ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160329/224973.html
‘บิ๊กตู่’ยันคิดหลักสูตรอบรมนักการเมืองเอง เตรียมออกเร็วๆนี้ แย้มมีโควต้าสื่อด้วย ฉุนสื่อเผยแพร่ภาพ รมช.ศึกษาถอดรองเท้าให้ ยอมขอโทษสังคมที่มีภาพออกไปไม่ดี
เมื่อวันที่ 29 มี.ค. เวลา 15.00น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี กรณีแนวคิดการเปิดหลักสูตรเรียกบุคคลเข้าปรับทัศนคติ ว่า อย่าใช้คำว่าปรับทัศนคติ หลักสูตรของตนที่คิดขึ้นมาเป็นเพราะเห็นว่าความขัดแย้งสูงขึ้น ในเมื่อทุกคนเรียกร้องอยากจะมีเวทีพูดคุย ก็ควรจะพูดคุยในสาระที่ควรคุยกัน ตนก็จะให้เวลามาพูดคุยกันสัก 3 วัน 5 วัน 7 วัน 15 วัน 30 วัน อบรมเรื่องการเมือง ธรรมาภิบาล ศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม เหมือนการเรียนหนังสือ สื่อมวลชนก็ด้วยมีโควตาในการเข้าอบรม ตนไม่ได้พูดเล่น
ผู้สื่อข่าวถามว่าการเปิดหลักสูตรนี้จะสามารถช่วยอะไรได้หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า คิดว่าคงไม่สามารถช่วยอะไรได้ จะไปช่วยอะไรได้ คนสมองมันเป็นแบบนี้ แต่อย่างน้อย ก็ไม่ต้องฟัง เขาพูดอยู่หลายวัน แต่เมื่อออกมาคงพูดใหม่อีก แต่พูดใหม่ก็เรียกมาอบรมใหม่ จะอบรม 3-4 รอบก็ได้ ไม่เห็นเป็นไร ไม่ได้เอาไปขังคุกเสียเมื่อไหร่ ต้องเข้าใจว่ากฎหมายคือกฎหมาย และต้องเข้าใจว่าอะไรคือคำสั่งกฎหมายพิเศษ และเข้าใจว่าอะไรเป็นพ.ร.บ.ความมั่นคง เมื่อสถานการณ์ไม่ปกติก็ต้องมีกฎหมายขึ้นมา เพื่อแก้ไขให้สถานการณ์เกิดความสงบเรียบร้อย หรือว่าสื่อไม่ต้องการ ถ้าไม่ต้องการจะยกเลิกให้ ออกไปตีกันบนท้องถนนเอาอีกไหม แล้วรับผิดชอบนะ
เมื่อถามว่าคาดหวังอะไรกับหลักสูตรดังกล่าว นายกฯ กล่าวว่า คาดหวังให้เขามาตอบคำถามกับครูของตน ว่าสิ่งที่พูดมาความหมายคืออะไร ถ้าเป็นสื่อก็ต้องถามว่าคอลัมที่เขียนมาหมายความว่าอย่างไร และตนจะให้คนของตนอธิบายว่าสิ่งที่เขียนมามันไม่ถูก โดยจะบอกว่ารัฐบาลกำลังทำอะไรอยู่ ถ้ายังไม่เข้าใจก็อบรมอีก เพราะตนพูดในสิ่งที่มันถูกเป็นข้อเท็จจริง ฉะนั้นอย่ามาบิดเบือน และตนจะเป็นคนกำหนดหลักสูตรเอง ทั้งเรื่องการเมือง คุณธรรม จริยธรรม สิ่งเหล่านี้ที่มันไม่มีกัน รวมถึงหลักสูตรการบริหารราชการแผ่นดิน ที่ทุกคนบอกว่าทหารทำไม่เป็น ซึ่งตนจะถามเขาว่าสิ่งที่ทำกันมามันถูกและผิดอย่างไร ตรงไหน
“ผมไม่ได้คาดหวังอะไรมากนักหรอก เพียงแต่ต้องการให้สังคมได้เห็นชัดเจน ว่าสิ่งที่เขาพูดมาเป็นอย่างไร ถูกหรือผิด ใช่หรือไม่ และสิ่งที่ผมพูดใช่หรือไม่ใช่ ผมทำทุกอย่าง แก้ปัญหาทุกอย่างก็ตีรำฟังแทงกับผมมาตลอด ขณะเดียวกันคดีความทางกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมก็ไม่รับ แล้วคนแบบนี้หรือ ที่คุณจะให้เขามาเป็นนักการเมือง มาบริหารประเทศแทนให้คุณหรือ ถ้าคุณเห็นคนเหล่านี้ทำดีกว่าผม ก็เชิญตามสบายเถอะ” นายกฯ กล่าว
