ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160331/225062.html
ประปากรุงเริ่มไหลอ่อนบททดสอบบริหารน้ำยามวิกฤติ
ฝนตกหนักบางพื้นที่ของกรุงเทพฯ และปริมณฑลรายรอบ เมื่อ 2-3 วันก่อน นอกจากไม่ได้มีนัยสำคัญอะไรที่บ่งบอกถึงการบรรเทาภาวะความแห้งแล้งที่กำลังลุกลามไปทั่วประเทศในขณะนี้แล้ว ลมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดจากอ่าวไทย บริเวณปากน้ำสมุทรปราการ สู่ทิศเหนือทางลำน้ำเจ้าพระยา ยังชักนำน้ำทะเลเข้ามาผสมน้ำจืดจนเค็มเกินค่ามาตรฐานสำหรับนำไปผลิตน้ำประปาของการประปานครหลวง (กปน.) หรือแม้แต่เพื่อกิจกรรมการเกษตรในบางพื้นที่
ค่าความเค็มมาตรฐานของน้ำดิบผลิตประปาถูกกำหนดเอาไว้ที่ 0.25 กรัมต่อลิตร แต่ก็มีบ่อยครั้งที่ภาวะน้ำทะเลหนุนสูงได้ส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ำประปาเพื่อหล่อเลี้ยงกรุงเทพฯและปริมณฑล รวมทั้งการเกษตรในบางพื้นที่ ซึ่งจะต้องไม่เค็มมากไปกว่า 2 กรัมต่อลิตร มาอย่างต่อเนื่อง อย่างเช่น เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2557 หรือเมื่อ 2 ปีก่อน
ในครั้งนั้นผลตรวจวัดค่าความเค็ม 9 จุด ในแม่น้ำเจ้าพระยา สูงสุดอยู่ที่บางนา 17.6 กรัมต่อลิตร บริเวณสะพานพระราม 7 อยู่ที่ 5.9 กรัมต่อลิตร
เกินมาตรฐานไปเยอะมาก นำไปใช้รดต้นไม้คงเหี่ยวเฉายืนตายกันหมด ไม่ต้องพูดถึงเรื่องจะดึงไปเข้ากระบวนการทำประปา
ทว่า การบริหารจัดการน้ำในระบบ คือแนวทางการแก้ไขสถานการณ์ตามแผนที่เตรียมการเอาไว้ตามผลการวิเคราะห์ปริมาณน้ำต้นทุนในอ่างเก็บน้ำของเขื่อนต่างๆ ในแต่ละปีหรือนานกว่านั้น
เหตุการณ์เมื่อ 2 ปีที่แล้ว กปน.ได้ประสานไปยังกรมชลประทาน ให้เพิ่มการปล่อยน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยาและเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ รวมทั้งผันน้ำจากลุ่มน้ำแม่กลอง ผ่านทางคลองพระยาบรรลือ และคลองท่าสารบางปลา คลองจระเข้สามพัน ทำให้สามารถผลักดันความเค็มในแม่น้ำเจ้าพระยา และสามารถสูบน้ำดิบที่สถานีสำแล ส่งเข้าคลองประปาของ กปน.ได้เหมือนปกติ
หากแต่สถานการณ์เมื่อปี 2557 มีความแตกต่างไปจากในปีนี้ ซึ่งปริมาณน้ำในเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ อยู่เหลือขอดก้นอ่าง
เวลา 13.00 น. วันที่ 29 มีนาคม 2559 ค่าความเค็มในแม่น้ำเจ้าพระยาที่สถานีสูบน้ำประปาสำแล ปทุมธานี ปรับตัวเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 0.5 กรัมต่อลิตร สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานการผลิตน้ำประปาที่กำหนดไว้ไม่เกิน 0.25 กรัมต่อลิตร
สุเทพ น้อยไพโรจน์ อธิบดีกรมชลประทาน บอกว่า ค่าความเค็มในแม่น้ำเจ้าพระยาปรับตัวสูงขึ้นเกินเกณฑ์มาตรฐานการผลิตน้ำประปา เพราะลมจากทิศตะวันออกเฉียงใต้กำลังแรงพัดเข้ามาบริเวณปากอ่าวไทย ทำให้ระดับน้ำทะเลที่ไหลเข้ามาในแม่น้ำเจ้าพระยาสูงกว่าปกติ 50 เซนติเมตร
กปน.ได้หยุดสูบน้ำที่สถานีสูบน้ำสำแล แต่ก็ยังไม่กระทบต่อการผลิตประปา เพราะยังมีสำรองใช้แทนได้ ผ่านการบริหารจัดการโดยกรมชลประทาน ระบายน้ำจากแม่น้ำป่าสักเพิ่มขึ้น เพื่อช่วยผลักดันน้ำเค็ม ควบคู่กับการผันน้ำจากแม่น้ำแม่กลองเข้าคลองประปาฝั่งตะวันตก
10.00-16.00 น. วันที่ 30 มีนาคม จนถึงวันที่ 1 เมษายน คือระยะเวลาที่ กปน.ประกาศว่า น้ำประปาจะไหลอ่อนลงจากเดิมในบางพื้นที่คือ สำนักงานประปาสาขาสุขุมวิท พระโขนง สมุทรปราการ ทุ่งมหาเมฆ และสุขสวัสดิ์ อันเป็นผลมาจากภาวะน้ำเค็มหนุนสูงถึง 0.5 กรัมต่อลิตร ที่สถานีสูบสำแล
การเฝ้าติดตามภาวะน้ำเค็มหนุนสูงในแม่น้ำเจ้าพระยา จึงต้องประสานงานแบบบูรณาการกันอย่างใกล้ชิดกันกรมชลประทาน ซึ่งจะจัดหาแหล่งน้ำดิบเข้าสู่ระบบ
ในวันที่น้ำประปาของ กปน.เริ่มไหลอ่อนในบางพื้นที่นั้น กรมชลประทานได้เพิ่มการระบายน้ำจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์มาช่วยผลักดันน้ำเค็มมากขึ้นอีก 3.7 แสน ลบ.ม. จากเมื่อวันที่ 29 มีนาคม ระบาย 1.79 ล้านลบ.ม. รวมเป็น 2.16 ล้าน ลบ.ม.
