กลไกจับผิด‘เจ้าสัว’ฟอกเงิน‘เอกสารลับปานามา’!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160407/225452.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายน 2559
กลไกจับผิด‘เจ้าสัว’ฟอกเงิน‘เอกสารลับปานามา’!

กลไกจับผิด‘เจ้าสัว’ฟอกเงิน ‘เอกสารลับปานามา’! : ทีมข่าวรายงานพิเศษ

              ฮัลโหล !ผมชื่อจอห์น โด

สนใจข้อมูลนี้ไหมครับ?

แต่มีเงื่อนไข 2-3 ข้อนะ

เพราะชีวิตของผมกำลังตกอยู่ในอันตราย

เราติดต่อกันผ่านทางรหัสลับเท่านั้น

จะไม่มีการเจอหน้ากัน

แต่การเลือกเผยแพร่ข้อมูลขึ้นอยู่กับคุณ

ผมแค่ต้องการเปิดโปงอาชญากรรมนี้ให้โลกรับรู้ !

ข้อความข้างต้นเป็นจุดเริ่มต้น “เอกสารลับปานามา” ข่าวสืบสวนสอบสวนที่สั่นสะเทือนโลกในขณะนี้

4 เมษายน 2559 “ไอซีไอเจ” สมาคมผู้สื่อข่าวสืบสวนนานาชาติ (International Consortium of Investigative Journalists : ICIJ) เปิดเผยเอกสาร “ปานามา เปเปอร์ส” (Panama Papers) จากบุคคลนิรนามที่ใช้ชื่อว่า “จอห์น โด”

เอกสารดังกล่าวถูกส่งให้หนังสือพิมพ์ “ซูดดอยช์” เยอรมนี เมื่อปีที่ผ่านมา เนื่องจากข้อมูลที่ได้รับมหาศาลมากกว่า 11 ล้านฉบับ ทำให้ “ซูดดอยซ์” ตัดสินใจขอความร่วมมือไอซีไอเจ ให้ช่วยวิเคราะห์และแยกแยะรายชื่อบุคคลสำคัญที่เกี่ยวข้อง

เจอราร์ด ไรล์ ผอ.ไอซีไอเจ ให้ข้อมูลว่า เอกสารลับปานามานั้น เกี่ยวกับธุรกิจของบริษัท  “มอสแซก ฟอนเซกา” (Mossak Fonseca) รู้จักกันดีว่าเป็นเครือข่ายบริษัทกฎหมายยักษ์ใหญ่มีสาขากว่า 40 ประเทศทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทยด้วย เอกสารเหล่านี้เป็นบันทึกข้อมูลบริษัทนอกอาณาเขตทั้งหมด 2.1 แสนบริษัท เก็บสะสมมานานกว่า 30-40 ปี

การแยกแยะข้อความของเอกสารจำนวน 11.5 ล้านฉบับนั้น ไอซีไอเจใช้วิธีขอความร่วมมือไปยังนักข่าวสืบสวน 370 คน จาก 78 ประเทศทั่วโลก รวมถึงนักข่าวไทย เพื่อช่วยกันขุดคุ้ยและวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้

ผลจากการแกะรอยข้อความต่างๆ พบว่า มีผู้นำและนักธุรกิจชื่อดังหลายประเทศเกี่ยวข้อง ทั้งทางตรงและทางอ้อม รวมถึงสมาชิกในครอบครัวด้วย เช่น สมาชิกครอบครัวของนาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย “มูบารัค” อดีตประธานาธิบดีอียิปต์  “กัดดาฟี” อดีตผู้นำลิเบีย “ปูติน” ประธานาธิบดีรัสเซีย และที่สำคัญคือข้อมูลของ “ซิกมุนดูร์ กุนน์ล็อกสัน” นายกรัฐมนตรีไอซ์แลนด์ ที่สร้างความโกรธแค้นให้แก่ประชาชนถึงกับนัดหมายออกมารวมตัวกันเป็นพันคน เพื่อเรียกร้องให้ลาออกจากตำแหน่ง

