำกำไรให้มากขึ้น และนำกำไรมาสนับสนุนผู้มีรายได้น้อย อย่างไรก็ตาม ตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยในปีนี้ เชื่อว่าจะมีอัตราการเติบโต 5-10%.