‘ชวน’ชี้บทบัญญัติรธน.ไม่ใช่ปัญหา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160403/225256.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน 2559
'ชวน'ชี้บทบัญญัติรธน.ไม่ใช่ปัญหา

‘ชวน’ชี้บทบัญญัติรธน.ไม่ใช่ปัญหา ด้าน ‘เจษฎ์’ เผยผู้ยกร่างไม่เป็นอิสระ ขณะที่ ‘บรรเจิด’ ชี้เป็นความหวังของประชาชน

             เมื่อเวลา 09.15 น. วันที่ 3 เม.ย.59 ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น หลักสี่ สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ จัดงานสัมมนาทางวิชาการ เนื่องในวาระสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญครบรอบ 18 ปี มีการอภิปรายในหัวข้อ “ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้อะไรกับประเทศชาติและประชาชน” โดยตัวแทนนักศึกษาหลักสูตรหลักนิติธรรมเพื่อประชาธิปไตย(นธป.) รุ่นที่ 1-4 ประกอบด้วย นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี นายชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม ประธานกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน นายเจษฏ์ โทณะวณิก คณะบดีคณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์มหาวิทยาลัยบัณฑิต และนายบรรเจิด สิงคะเนติ คณบดีคณะนิติศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์

นายเจษฏ์ กล่าวว่า ตนเห็นใจผู้ร่างรัฐธรรมนูญในประเทศไทย เพราะทุกคนมองว่าเป็นยาวิเศษที่จะแก้ปัญหาประเทศชาติได้ทั้งหมด ทั้งนี้กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ (กมธ.) และคณะกรรมการร่างรัฐนูญ (กรธ.)ไม่มีความเป็นอิสระในการยกร่าง เนื่องจาก มีกรอบมาตรา35ของรัฐธรรมนูญฯฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557เป็นแนวทางในการร่าง และบรรดาแม่น้ำ5สายต่างก็มีอิทธิพลที่สามารถเปลี่ยนแปลงเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญได้ และมีจดหมายมายังกรธ. ที่กำหนดชัดเจนว่า รัฐธรรมนูญ ควรมีอะไรอยู่บ้าง และกรธ.ก็นำไปใส่ไว้ในบทเฉพาะกาล และยังมีประเด็นคำถามที่จะพ่วงต่อประชามติที่มาจากสปท. ซึ่งไม่ได้มาจากการรับฟังจากประชาชน เพราะวันนี้ชาวบ้านเข้าใจว่า วุฒิสภาคือสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะนำมาสู่การเลือกนายกรัฐมนตรี

ทั้งนี้ที่ผ่านมา รัฐธรรมนูญหลายฉบับก็มีความปรารถนาดีต่อบ้านเมือง โดยหวังว่าจะแก้ปัญหาทางการเมืองในอดีต แต่ทั้งหมดก็นำไปสู่การเกิดการยึดอำนาจ ดังนั้นตนหวังว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ จะมีทางออกให้กับบ้านเมืองและมีแนวทางการปฏิรูปตามปณิธานของผู้ที่เข้ามาแก้ไขปัญหาประเทศ

ขณะที่นายชวน กล่าวว่า ตนไม่ได้มีประสบการณ์ในการร่างรัฐธรรมนูญ ตนเป็นผู้ใช้รัฐธรรมนูญมากกว่า ซึ่งวิวัฒนาการของประชาธิปไตยได้ก้าวหน้ามาโดยลำดับ จากเดิมรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้มีส.ว.แต่งตั้ง มีสิทธิเกือบเท่าส.ส. และได้เปลี่ยนแปลงก้าวหน้ามาโดยลำดับ มีการยกร่างให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ซึ่งในทัศนของผู้ปฎิบัติอย่างตน บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญไม่ใช่ตัวปัญหาของบ้านเมือง แต่เกิดจากละเมิดบทบัญญัติของผู้ใช้กฎหมาย และเมื่อไม่ได้เกิดจากบทบัญญัติ เราก็ต้องยึดแนวทางประชาธิไตย ยึดหลักนิติธรรม ระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่เงื่อนไขที่ทำให้ประเทศไม่ก้าวหน้า แต่เป็นเรื่องของภาคปฎิบัติไม่ใช่ทฤษฎี เป็นเรื่องของคน