นายกฯ กล่าวด้วยว่า หากสื่ออยากรู้เรื่องหลักสูตร ให้พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ใส่ชื่อเข้าไปเรียนในหลักสูตรแรก ทุกคนที่พูดไม่ดี พูดไม่ตรง พูดไม่ใช่ ให้เรียกอบรมหมด ก็ไปถกแถลงกัน ทุกพรรค ไม่ใช่พรรคนี้พรรคโน้น ทุกคนที่พูดไม่ตรงกับรัฐบาลพูด หรือสิ่งที่รัฐบาลทำ หรือไม่ตรงกับที่รัฐบาลให้โอกาส วิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริตทำเป็นไหม ตนจะให้คนเหล่านี้มาวิพากษ์วิจารณ์อยู่แบบนี้หรือ เสร็จแล้วก็ไปเรื่องรัฐธรรมนูญ ประชามติผ่านไม่ผ่าน มันอะไรกัน กระบวนการทางสมองมันผิดกันหรืออย่างไร ตนไม่เข้าใจ
“ผมไม่ใช่คนเรียนสูง แต่เอาชาติ ประชาชนเป็นที่ตั้ง ผมไม่ได้ทำงานเพื่อเงิน เพื่อผลประโยชน์ เพื่ออำนาจ ผมทำอย่างนี้มาตลอดชีวิต ไม่เคยคิดจะมายืนตรงนี้ ไม่เคยคิดจะเป็นผบ.ทบ. คิดแต่เพียงว่าจบเป็นร้อยตรีจะตายวันไหน เผอิญมันไม่ตาย แค่นั้นแหล่ะ”
นายกฯ กล่าวว่า หลักสูตรที่จะทำขึ้นมานั้นไม่ได้เป็นการขู่อะไร เพราะไม่ได้เอาไปฆ่าแกงอะไร ไม่ได้เอาถุงดำครอบหัว หรือเอาไปทรมาน จะทำให้เปลืองแรงทำไม ไม่ได้ประโยชน์อะไรสักอย่าง จะไปทรมานทำไม ข้าวก็เปลือง ทำอะไรทำก็นึกถึงครอบครัวบ้างจะลำบาก เพราะไม่อยู่บ้านหลายวันหรือเขาอาจจะดีใจก็ได้ โดยรับรองว่าจะดูแลเป็นอย่างดี แล้วอย่าลืมต้องเตรียมสอบด้วยทั้งประจำวัน ประจำสัปดาห์ ก่อนสิ้นสุดคอร์ส ถ้าไม่ผ่านก็เข้าคอร์สสอง มันต้องเรียนรู้ ถ้าคิดเองถามเองก็จะเป็นแบบนี้ เช่นเดียวกับตนในการประชุมครม.ต้องอ่านทุกเรื่อง รู้ทุกเรื่องถึงจะสั่งได้ ไม่ใช่พหูสูตที่จะรู้เอง คนจะบริหารราชการต้องอ่านหนังสือ ทหารตำรวจต้องอ่านหนังสือ ไม่ใช่ให้ลูกน้องทำมาแล้วเซ็นต์อย่างเดียว เพราะการเสนอเรื่องขึ้นมาบางครั้งไม่ตรงนโยบายที่ต้องการ เพราะวุฒิภาวะไม่เหมือนกัน ฉะนั้นต้องอ่าน ผู้นำต้องเป็นแบบนี้ มีความแตกต่างเป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง ถ้าทำแบบเดิมผิดๆถูกๆไปเรื่อย อย่ามาเป็นเลย คงต้องอบรมหลายรอบกว่าจะเป็นผู้นำ เผลอๆไม่ได้เป็น อบรมยาวไปเลยแล้วกัน ทั้งนี้ระยะเวลาการอบรมขึ้นอยู่ว่าเข้าใจแค่ไหน ถ้าเข้าใจมากเช้าไปเย็นกลับก็ได้
นายกฯ กล่าวว่า สำหรับนายวรชัย เหมมะ อดีตส.ส.พรรคเพื่อไทย ยังไม่ถือว่าสอบผ่าน เพราะยังไม่ได้เข้าหลักสูตรเลย ตอนนี้กำลังทำหลักสูตร อันนี้เป็นพวกเตรียมการเข้าอบรม พวกปรี(pre) โดยหลีกสูตรจะออกเร็วๆนี้ ฝ่ายความมั่นคงทำอยู่