เนื่องจากมีหลักฐานน่าสงสัยว่าเกี่ยวกับการฟอกเงินมูลค่าหลายล้านดอลลาร์

สำหรับประเทศไทยนั้น สำนักข่าวอิศราเปิดเผยข้อมูลว่า “มอสแซก ฟอนเซกา สาขาประเทศไทย” มีลูกค้าผู้เข้าใช้บริการทั้งหมด 21 ราย ในนามส่วนบุคคลและเป็นองค์กรสัญชาติไทยและต่างประเทศ โดย 21 รายมีส่วนเกี่ยวข้องกับการจดทะเบียนบริษัทนอกอาณาเขตในพื้นที่หมู่เกาะบริติชเวอร์จิน หมู่เกาะเคย์แมน ฯลฯ จำนวนทั้งสิ้น “963 บริษัท” และ มีผู้ถือหุ้นรวม 757 ราย และผู้รับผลประโยชน์ 40 ราย พร้อมอ้างรายชื่อครอบครัวเจ้าของบริษัทน้ำเมาและครอบครัวเจ้าของศูนย์การค้ายักษ์ใหญ่ว่าใช้บริการจดทะเบียนดังกล่าวด้วย พร้อมเน้นย้ำว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นไม่พบว่าบุคคลและกลุ่มธุรกิจทั้งสองกลุ่มนี้ ได้ใช้บริษัทนอกอาณาเขตของตนในทางที่ขัดแย้งต่อกฎหมายแต่ประการใด

หลายคนเริ่มสงสัยว่า “บริษัทนอกอาณาเขต” หรือ ออฟชอร์ คอมพานีทำงานอย่างไร?

บริษัท “มอสแซก ฟอนเซกา” ไม่ต่างจากอีกหลายบริษัทกฎหมายทั่วโลก ที่รับจ้างจดทะเบียนนิติบุคคลในประเทศเป็นสวรรค์ปลอดภาษี (Tax Haven Country) ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในหมู่เกาะกลางทะเลขนาดเล็ก ที่ไม่สนใจความสัมพันธ์การทูตกับประเทศอื่น เน้นทำธุรกรรมการเงิน หลบเลี่ยงภาษี หรือฟอกเงินจากผู้กระทำผิดกฎหมาย เช่น หมู่เกาะบริติช เวอร์จิน ที่มีประชากรแค่ 2.8 หมื่นคน ส่วนประชากรหมู่เกาะเคย์แมนมีประมาณ 6 หมื่นคนเท่านั้น ประเทศเหล่านี้ยกเว้นภาษีและมีกฎหมายพิเศษให้ความคุ้มครองเก็บความลับของบริษัทที่มาจดทะเบียนในประเทศตน ขอเพียงจ่ายค่าบริการทำธุรกรรมให้ครบก็ได้รับความสะดวกทุกอย่าง

คำถามสำคัญคือ คนสัญชาติไทยหรือนักธุรกิจไทยไปจดทะเบียนนิติบุคคลในหมู่เกาะเหล่านี้ เพื่อรับสิทธิพิเศษต่างๆ เป็นการกระทำที่ถูกต้องหรือไม่ ?

ดร.มานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) อธิบายว่า ข้อมูลที่ได้จากสื่อมวลชนนั้น ยังไม่สามารถระบุว่าเป็นการคอร์รัปชั่นหรือทำผิดกฎหมายอะไรของไทยหรือไม่ เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นที่ต่างประเทศทั้งหมด กฎหมายไทยยังไม่ครอบคลุมไปถึง

“ไม่เหมือนของอเมริกา ถ้าใครถือสัญชาติอเมริกา ไม่ว่าจะทำธุรกิจหรือธุรกรรมอะไรที่ประเทศไหนก็ตาม หากมีกำไรหรือรายได้ ต้องเอามาจ่ายภาษี เช่น คนไทยที่ได้กรีนการ์ดเป็นสัญชาติอเมริกา แล้วคุณพ่อยกมรดกที่เมืองไทยให้ เขาก็ต้องเอาไปคำนวณหักภาษีที่อเมริกา”