ทั้งนี้เราผ่านมา 84 ปี เรายึดในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ใช่ยึดหลักเผด็จการอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือระบอบอื่นๆ ในอดีตอุปสรรค คือ ทหารยึดอำนาจโดยไม่มีเหตุผล แต่ปัจจุบันทหารไม่ใช่เงื่อนไขและอุปสรรคต่อระบอบประชาธิปไตย แต่เป็นธุรกิจการเมือง ที่เป็นเงื่อนไขในการสร้างเงื่อนไขให้ทหารยึดอำนาจ การยึดอำนาจตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค.57 ผ่านมาเกือบ 2 ปี เราเคยได้ความจริงหรือเรียนรู้จากการยึดอำนาจหรือไม่ ว่า ทำไมเหตุการณ์บ้านเมืองถึงขั้นต้องล้มล้างรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญปี 50 เลวร้ายอย่างไร ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ประชาชนต้องรับรู้

นอกจากนี้ ตนเห็นใจผู้ร่างฯว่าไม่อิสระ เพราะรู้ว่าผู้ร่างมาจากไหน และจำเป็นต้องทำบางอย่าง การร่างรัฐธรรมนูญเพื่อป้องกันการคอร์รัปชั่นเป็นเรื่องที่ดี แต่รัฐธรรมนูญไม่ใช่กฎหมายที่จะร่างมาเพื่อปราบคอร์รัปชั่น แท้จริงแล้วรัฐธรรมนูญไม่ได้เขียนให้ปราบคอร์รัปชั่น เพราะรัฐธรรมนูญต้องกำหนดหน้าที่ บทบาท องค์กรที่เป็นกลไกของประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถค้านอำนาจซึ่งกันและกันได้ แต่ก็ถือเป็นกลยุทธที่ดี ว่า ถ้าใครคัดค้านรัฐธรรมนูญแสดงว่าเห็นด้วยกับคอรัปชั่น ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ทำให้คนยอมรับ

อย่างไรก็ตามหลักการที่จะรักษาประชาธิปไตย ที่จะทำให้บ้านเมืองไปข้างหน้า อย่าไปมุ่งตัวรัฐธรรมนูญว่าเป็นตัวชี้ชะตา รัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือในปกครองประเทศ การเลือกตั้งแป็นหัวใจของประชาธิปไตย ถึงว่าไม่ได้คนดีเท่าที่ควร แต่การแต่งตั้ง ก็ได้คนดีทั้งหมดหรือไม่ ระบบไม่ว่าจะแต่งตั้งหรือเลือกตั้ง มีโอกาสได้คนดีและไม่ดี อย่ากลัวและหนีการเลือกตั้ง มันไม่ดีตรงไหนแก้ไป บ้านเมือเราได้พัฒนาไปมาก ในช่วง 84 ที่ผ่านมา มีช่วงทหารปกครองจากการยึดอำนาจพอกับรัฐบาลเลือกตั้งด้วยซ้ำไป เรามาไกลแล้วเราสะดุดล้มไป ต้องลุกขึ้น ชักชะงักบ้างไม่เป็นไร อย่าถึงกับถอยหลังก็พอ รัฐธรรมนูญฉันใดก็ฉันนั้น