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีเครื่องแบบให้ผู้ที่เข้าอบรมหรือไม่ นายกฯ ตอบอย่างมีอารมขันว่า ไอ้นี่ถามกวนประสาท คนเรียนอาจจะให้นั่งเรียนกลางแดดจะได้จำ และจะมีประกาศณียบัตรให้ด้วย อย่างน้อยก็หม้อใบหนึ่งเอาไว้ครอบหัวกลับบ้าน พอแล้วนะไร้สาระกันแล้ว
ส่วนกรณีนายวัฒนา ระบุว่าจัดหลักสูตรปรับทัศนคติก็ไม่ประสบความสำเร็จ และจะร้องไปยังสหประชาชาติ(ยูเอ็น) นายกฯ กล่าวว่า ก็ให้ร้องไป โดยวานนี้(28มี.ค.) ตนได้ชี้แจงกับ ปลัดกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ด้านกิจการพลเมือง ประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชน แล้ว ในโอกาสที่มาพบ และการเดินทางไปสหรัฐอเมริกาครั้งนี้ จะอธิบายถึงสถานการณ์ต่างๆในไทยด้วยหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าเขาถามหรือเปล่า แต่ที่ตนไปนั้นเป็นการประชุมเกี่ยวกับเรื่องนิวเคลียร์ โดยทางสหรัฐก็ไม่ได้รังเกียรติอะไรตนนักหรอก เว้นแต่พวกที่ต้องโดนเรียกมาอบรม ซึ่งเป็นคนในประเทศเราเอง เรื่องบางเรื่องเป็นภายในประเทศ บางเรื่องเป็นเรื่องของประชาคมโลก ยังไงก็หนีกันไม่ได้ ประเทศไทย คือประเทศไทย ตนบอกทุกประเทศอย่ามากังวล ตนมาเพื่อคนไทยประเทศไทย และทำให้นักการเมืองด้วย ซึ่งที่ผ่านมาทำอะไรให้กันบ้าง กฎหมายการค้า การลงทุนแก้กันให้เป็นสากลหรือเปล่า มีผลประโยชน์เรียกเขาหรือเปล่า
นายกฯ กล่าวอีกว่า ตนประกาศไปทุกประเทศ ต่อไปนี้ใครเรียกผลประโยชน์ ให้บอกมา ทุกประเทศ ทุกบริษัททั้งไทยและต่างประเทศให้ทำหนังสือมา จะสอบให้เดี๋ยวนั้น ไม่ว่าจะอ้างใครทั้งสิ้น เพราะตนบอกเสมอไม่ต้องการให้มีการทุจริต ถ้าวันใดก็ตามมีการชี้ทุจริตออกมา ก็ต้องลงโทษ แต่ตราบใดไม่มีก็ให้ไปหาหลักฐานมาอย่าพูดส่งเดช มันก็วุ่นไปหมด บ้านเมืองเสียหายอย่างนี้ ไม่เห็นได้อะไรขึ้นมา หากบอกว่าใครโกงให้เอาหลักฐานมารู้ไหมคนพูดแบบนี้จะโดนติดคุกนะ เสร็จแล้วมาบอกตนรังแกสื่อ รังแกสื่อในโซเชี่ยลมีเดีย มันผิดกฎหมายหรือเปล่า ละเมิดคนอื่นหรือเปล่า สอนคนแบบนี้บ้าง
เมื่อถามว่าที่นายกฯเคยระบุว่าเพื่อนก็ไม่เว้น หมายความว่าอย่างไร นายกฯ กล่าวว่า เป็นการพูดให้ฟัง ไม่ว่าจะเพื่อน ญาติ ทำไมจะต้องเป็นใครคนไหน ตนเพียงยกตัวอย่าง ซึ่งแม้แต่คนใกล้ชิดก็ทุจริตไม่ได้ เข้าใจหรือยัง ถึงจะชอบพอกันก็ละเว้นไม่ได้ ถ้าทำผิดกฎหมาย ตนต้องรักษากฎหมาย คสช.ภาษาอังกฤษ แปลว่าอะไร ต้องทำกฎหมายให้เป็นกฎหมายด้วยไม่ใช่หรือ วันนี้ตนทำทุกอย่างเดี๋ยวพอตนไปก็จะรู้ว่าทำอะไรไว้ให้บ้าง แล้ววันหน้าจะเกิดอะไรบ้าง สื่อก็ไปขึ้นบัญชีเอาก็แล้วกัน
