ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160406/225409.html
คำถามเจ้าปัญหา : ขยายปมร้อน สำนักข่าวเนชั่น โดย อรรถยุทธ บุตรศรีภูมิ
เหมือนจะจบแต่ยังไม่จบ เพราะแม้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับสมบูรณ์จะเสร็จสิ้นเพื่อรอทำประชามติแล้ว แต่เรื่องเจ้าปัญหากลับมาปรากฏในกระบวนการคำถามที่จะประกบไปกับคำถามประชามติหลักที่ว่า ประชาชนเห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้หรือไม่
โดยกระบวการตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ฉบับแก้ไข ระบุว่า สภานิติบัญญัติแห่งชาติสามารถเสนอประเด็นอื่นใดไม่เกินหนึ่งประเด็น ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งจัดให้มีการออกเสียงประชามติเพิ่มเติมว่าจะให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบพร้อมไปในคราวเดียวกันด้วยก็ได้ ซึ่งเรามักจะเรียกกันว่า “คำถามพ่วง” หรือ “คำถามประกบ”
ทั้งนี้คำถามพ่วงนี้ รัฐธรรมนูญชั่วคราวยังกำหนดให้ฟังความเห็นของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศประกอบไปด้วย
และเมื่อวันศุกร์ ที่ผ่านมา สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศก็ได้มีมติเลือกคำถามที่จะเสนอ โดยคำถามระบุว่า “จะให้รัฐสภาลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีหรือไม่” แปลความหมายง่ายๆ ว่า “จะให้ ส.ว.เข้ามามีส่วนร่วมในการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีกับ ส.ส.หรือไม่”
ที่น่าสนใจและเป็นนัยคือ ส.ว.ที่ว่าคือ ส.ว.ชุดเฉพาะกิจ ที่บทเฉพาะกาลตามร่างรัฐธรรมนูญของ “มีชัย ฤชุพันธ์ุ” กำหนดให้มาจาการเลือกของ คสช. ทั้ง 250 คน
ประเด็นจึึงอยู่ที่ว่า หากคำถามเช่นว่าผ่านประชามติจริง ผลที่เกิดขึ้นคือ ส.ว.แต่งตั้งที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งหรือมีส่วนเกี่ยวโยงกับประชาชน จะมีสิทธิร่วมเลือกนายกรัฐมนตรี มีศักดิ์และสิทธิ์เท่ากับ ส.ส. ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อมีอำนาจในการเลือกนายกฯ ก็ย่อมจะมีอำนาจในการอภิปรายไม่ไว้วางใจพ่วงติดตามมาด้วย
และแน่นอนว่า ข้อสงสัยเรื่องการสืบทอดอำนาจก็ยิ่งเด่นชัดขึ้น
แม้จะปฏิเสธว่าเป็นความต้องการของ สปท. ที่จะถามคำถามเช่นนี้เอง ไม่เกี่ยวกับ “ใบสั่ง” จากผู้มีอำนาจ แต่ชื่อคนที่โหวตหลักๆ ก็ชวนให้คิดถึงความเชื่อมโยงกับปรากฏการณ์ เช่น การลงคะแนนเห็นด้วยของ “ทินพันธุ์ นาคะตะ” และ “วลัยรัตน์ ศรีอรุณ” ประธานและรองประธาน ซึ่งตามปกติแล้ว คนที่เป็นประธานหรือรองประธานมักจะงดออกเสียง
หรือการลงคะแนนของ “ฐิติวัจน์ กำลังเอก” ที่ถูกมองว่ามีความใกล้ชิดกัับผู้มีอำนาจและมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าเขาเป็นหนึ่งในแกนนำเดินหน้าคว่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับ “บวรศักดิ์ อุวรรณโณ” หรือ สปท. สายทหารตำรวจที่ลงคะแนนไปในทางเดียวกัน จนมีคะแนนท่วมท้นถึง 136 เสียง จาก 151 เสียง
ซึ่งทันทีที่ สปท.ลงคะแนนสนับสนุนคำถามนี้ เหล่า สนช.บางส่วนก็ออกมาแสดงความเห็นที่สอดรับ ในทำนองที่แม้ไม่บอกตรงๆ แต่ก็ตีความได้ไม่ยากว่า พวกเขาสนับสนุนในแนวทางนี้ นอกจากนี้ยังมีการเปิดเผยด้วยว่าแนวคำถามจากกรรมาธิการสามัญของ สนช. ที่เสนอมาจากหลายคณะก็มีบางคณะที่ถามลักษณะที่คล้ายกับ สปท.