ด้านนายบรรเจิด กล่าวว่า ร่างรัฐธรรมนูญมีจุดเด่นเรื่องมาตรการป้องกันและการปราบทุจริต มีการวางกลไกลแก้ปัญหาเพื่อเป็นทางออกของประเทศ มีการวงกลไกลเรื่องรักษาวินัยการเงินการคลัง และมีการวางหลักเกณฑ์ปฏิรูป ส่วนประเด็นที่เป็นข้อห่วงกังวลเพราะเป็นเรื่องใหม่ที่ยังไม่เคยใช้ อาทิ เรื่องการเลือกตั้งที่ใช้บัตรใบเดียว ที่มีความกังวลเรื่องการซื้อเสียงความเป็นกลางเรื่องการนับคะแนนและผลของการนับคะแนน และระบบการได้มาของ ส.ว.ที่เป็นการเลือกกันเองก็เป็นระบบใหม่ และมีความกังวลว่าอาจจะนำไปสู่การล็อคกันได้ และประเด็นเรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ที่มีการวางกลไกการแก้ไขไว้ยากมาก แต่อย่างไรก็ตามร่างรัฐธรรมนูญอาจจะมีทั้งจุดเด่นจุดอ่อนหลายประการ หากมีการใช้อาจจะมีการปรับแก้จุดอ่อนได้ อย่างไรก็ตามคิดว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ให้ความหวังกับประชาชน อย่างน้อยในวันลงประชามติประชาชนก็จะเลือกว่าบ้านเมืองจะเดินหน้าไปอย่างไร
7เม.ย.สนช.เคาะคำถามพ่วงประชามติ

นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ให้สัมภาษณ์ถึงการเสนอคำถามพ่วงประชามติ ว่า ในวันที่ 7 เม.ย.จะได้คำตอบว่า สนช.จะตั้งคำถามหรือไม่ ซึ่งต้องนำข้อเสนอของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) มาร่วมพิจารณาด้วย ว่าเป็นอย่างไร ดีหรือไม่ ตรงไม่ขอวิจารณ์เพราะจะเป็นการชี้นำสนช. เพราะขณะนี้สนช.ก็มีความคิดหลากหลายแตกต่างกันไป แต่ก็ยังไม่ได้ข้อยุติ

นายพรเพชร กล่าวว่า สำหรับคำถามของสปท.ที่เสนอว่าให้รัฐสภาโหวตเลือกนายกฯในช่วง 5 ปีเปลี่ยนผ่าน ตนเห็นว่า คำถามนี้ เป็นการตั้งคำถามที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการกำหนดแนวทางของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่อยู่ในระยะเปลี่ยนผ่านที่ต้องดำเนินต่อไป ซึ่งเป็นคำถามที่ตรงประเด็นเป็นคำถามที่ถูกต้อง เพราะมีประเด็นเดียว จะไปถามอย่างอื่นคงไม่ได้ แต่ตรงนี้ไม่ได้หมายความว่าตนเห็นด้วยหรือเห็นชอบ คงต้องฟังความเห็นของสนช.ด้วย ทั้งคำถามต้องตรงประเด็นไม่ต้องตีความกันมาก ตั้งมาแล้วประชาชนต้องเข้าใจทันที

 