ผู้สื่อข่าวายงานว่า ในการแถลงข่าวครั้งนี้นายกฯ เปิดโอกาสให้สื่อซักถามอย่างเต็มที่มากกว่า 5 คำถาม โดยบอกว่าจะไปภารกิจต่างประเทศหลายวัน กลัวว่าจะคิดถึงให้ถามเต็มที่มีอะไรก็ถามมา อย่างน้อยจะได้มีอะไรเขียนด่าตนอีกหลายวัน ซึ่งผู้สื่อข่าวได้อวยพรให้นายกฯเดินทางปลอดภัย พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวว่า มีพระดี ไม่ต้องห่วง แต่สื่อเป็นคนดีหรือเปล่า ขอให้ช่วยประเทศชาติ
ฉุนสื่อเผยแพร่ภาพรมช.ศึกษาถอดรองเท้าให้
ภายหลังเป็นประธานประชุมคณะรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงภาพที่พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการช่วยถอดรองเท้าให้นายกฯ ในช่วงเยี่ยมชมการจัดงาน “การศึกษาสร้างชาติ ตลาดคลองผดุงฯ…สร้างสุข” ในเช้าวันนี้ ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ ในโซเชียลมีเดีย ว่า “วันนี้ต้องขอโทษที่ทำให้หลายคนไม่สบายใจที่รุ่นน้องของผมถอดรองเท้าเพื่อวัดเท้าให้ เจตนารมณ์ผมไม่ได้มีอะไร แต่คนที่ส่งภาพออกไป ผมอยากบอกว่าจิตใจมันต่ำ ใครไม่รู้ ว่าจะไม่โมโหแล้วเชียว ผมไม่เคยดูถูกคน แต่มันเป็นเรื่องความผูกพัน ซึ่งเขามีน้ำใจกับผม แต่มันก็เป็นภาพที่ไม่สมควร ผมก็ขอโทษสังคมด้วยแล้วกัน”
ผู้สื่อข่าวถามว่า ทำไมวันนี้นายกรัฐมนตรีถึงดูมีอารมณ์หงุดหงิดมาก พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ความจริงไม่หงุดหงิดอะไร แต่มาหงุดหงิดไอ้เรื่องรองเท้า ใครถ่ายก็รู้อยู่ อย่ามาทำเป็นไม่รู้เรื่องก็อยู่ในกลุ่มพวกสื่อนี่แหละ ถ้าจะบอกว่าเหตุการณ์เมื่อเช้ามีสื่อมวลชนจำนวนมาก ผมก็ขอถามกลับว่า แล้วมันเป็นพวกใคร ไม่ใช่พวกเธอหรือ เป็นสื่อคนละพวกหรือ พวกเธอก็ต้องไปบอกว่าเรื่องอะไรมันสมควรหรือไม่สมควรนำเสนอต่อไป อะไรที่เป็นเรื่องของผม เรื่องภายใน เป็นเรื่องพี่น้องของผม แยกแยะให้ออกหน่อย จะมาบอกว่าเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วต้องอย่างนั้น อย่างนี้ ถ้าพวกคุณเลือกผมมา คุณจะสั่งผมอย่างไร คุณสั่งมาผมจะทำให้ แต่นี่ไม่ได้เลือกผมสักคน”
ปัดตอบพอใจหรือพอใจร่างรธน.ฉบับสมบูรณ์
พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ถึงร่างรัฐธรรมนูญฉบับสมบูรณ์ที่กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) ได้จัดส่งมาให้ ว่า ได้อ่านไปบ้างแล้ว ถามว่านะเป็นอย่างไรก็ตอบว่าก็เป็นอย่างนั้น จะให้เป็นอะไรได้ เมื่อให้มีการร่างมา กรธ. เขาก็ร่างมา ประชาชนก็เป็นผู้พิจารณาว่าจะผ่านหรือไม่ ถือเป็นเรื่องของประชาชน ถ้าไม่ผ่านตนก็ต้องทำอย่างอื่นต่อไปเท่านั้นเอง”
