ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160330/224983.html
นิยามประชาธิปไตยในรัฐธรรมนูญ : ขยายปมร้อน อรรถยุทธ บุตรศรีภูมิ
ถือว่าเสร็จสิ้นภารกิจร่างรัฐธรรมนูญลงไปแล้ว จากนี้ไปก็เข้าสู่โหมดการทำประชามติ โดยการตัดสินใจจะอยู่ที่ประชาชนว่าจะรับหรือไม่รับผลงานที่ “มีชัย ฤชุพันธุ์” และคณะใช้เวลาร่วมหกเดือนในการเขียนขึ้นมา
น่าสนใจว่าคอนเซ็ปต์ที่ “มีชัย” เขียนรัฐธรรมนูญนั้นเป็นอย่างไร ที่แน่ๆระหว่างการแถลงได้นิยามคำว่า “ประชาธิปไตย” ในแบบของเขาว่า “ประชาธิปไตยไม่ใช่ให้ประชาชนเป็นใหญ่ แต่ประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่” หากทำความเข้าใจประโยคนี้ดีจะเห็นภาพทั้งหมดที่เขาใส่ไว้ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้
หมายถึง ประชาชนไม่จำเป็นต้องเป็นผู้กำหนดสิ่งที่ควรได้ด้วยตัวเอง หรือมีส่วนร่วมทางการเมืองใดๆ และเป็นได้แค่ผู้รับการจัดสรรประโยชน์จาก “ผู้ให้”
ดังนันทั้งร่างรัฐธรรมนูญ เราจึงได้เห็นอำนาจที่เหนือกว่าคอยบงการสิ่งต่างๆ โดยอ้างประโยชน์ของประชาชน โดยที่ประชาชนไม่สามารถบอกได้ด้วยซ้ำว่านี่คือผลประโยชน์ของพวกเขาจริงหรือไม่
ตัวอย่างชัดที่สุดอยู่ที่มาตราซึ่งว่าด้วย “ส.ว.” ซึ่งไม่ว่าทั้งที่มาหรืออำนาจก็มีปัญหาทั้งสิ้น โดยเฉพาะในบทเฉพาะกาล
ในส่วนของที่มานั้น “มีชัย” รับแบบไม่เหนียมว่าเมื่อขอมาจึงจัดให้ เราจึงได้เห็นว่า ส.ว.จำนวน 250 คนนั้นล้วนมาจาก คสช.ทั้งสิ้น โดย 200 คนแรกให้มีกรรมการสรรหาที่แต่งตั้งจาก คสช.นั่นแหละมาคัดเลือกคน 400 คน และ คสช. เป็นผู้เลือกเหลือ 194 คน ส่วนอีก 50 คนให้ไปดำเนินกระบวนการเลือกไขว้จนได้มา 200 คน และเป็น คสช.อีกเช่นกันที่จะเป็นคนจิ้มว่าใครจะมีสิทธิได้เป็น ส.ว. 50 คน
ส่วน 6 คนสุดท้าย แม้ คสช.จะไม่ได้เป็นคนเลือก แต่คือเหล่าบรรดาผู้นำเหล่าทัพไม่ว่าจะเป็น ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารอากาศ ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และปลัดกระทรวงกลาโหม
สรุปง่ายๆ ว่าทั้ง 250 คนล้วนก่อกำเนิดจากถิ่นเดียวกัน โอกาสที่จะแปลกแยกทางความคิดจึงเป็นไปแทบไม่ได้ เราจึงจะไม่เห็นสภาพ ส.ว.ที่แบ่งแยกกันอีกต่อไป หากแต่จะเห็น ส.ว.ที่ซ้ายหันขวาหันไปในทางเดียวกัน ยิ่งกว่านั้นยังมีขุนทหารเข้าไปนั่งคุมอยู่ในสภาอีกด้วย
ที่สำคัญคืออำนาจที่ ส.ว. ซึ่งจะมาจากการสรรหานั้นมีอย่างมหาศาลทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการที่รัฐบาลต้องมารายงานเรื่องการปฏิรูปทุกสามเดือน หรือการแต่งตั้งถอดถอนองค์กรอิสระ
แต่ที่น่าสนใจที่สุด คืออำนาจในการร่วมพิจารณากฎหมายที่ถูกยับยั้งในสภาไม่ว่าจะในสภาใดก็ตาม จะให้ ส.ว.มาร่วมพิจารณาในฐานะรัฐสภา
อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ว่า จากเดิมกระบวนการพิจารณากฎหมายนั้น สภาผู้แทนราษฎรจะมีอำนาจสูงสุด หากร่างกฎหมายใดเข้ามาแล้วตกไปตั้งแต่ชั้นสภาผู้แทนฯ ก็ถือว่ากฎหมายนั้นมีอันจบไป แต่หากผ่านก็ส่งไปต่อที่วุฒิสภา หากวุฒิสภาตีตกก็ต้องตั้งกรรมาธิการร่วมและให้โหวตอีกครั้ง หากยืนยันตีตกก็ให้สภาผู้แทนฯ นำกลับมาพิจารณาอีกครั้ง หากยืนยันมติให้ผ่านก็สามารถทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยเพื่อประกาศใช้ต่อไป
แต่แบบใหม่นี้ แม้จะถูกตีตกในชั้นสภาผู้แทนฯ ก็ต้องนำกลับมาพิจารณาอีกครั้งในที่ประชุมร่วมรัฐสภา หมายความว่าหาก ส.ส.อยากให้กฎหมายใดตกก็ไม่สามารถทำได้ด้วยตนเอง หรือกระทั่งหากอยากให้กฎหมายใดผ่านก็ไม่สามารถใช้อำนาจของสภาตัวเองยืนยันได้ หากแต่ต้องใช้เสียงของ ส.ว.มาร่วม
เท่ากับว่าในกระบวนการพิจารณากฎหมาย ส.ว.จะมีศักดิ์และสิทธิ์เท่า ส.ส. แม้ไม่ได้มาจากประชาชนก็ตาม และย่อมหมายความว่ารัฐบาลอาจต้องรับผิดชอบในกรณีกฎหมายสำคัญๆ ไม่ผ่าน แม้ว่าพวกเขาจะพยายามเต็มที่แล้วก็ตาม หรืออาจหมายถึงมีกฎหมายที่ขัดต่อนโยบาย แต่พวกเขาก็ขัดขวางไม่ได้เช่นกัน
แต่สิ่งที่กรรมการร่างรัฐธรรมนูญอธิบาย คืออะไรที่เป็นประโยชน์ก็เชื่อว่า ส.ว.ที่ทรงคุณวุฒิจะผ่านหรือพิจารณาอย่างรอบคอบ
นี่จึงเป็นตัวอย่างที่ว่า “ประโยชน์ของประชาชนที่มีผู้จัดสรรให้” โดยที่ “ประชาชนในฐานะผู้มีอำนาจสูงสุด” ไม่สามารถเลือกได้
นิยามประชาธิปไตยแบบสากลที่ว่า “การปกครองของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน” จึงถูก “มีชัย ฤชุพันธุ์” ลบทิ้งไป และได้ประชาธิปไตยแบบไทยๆ อย่างที่วาดฝันกันไว้ตั้งแต่วันที่ยึดอำนาจ