กมธ.ตัดเรื่องใช้เครื่องลงคะแนนทำประชามติ
               ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าในการจัดทำ ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ที่คณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้วและจะนำเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในวันพฤหัสนี้ (7 เม.ย.) ซึ่งคณะกรรมาธิการได้แก้ไขไปจากร่างเดิมของคณะกรรมการการเลือกตั้งในหลายประเด็น โดยประเด็นสำคัญประเด็นหนึ่งที่มีการแก้ไข คือ เรื่องการใช้เครื่องลงคะแนนในการออกเสียงประชามติ โดยคณะกรรมาธิการได้ตัดออก
               ทั้งนี้ในร่างเดิมกำหนดไว้ในมาตรา 13 ว่าการลงคะแนนให้ใช้วิธีกากบาทในบัตรเลือกตั้ง หรือวิธีการอื่นในเครื่องลงคะแนน โดยคณะกรรมาธิการได้ตัดประโยคท้ายที่กำหนดว่า “หรือวิธีการอื่นในเครื่องลงคะแนน” ออก และแก้ไขตัดข้อความเกี่ยวกับการลงคะแนนด้วยเครื่องในมาตราอื่นออกทั้งหมด
               ทั้งนี้การกำหนดให้ใช้เครื่องลงคะแนนในการออกเสียงได้ถูกกำหนดไว้ในร่าง พรบ.นี้ครั้งแรก หากผ่านออกมา การทำประชามติครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่มีการออกเสียงผ่านเครื่องลงคะแนน ซึ่งในการพิจารณารับหลักการร่าง พรบ.นี้ของ สนช. เมื่อวันที่ 18 มีนาคม ที่ผ่านมาสมาชิกหลายคนได้อภิปรายแสดงความไม่เห็นด้วยกับการใช้เครื่องลงคะแนนอย่าง เพราะเกรงว่าจะเกิดปัญหาในภายหลัง ควรใช้กับการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นจะเหมาะสมกว่า
               นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ สนช.ซึ่งเป็นกรรมาธิการพิจารณาร่าง พรบ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า ที่ กมธ.ตัดเรื่องการใช้เครื่องลงคะแนนในการออกเสียงลงประชามติออกไปเพราะเหตุผลในการใช้เครื่องลงคะแนนของผู้เสนอร่างกฎหมายคือ กกต. คือ เพื่อทดลองใช้เครื่องลงคะแนน ซึ่งคณะกรรมาธิการเห็นว่าหากจะทดลองใช้ควรทดลองกับการเลือกตั้งในระดับท้องถิ่นจะดีกว่า ไม่ใช่เริ่มทดลองด้วยการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นงานระดับชาติ
               ทั้งนี้เดิม กกต.เตรียมเครื่องสำหรับลงคะแนนไว้ทั้งหมด 14 เครื่องโดยจะทดลองใน 2 จังหวัด คือ กทม. และ ภูเก็ต

“คสช.”ย้ำไม่ได้บ้าอำนาจ ถาม“บิ๊กจิ๋ว” 

แหล่งข่าวจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เปิดเผยถึงกรณีที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ระบุถึงสาเหตุที่ต้องยกเลิกนัดแถลงข่าวกับสื่อมวลชนในวันที่ 4 เม.ย.นี้ เพราะเกรงว่าจะส่งผบกระทบข้าราชการที่ทำงานอยู่ในพื้นที่ว่า เป็นข้อกล่าวหาที่แรง ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐบาลและคสช.ว่าบ้าอำนาจ ซึ่งพล.อ.ชวลิตพูดเองว่ายังไม่แน่ใจว่ามีการห้ามจริงหรือไม่ แต่มีการให้ข่าวไปแล้ว จึงเกิดความเสียหายขึ้น พล.อ.ชวลิตก็เป็นผู้ใหญ่ในบ้านในเมืองไม่น่าจะคิดไม่ออก และไม่ทราบว่าไปเอาข่าวมาจากไหนว่ารัฐบาล และคสช. สั่งห้ามการแถลงข่าว โดยเอาข้าราชการในจังหวัดเป็นเดิมพัน เป็นการมโนไปเองหรือไม่ หรือเป็นการปล่อยข่าวเพื่อผลทางการเมือง

“อย่างไรก็ตามการออกมาวิพากษ์วิจารณ์ให้ข้อคิดเห็นคสช.นั้นสามารถทำได้ แต่ขอให้เป็นไปอย่างสร้างสรรค์ ไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งและแตกแยก บ้านเมืองมีปัญหามามากแล้วเพราะคนบางกลุ่มสร้างเครือข่ายอำนาจ เพื่อผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง ทำการบริหารประเทศอย่างฉ้อฉล จนเกิดการขัดแย้งรุนแรง คสช.จึงจำเป็นต้องเข้ามาเพื่อแก้ไขปัญหาในจุดนี้ “ยืนยันว่ารัฐบาล และคสช. กำลังใช้ความพยายามนำพาประเทศให้ก้าวไปข้างหน้า เพื่อให้พ้นจากปัญหาที่เกิดขึ้น จึงอยากจะขอให้เห็นแก่ประเทศชาติ โดยละเว้นการดำเนินการใดๆ ที่อาจก่อให้เกิดปัญหา ละเว้นผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องไว้ก่อน”  แหล่งข่าวจากคสช. กล่าว

Leave a comment