เมื่อถามว่า เท่าที่ดูแล้ว ร่างรัฐธรรมนูญที่ออกมาตรงกับใจที่คิดไว้หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “ผมไม่ได้คิดว่านะต้องตรงตามใจผม แต่ต้องตรงกับประเทศชาติว่าต้องการอะไร วันนี้ประเทศชาติต้องการความสงบสุขใช่หรือไม่ ต้องการการพัฒนาและปฏิรูปหรือไม่ ถ้าทุกคนบอกว่าไม่ต้องการการปฏิรูปก็ไม่ต้องไปผ่านมันเท่านั้นเอง ถ้าคิดว่านักการเมืองรุ่นใหม่หรือคนใหม่ รัฐบาลใหม่เขาทำได้ก็ทำไปสิ ผมจะไปยุ่งอะไรได้ และผมไม่มีคำว่าส่วนตัว ในเมื่อผมให้เกียรติทาง กรธ.เขาทำมา เขาก็ทำมา วันนี้ผมก็ให้เกียรติ กรธ. แม่น้ำ 4 สาย ทุกคนรับได้ ผมก็รับได้ แต่ไม่รู้ว่ารับกันได้หรือเปล่า ผมก็ไม่รู้”
เมื่อถามว่า แต่ทั้งหมดนายกฯ ในฐานะหัวหน้า คสช.ต้องรับผิดชอบทั้งหมด นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “รับผิดชอบอะไร เอาให้แน่ และเอาอย่างนี้ถ้าจะให้ผมรับผิดชอบ เดี๋ยวผมจะเลิกทั้งหมดเลย ผมทำได้ถ้าผมจะทำ แต่ผมก็ต้องการให้ทุกอย่างเดินหน้าต่อไปให้ได้ไปตามระบอบประชาธิปไตยที่ทุกคนอยากได้ ก็ทำไปแล้วถ้ามันเกิดอะไรขึ้นในวันหน้า มันต้องมีคนมารับผิดชอบร่วมกับผม จะไม่ให้ผมได้อะไรเลยหรือ หรือผมต้องเสียสละอยู่คนเดียว ชีวิตผมคนเดียวประเทศนี้มีเพียงผมคนเดียว ต้องเสียสละชีวิตคนเดียวอย่างนั้นหรือ เห็นแก่ตัวกันไปหรือเปล่า อย่างไรก็ตาม ไปพิจารณากันดูว่าจะให้ผ่านหรือไม่ผ่าน เพราะผมจะไปร่างเองก็ไม่ได้ ให้คนอื่นร่างก็ไม่ได้ แล้วจะเอาอย่างไรกัน จะต้องให้ไปยืมรัฐธรรมนูญใครเขามาอย่างนั้นหรือ ถ้าไม่รู้จักว่าประเทศไทยมันควรจะอยู่กันอย่างไร ก็อย่าอยู่เลย”
เมื่อถามว่า ในช่วงเวลาก่อนจะถึงวันที่ 7 ส.ค.ก่อนจะทำประชามติมีความกังวลเรื่องใดเป็นพิเศษบ้าง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่ห่วง ไม่กังวล จะกังวลไปทำไม สถานการณ์ต่างๆ วันนี้เราก็มีกฎหมายอยู่ เรามีกฎหมายรู้จักคำว่ากฎหมายหรือไม่ ใครทำผิดกฎหมายก็ต้องถูกดำเนินการทั้งหมดเท่านั้นเอง จะเรียกร้องประชาธิปไตย แต่ถ้าฝืนกฎหมายตนไม่ยอม ไม่มีประเทศไหนเขาทำกันหรอก ทั้งเรื่องประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน แต่ละเมิดกฎหมายทุกข้อ
เมื่อถามย้ำว่า ในช่วงรณรงค์ให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิลงประชามติ รัฐบาลเตรียมการอย่างไรบ้าง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวปฏิเสธว่า ไม่มีแผนอะไรทั้งสิ้น ตนก็พูดอยู่ทุกวันแล้วให้ทุกคนออกมาลงประชามติ ถ้าคิดว่าจะเป็นประชาธิปไตย สิทธิตามประชาธิปไตยก็คือการออกมาร่วมลงประชามติ ก็จบ แต่ถ้าไม่อยากมาลงก็อย่าลง ทำไมต้องให้บังคับทุกอย่างหรืออย่างไร อยากมีประชาธิปไตยแต่ไม่ออกมาลงประชามติ ต้องให้สั่ง ต้องให้ลงโทษ เลือกตั้งก็ไม่มาแล้วจะเอาอะไรกับตน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในเจตนารมณ์ของแม่น้ำ 4 สาย เขียนระบุไว้โดยผบ.