ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160406/225431.html
การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันพุธที่ 6 เมษายน 2559
“วิษณุ” แบะท่า หาก “ร่างรธน.” ไม่ผ่านประชามติ อาจนำ รธน. 4 ฉบับ มาเป็นฐาน ตัดแต่งยำรวมขึ้นเป็นฉบับใหม่ ไม่ต้องทำประชามติอีก
วันที่ 6 เม.ย.59 นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อพิจารณาคำถามพ่วงประชามติในวันที่ 7 เม.ย.ว่า ตามขั้นตอนเมื่อ สนช.มีมติแล้วจะส่งไปให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทันที ส่วนรายจ่ายที่จะเพิ่มขึ้นจากคำถามพ่วงนั้นคงมีไม่มาก เพราะเราใช้บัตรลงคะแนนใบเดียวกัน และที่คุยกันไว้จะใช้คำถามว่ารับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญสีหนึ่ง คำถามพ่วงอีกสีหนึ่ง เพื่อป้องกันประชาชนสับสน ขณะที่หน้าที่การทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำถามพ่วงยังไม่ได้คิดว่าจะให้หน่วยงานไหนรับผิดชอบ แต่คิดว่าใครก็ได้โดยใช้งบประมาณของตัวเอง ส่วนกรณีเกิดคำถามพ่วงผ่านประชามติ แต่ร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติก็ไม่มีปัญหาอะไร จะมองว่าเสียเปล่าหรือไม่ก็ได้ เพราะคำถามพ่วงจะชี้ให้เห็นว่าประชาชนต้องการอะไรในการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คำตอบมีนัยสำคัญส่งสัญญาณว่าประชาชนต้องการอะไร แต่ไม่ถึงขนาดเป็นการข้อผูกพันทางกฎหมาย
ผู้สื่อข่าวถามว่า ฝ่ายการเมืองเรียกร้องให้บอกทางออกหากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติเพื่อประกอบการตัดสินใจ นายวิษณุ กล่าวว่า วันนี้ยังบอกไม่ได้และไม่ควรให้รู้เพราะจะทำให้เกิดอคติเผื่อเลือกขึ้นมา อย่างไรเสียต้องหาทางทำให้รู้โดยเร็ว เพราะหลังวันที่ 7 ส.ค.นี้ หากประชามติไม่ผ่านจำเป็นต้องแก้รัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 57 ว่าให้ใช้วิธีใด ซึ่งจะชัดเจนว่าจะเอารัฐธรรมนูญฉบับใดมาใช้ หรือเขียนใหม่โดยไม่ใช้ฉบับใด หรือใช้หลายฉบับเป็นฐาน ซึ่งรัฐธรรมนูญที่อยู่ในข่ายคือ รัฐธรรมนูญปี 40 รัฐธรรมนูญปี 50 ร่างรัฐธรรมนูญปี58 และร่างรัฐธรรมนูญของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เท่านั้น คงไม่ย้อนไปไกลกว่านั้น เพียงแต่จะเอาฉบับใดมาเป็นฐานแล้วขยายต่อไป หรือตัดอะไรออก หรือผสมรวมกัน หรือไม่เอาอะไรเลยแล้วเขียนใหม่ทั้งหมด และไม่จำเป็นต้องไปลงประชามติอีก
เมื่อถามว่า หากต้องจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ จะไม่มีการทำประชามติอีกครั้งใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า โดยรูปการณ์เพื่อให้มีการเลือกตั้งโดยเร็วคงต้องเป็นเช่นนั้น แม้กระทั่งการทำประชามติครั้งนี้ ตนยังงงว่าจะทำประชามติทำไม เพราะตนคิดในใจว่ามันมีวิธีอื่นที่สามารถทำได้โดยเร็วและประหยัด แต่เมื่อไม่เลือกใช้ก็ต้องมีการทำประชามติ
“วิษณุ” งง คนที่อุตสาหะ ขนาดส่งเงินไปฝากถึง “ปานามา”