นอกจากนี้ วันที่ 30 มีนาคม ยังระบายน้ำจากเขื่อนศรีนครินทร์ และ เขื่อนวชิราลงกรณ จากลุ่มน้ำแม่กลองทางภาคตะวันตกอีกวันละ 18.04 ล้าน ลบ.ม. เข้ามาทางแม่น้ำแม่กลองเพื่อเติมน้ำในคลองประปาฝั่งตะวันตก
นี่คือบทบาทของ 2 เขื่อนใหญ่ของประเทศ ที่เข้ามารับหน้าที่คลี่คลายสถานการณ์อีกครั้ง หลังจากถูกวางตัวเป็นทัพหลังระวังภัยแล้งมาหลายปีติดต่อกัน
อาการ “พารานอยด์” กลัวน้ำท่วมซ้ำอย่างปี 2554 จนขึ้นสมองของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ส่งผลให้รัฐบาลขณะนั้นพร่องน้ำในเขื่อนหลักทางภาคเหนือในปีถัดมา เพื่อรักษาพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยา ซึ่งผลที่ตามมาก็คือ หลายจังหวัดใต้เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ ประสบปัญหาภัยแล้งติดต่อกันยาวนานถึง 4 ปี และอาจจะนานกว่านั้นด้วยซ้ำ ถ้าหากปีนี้ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูอย่างที่คาดการณ์กันไว้
เขื่อนศรีนครินทร์ กับเขื่อนวชิราลงกรณ ซึ่งตั้งอยู่ที่ จ.กาญจนบุรี พื้นที่ห่างไกลจากกรุงเทพฯ ไปนับร้อยกิโลเมตรทางทิศตะวันตก รอดพ้นจากนโยบายพารานอยด์ ไม่ต้องปล่อยน้ำทิ้งทะเล มีน้ำต้นทุนเหลือกักเก็บ แม้จะ “ขาดทุน” ตลอด 3-4 ปีที่ผ่านมา เพราะปริมาณน้ำฝนน้อยเกินไป แต่ก็มีมากเพียงพอที่จะเยียวยาความเสียหายที่กำลังเกิดกับปลายน้ำเจ้าพระยา
ปัจจุบันเขื่อนศรีนครินทร์กักเก็บน้ำในอ่าง 12,216 ล้าน ลบ.ม. ใช้การได้จริง 1,951 ล้าน ลบ.ม. เขื่อนวชิราลงกรณมีน้ำในอ่าง 4,306 ล้าน ลบ.ม. ใช้การได้จริง 1,294 ล้าน ลบ.ม. รวมทั้ง 2 เขื่อน มีน้ำใช้การได้ในอ่าง 3,245 ล้าน ลบ.ม.
นับว่ามีมากเหลือเฟือหากจะสำรองเฉพาะผลักดันน้ำเค็มในเจ้าพระยาและผลิตน้ำประปาไปพร้อมกัน เพราะระดับที่ปล่อยวันละ 18.04 ล้านลบ.ม. ในระยะเวลา 3 เดือน คำนวณง่ายๆ ก็ยังใช้ไม่ถึง 2,000 ล้าน ลบ.ม.
แต่ในความเป็นจริง ภารกิจของ 2 เขื่อนภาคตะวันตกยังมีอีกมาก ทั้งรักษาระบบนิเวศของลุ่มน้ำ อันหมายถึงต้องผลักดันน้ำเค็มไม่ต่างไปจากที่ใช้ไปกับสายน้ำเจ้าพระยา เพื่อการอุปโภคบริโภคและการเกษตร
ทั้งหมดนี้ย่อมขึ้นกับการบริหารแบบบูรณาการของกรมชลประทาน โดยเฉพาะต้องไม่ทำให้ปัญหาจากลุ่มน้ำหนึ่งลามไปอีกลุ่มน้ำหนึ่ง
ต้องเตรียมแผนรองรับกรณีเลวร้ายแบบสุดๆ ซึ่งก็คือ ถ้าหากฤดูฝนที่วาดหวังว่าจะมาในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า กลับหล่นจากฟ้าเพียงเปาะแปะเหมือน 3 ปีที่ผ่านมา….จะทำอย่างไร?