ทบ. ว่าข้อเสนอทั้งหมดนั้นต้องการให้รัฐธรรมนูญเป็นไปตามเจตนารมณ์ของ คสช. คิดว่าร่างที่ออกมานั้นตรงตามเจตนารมณ์หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตรงไหนที่คิดว่าแตกต่างจากที่พูดไว้ “ผมจะพอใจหรือไม่พอใจกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ มันอยู่ในใจผมอยู่แล้ว หน้าที่ของผมในเมื่อทุกคนต้องการให้มีการเลือกตั้ง ผมก็ทำให้ ถามว่าผมพอใจหรือไม่ก็เป็นเรื่องของผม ทำไมผมต้องถามใคร แล้วใครต้องมาถามผม”
เมื่อถามว่า ทำไมในเมื่อเป็นนายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.จึงพูดไม่ได้ว่าพอใจกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวยอมรับว่า ก็พอใจในส่วนหนึ่งที่เขาสามารถดำเนินการแก้ปัญหาในความเป็นประชาธิปไตยที่เคยผิดพลาด หรือบางอย่างก็มีเรื่องการทุจริต ผิดกฎหมาย หรือเข้ามาสู่การเมืองโดยไม่มีธรรมาภิบาล กรธ.ก็เขียนมา ซึ่งตนก็โอเค ถึงแม้จะไม่ตรงใจตนมากก็ตาม
เมื่อถามว่า คิดว่ารัฐธรรมนูญจะแก้ปัญหาความเป็นประชาธิปไตยได้มากน้อยแค่ไหน นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า แก้ไม่ได้หรอก เพราะไม่ได้อยู่ในรัฐธรรมนูญ เรื่องนี้มันอยู่ที่มนุษย์หรือคน อยู่ที่สื่อ
เมื่อถามว่า กรณีให้อำนาจ คสช.ไปสรรหาสมาชิกวุฒิสภา จะเป็นการครอบงำการทำงานหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “แล้วทำไม ผมจะไปดูแลอะไรพวกเขา ผมได้ประโยชน์อะไรกับตรงนั้น ถ้าคุณเป็นผมแล้วมีหน้าที่ไปเลือก ส.ว.เข้ามา คุณจะได้อะไรจากส.ว.เหล่านั้น ตอบคำถามมาให้ได้ จะมาบอกว่ามีคนตั้งข้อสงสัยไม่ได้ แล้วที่ผ่านมาขอถามกลับว่าส.ส. ส.ว. มันฟังนักการเมืองหรือเปล่า ถ้าคุณไม่ไว้ใจผมก็ต้องไม่ไว้ใจเขา แต่นี่ไว้ใจเขา แต่กลับไม่ไว้ใจผม แล้วพวกคุณจะเอาอะไรจากผม ที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้น ทุกคนก็รู้ แต่ไม่พูด สื่อกลับมาไล่ผมทุกวัน ทุกวันนี้ก็ทำงานให้ทุกวัน ไม่เคยทวงบุญคุณ จะได้หรือไม่ได้ หรือจะได้อะไรจากผม ผมก็ยังไม่รู้เหมือนกัน เพราะผมก็เริ่มไม่รู้ว่าทำอะไรให้ใครแล้ว ในเมื่อคนไทยไม่อยากได้ในสิ่งที่ผมทำ ก็ไปหาคนอื่นให้เขาทำไป แต่อย่าทำอะไรให้เกิดความวุ่นวายแค่นั้นพอ ถ้าเกิดความวุ่นวาย แล้วทุกอย่างไม่เดินหน้า ผมก็อยู่ของผมอย่างนี้ จะทำไม หรือใครจะมีปัญหา ใจดีก็ไม่ได้ พูดดีด้วยก็ไม่ได้ ก็ต้องพูดแบบผมนี่แหละ เพราะพูดดีๆ แล้วก็ไม่เข้าใจ”