นายวิษณุ ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ให้สัมภาษณ์กรณีมีการเปิดเผยเอกสารลับของบริษัทที่ปรึกษาด้านกฎหมายแห่งหนึ่งในปานามา ที่ช่วยเหลือลูกค้ารายใหญ่ทั้งบุคคลมีชื่อเสียง นักการเมือง และผู้นำบางประเทศในการฟอกเงินและเลี่ยงภาษี ซึ่งมีคนไทย 21 คนเป็นลูกค้าบริษัทดังกล่าวด้วยว่าเห็นข่าวจากหนังสือพิมพ์ซึ่งตนกำลังจะถาม ปปง.ว่า เหตุใดถึงไม่รายงานเรื่องดังกล่าวกับตนทั้งที่มีการเสนอข่าวออกมาแล้ว หรือ ปปง.อาจจะไม่ทราบ
“เงินที่นำไปฝากไว้ยังบริษัทในประเทศปานามาแห่งนี้ ไม่จำเป็นต้องเป็นเงินผิดกฎหมาย แต่คนดีๆ คงคิดไม่ออกว่าทำไมต้องนำเงินไปฝากที่นี่ และหากมีการนำเงินผิดกฎหมายไปฝากพอเบิกออกมาจะกลายเป็นเงินบริสุทธิ์หรือไม่นั้น ต้องถามก่อนว่านำเงินจำนวนนั้นออกจากประเทศได้อย่างไร จะเป็นการฟอกเงินหรือไม่ก็ต้องพิจารณา เพราะลำพังการนำเงินไปฝากไม่ทำให้เป็นการฟอกเงิน เว้นแต่เงินที่ได้ไปเป็นเงินผิดกฎหมายเลยไปฟอกให้ถูกกฎหมาย ถ้าเงินขาเข้าไม่ผิด เงินขาออกก็ไม่ผิด การที่มีคนไทยนำเงินไปฝากไม่ได้หมายความว่ากฎหมายของไทยมีช่องโหว่ แต่เป็นเพราะกระบวนการนั้นถี่ลอดตาช้าง ห่างลอดตาเล็นจึงหลุดไปได้”
“บางทีเงินไม่ได้ส่งตรงจากไทย แต่ส่งไปที่อื่นก่อน แต่คนเราถ้าวิริยะอุตสาหะขนาดนั้น มันต้องผิดปกติแล้ว” นานวิษณุ กล่าว และว่ากฎหมายของไทยมีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะติดตามเงินผิดกฎหมายเหล่านี้ได้ เนื่องจากประเทศไทยเป็นสมาชิกขององค์กรต่อต้านการฟอกเงิน ซึ่งประเทศไทยได้รับการยกย่องว่าปฏิบัติตามเป็นอย่างดี เมื่อมีเรื่องดังกล่าวถูกเปิดเผยออกมา ปปง.สามารถตรวจสอบเชิงรุกไปในพื้นที่อื่นๆ ที่อาจมีเงินผิดกฎหมายซุกซ่อนอยู่ได้ ซึ่งโทษสูงสุดของกฎหมายฟอกเงินไทยคือจำคุกตลอดชีวิต รวมถึงยึดทรัพย์สินที่ได้มาอย่างผิดกฎหมาย
“วิษณุ” เผย ต้องผ่านด่านพิจารณาของ “กสทช.” ก่อน หลัง AIS พร้อมจ่ายค่าคลื่น 900 แทน JAS
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ขออนุมัติจากรัฐบาลให้บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส จ่ายค่าคลื่นความถี่ 900 เมกกะเฮิร์ต แทนบริษัท แจส โมบาย บรอดแบนด์ จำกัด ที่ประมูลได้ไปก่อนหน้านี้ แต่กลับไม่ยอมจ่ายค่าสัมปทานกว่า 7 หมื่นล้านบาทว่า
เบื้องต้นทราบเรื่องดังกล่าว แต่ยังไม่เห็นเรื่องอย่างเป็นทางการ จึงไม่สามารถตอบได้ว่าตามข้อกฎหมายจะเป็นไปได้หรือไม่ เพราะตนยังไม่เห็นรายละเอียด ส่วนการเสนอให้ใช้อำนาจตามมาตรา 44 นั้น ก็ยังตอบไม่ได้เช่นกัน และขณะนี้ยังไม่มีการมอบหมายจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการศึกษาเรื่องดังกล่าว แต่หากมีการมอบหมายก็จะได้พิจารณาต่อไป อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอต่างๆ จะต้องผ่านการพิจารณาของ กสทช. เสียก่อน เพราะหาก กสทช.ยังไม่เห็นด้วยก็คงเป็นไปได้ยาก และหากผ่านด่าน กสทช. จริง ทาง กสทช.ก็ต้องคิดแล้วว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ แต่ขณะนี้ตนยังไม่ทราบ และไม่เคยรู้เรื่องกติกาการประมูลคลื่นความถี่เป็นอย่างไร