สำหรับกรณีเอกสารลับจาก มอสแซก ฟอนเซกา ดร.มานะแสดงความเห็นว่า ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างละเอียด ถ้าเป็นเอกชนก็ต้องดูว่าเอาเงินไปทำอะไร มีการทำผิดกฎหมายไทยข้อไหนหรือไม่ แต่หากเป็นนักการเมือง อดีตนักการเมือง หรือข้าราชการ ให้ถือว่าผิดจริยธรรมก่อนในเบื้องต้น แล้วสืบเสาะต่อว่า เงินที่เอาไปต่างประเทศนั้นมีที่มาอย่างไร มีการใช้ตำแหน่งหน้าที่ หรืออำนาจในทางมิชอบหรือไม่ ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ควรช่วยกันตรวจสอบว่าเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินผิดกฎหมายหรือไม่ อย่างไร และเน้นให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย หากหน่วยงานรัฐเห็นว่ามีมูลทำให้ประเทศเสียหายก็ควรช่วยกันตรวจสอบ

ด้าน ผู้เชี่ยวชาญจากกรมสรรพากร แสดงความเห็นว่า การนำเงินออกนอกประเทศไทยเพื่อไปลงทุนหรือทำการค้านั้น ไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมาย แต่ต้องขออนุญาตธนาคารแห่งชาติว่าต้องการนำออกไปจำนวนเท่าไร เพื่อประกอบการลงทุนหรือทำธุรกิจที่ประเทศใด แล้วก็ต้องจ่ายภาษีตามที่กำหนดเมื่อนำเงินกลับเข้ามาในไทย

“ถ้าเป็นคนปกติ ขั้นตอนนำเงินออกจะแจ้งหลักฐานชัดเจน แต่ถ้าไม่ปกติ อาจลักลอบเอาเงินผ่านบริษัทรับฟอกเงิน บริษัททัวร์ หรือศูนย์รับแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ พวกนี้ปกปิดที่มาของเงินลูกค้าเก่งมาก เอาเข้าไทย เอาออกไทย ได้สบายๆ ไม่ค่อยมีเจ้าหน้าที่ไปตรวจจับ เพราะต้องใช้เวลาสืบหาหลักฐานหลายขั้นตอน”

พร้อมยกตัวอย่างให้ฟังต่อว่า กรณีเอกสารลับปานามานั้น เกี่ยวกับเกาะบริติช เวอร์จิน ที่เคยมีคดีตัวอย่างของ “บริษัท แอมเพิลริช” ที่พัวพันกับบริษัทในเครือทักษิณ ชินวัตร

สำหรับขั้นตอนการตรวจสอบสามารถทำได้ โดยไล่เรียงข้อมูลรายชื่อที่ปรากฏอยู่ในเอกสารลับ แจ้งให้นำหลักฐานย้อนหลังมาชี้แจงการนำเงินเข้า-ออกนอกประเทศไทย ตามขั้นตอนแบงก์ชาติกำหนดไว้ ส่วนกรมสรรพากรมีหน้าที่ไปตรวจสอบด้านลึกว่า ได้เสียภาษีที่ประเทศใดบ้างก่อนนำเงินกลับเข้ามาไทย หรือมีการซื้อขายสินค้าและบริการในราคาสูงต่ำแตกต่างจากท้องตลาดหรือไม่ ที่ผ่านมาหน่วยงานรัฐไม่มีรายชื่อเหล่านี้ เพราะถูกซ่อนเร้นปกปิดไว้ ตอนนี้มีเป้าหมายชัดเจนแล้ว ขึ้นอยู่กับหน่วยงานต่างๆ ว่าจะประสานกันทำงานอย่างไร