โดยวันที่ 7 เมษายน ที่จะถึงนี้ พวกเขาจะพิจารณาว่าจะถามคำถามหรือไม่ และถามคำถามอะไร ซึ่งจะเป็นวันชี้ชะตาว่า คำถามประกบที่เสนอไปนั้นจะกลายเป็นประเด็นหลักหรือไม่
น่าสนใจว่า ทำไม “มีชัย” ถึงไม่ใส่เรื่องนี้ไว้ร่างรัฐธรรมนูญเพื่อให้ผ่านความเห็นไปในคราวเดียว ซึ่งดูเหมือนจะง่ายกว่า
เรื่องนี้มีความเป็นไปได้ใน 3 ทฤษฎี 1. “มีชัยและคณะ” เล็งเห็นว่า การบัญญัติดังกล่าวจะก่อให้เกิดปัญหา จึงไม่ยอมทำตามความต้องการของ คสช. และให้อำนาจเท่าที่ให้ได้ ทำให้ผู้ที่อยากได้ต้องดิ้นรนมาออกในทางนี้
2.ทั้งผู้มีอำนาจและคนร่างเองต่างก็เห็นตรงกันว่า เรื่องนี้ถือเป็นประเด็นร้อน หากบรรจุในร่างรัฐธรรมนูญก็อาจจะทำให้กระแสต่อต้านรัฐธรรมนูญพุ่งสูงจนถึงขั้นรัฐธรรมนูญไม่ผ่าน ดังนั้นแม้อยากได้ก็ยังไม่ทำ จึงนำไปผ่านกระบวนการประชามติ ซึ่งหากที่สุดแล้วผลออกมาเห็นด้วย พวกเขาก็บรรจุไว้ในร่างรัฐธรรมนูญได้อยู่ดี หรือตอนท้าย แม้ร่างรัฐธรรมนูญจะไม่ผ่าน แต่ประเด็นนี้ผ่านประชามติ ก็จะเหมือนเป็นความชอบธรรมที่จะเขียนเรื่องนี้ไว้ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
และทฤษฎีที่ 3.เป็นการจัดการงานนอกสั่งของคนที่หวังจะกลับมามีบทบาทอีกครั้งในฐานะ ส.ว.สรรหา
ไม่ว่าจะเป็นทฤษฎีไหน แต่ผู้มีีอำนาจคิดและตัดสินใจในขั้นสุดท้ายพึงระมัดระวังและใช้วิจารณญาณสูงสุด เพราะคำถามเช่นว่าอาจส่งผลต่อความขัดแย้งให้พุ่งสูงสุดขีดอีกครั้งหนึ่ง อีกทั้งหากผ่านแล้วก็ย่อมทำให้สภาพการเมืองในอนาคตของไทยกลับสู่สภาวะประชาธิปไตยครึ่งใบอย่างสมบูรณ์แบบ
จริงๆ ยังมีคำถามอื่นที่น่าถาม เช่น การศึกษาฟรีของเราจะให้ถึง ม.3 หรือ ม.6. หรือระบบการเลือกตั้งว่าจะใช้บัตรใบเดียวหรือบัตรสองใบ ยกเว้นแต่ว่า พวกท่านกำลังหมกมุ่นกับอำนาจทางการเมืองเฉพาะหน้า
สนช. เท่านั้น ที่จะตอบคำถามนี้