“ในมุมมองของผู้มีหน้าที่เก็บภาษี เรื่องนี้ง่าย ไม่ต้องแก้ตัวหรือชี้แจงอะไรมาก เพราะใครหรือบริษัทใดทำธุรกิจถูกต้องชอบธรรมไม่คิดหลบเลี่ยงภาษี ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ก็ไม่เคยตรวจพบว่ามีชื่อข้องเกี่ยวกับพวกออฟชอร์ คอมพานี หรือบริษัทเงาตามหมู่เกาะต่างๆ ถ้าใครมีชื่อไปเกี่ยวข้อง แสดงว่าอยากหลบเลี่ยงหรืออยากปิดบังอะไรบางอย่าง เพราะต้องการสิทธิพิเศษในการรักษาความลับ” ผู้เชี่ยวชาญจากกรมสรรพากรกล่าวยืนยัน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 5 เมษายน เกี่ยวกับเอกสารลับปานามาว่า กำลังให้สอบสวนว่ามีรายชื่อคนไทยเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินและหลีกเหลี่ยงภาษีหรือไม่ หากเป็นเรื่องจริงถือว่าดี เพราะมีคนชี้เป้า แต่หลักฐานครั้งนี้ออกมาจากสื่อมวลชน ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน ถ้าผิดก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย

“ไอซีไอเจ” ประกาศว่า ข้อมูลที่ออกมาเป็นแค่น้ำจิ้มเบื้องต้นเท่านั้น ภายในเดือนพฤษภาคม มีเอกสารลับเปิดเผยเพิ่มเติม เชื่อว่าทุกคนจะตื่นตะลึงมากกว่านี้

ตามเป้าหมายของ  “จอห์น โด” ที่ตั้งไว้ว่า

ต้องการเปิดโปงอาชญากรรมนี้ให้โลกรับรู้ !

กลยุทธ์ “ฟอกเงิน”

คณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงิน  หรือ “FATF” (Financial Action Task Force )องค์กรระหว่างประเทศดูแลการปราบปรามการฟอกเงิน อธิบายว่า

“การฟอกเงิน” (Money Laundering) หมายถึง“การแปรรูปผลประโยชน์จากอาชญากรรมหรือเงินรายได้ที่มาจากการทำผิดกฎหมาย ให้เป็นเงินถูกต้องตามกฎหมาย”

เช่น ผ่านการฝากธนาคาร ซื้อรถหรู ซื้อหุ้น ซื้อบ้านและที่ดิน โดยมี 4 ขั้นตอนเบื้องต้น ดังนี้

1 นำเงินสดหรือทรัพย์สินมีค่าที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ทันทีเช่น ทองคำ เพชร

ส่งออกไปเก็บในต่างประเทศ

2 เอาเงินเหล่านั้นไปผ่านธนาคาร หรือทำธุรกิจบางอย่าง เพื่อให้กลายเป็นรายได้หรือมีหลักฐานแหล่งที่มาของรายได้ เรียกกันว่า “ธุรกรรมอำพราง”

3 นำเงินตราและทรัพย์สินกลับเข้าประเทศเป็นของตัวเองอีกครั้ง พร้อมสำแดงหลักฐานว่ามีแหล่งที่มาของรายได้อย่างไร ก่อนนำไปใช้จ่ายตามปกติ

ไทย “ลักลอบ” นำเงินออกอันดับที่ 13 ของโลก

31 ก.ค. 2557 องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) อ้างอิงข้อมูลจาก Global Financial Integrity (GFI) ระบุว่าช่วงปี 2001-2010 ประเทศไทยลักลอบนำเงินออกจากประเทศติดอันดับที่ 13 จาก 143 ประเทศทั่วโลก

ปี 2001 จำนวน 6.6 หมื่นล้านบาท ปี 2010 เพิ่มขึ้น 6 เท่าเป็น 3.7แสนล้านบาท เฉลี่ยปีละ 2 แสนล้านบาท

Leave a comment