สนช.ผ่านฉลุยร่างพ.ร.บ.ประชามติร่างรธน.

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160407/225523.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายน 2559
สนช.ผ่านฉลุยร่างพ.ร.บ.ประชามติร่างรธน.

สนช.ผ่านฉลุยร่างพ.ร.บ.ประชามติร่างรธน. แถมให้ตั้งคำถามพ่วง สปท.ลงนามMOUจับมือ20องค์กรผลักดันปฏิรูปปท.

              เมื่อเวลา 11.45 น. วันที่ 7 เม.ย.2559  ที่รัฐสภา มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช.ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.การออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ…..ในวาระ 2 และ 3 ที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.การออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ที่มีพล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม สนช. เป็นประธานได้พิจารณาเสร็จแล้ว โดยร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวมีทั้งหมด 65 มาตรา มีสาระสำคัญคือ การเปิดโอกาสให้แสดงความเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญได้รอบด้าน ไม่มีการปิดกั้น แต่การแสดงความเห็นต้องเป็นไปโดยสุจริต ไม่ขัดกฎหมาย โดยคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) จะเป็นผู้ทำหน้าที่เผยแพร่ อธิบายสาระสำคัญร่างรัฐธรรมนูญ ขณะที่กกต.ต้องวางตัวเป็นกลางในการทำหน้าที่ อย่างไรก็ตามการลงคะแนนครั้งนี้จะไม่มีการลงคะแนนด้วยวิธีใช้เครื่องลงคะแนน เนื่องจากเห็นว่าการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญครั้งนี้มีความสำคัญ จึงไม่สมควรนำมาใช้ในการทำประชามติครั้งนี้

สำหรับบทกำหนดโทษจะกำหนดบทลงโทษทั้งจำคุกและโทษปรับตามมาตรา 62 แก่ผู้ทำให้เกิดความวุ่นวาย หลอกลวง บังคับ ขู่เข็ญ เพื่อให้ผู้มีสิทธิออกเสียงไม่ไปใช้สิทธิออกเสียงหรือออกเสียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือไม่ออกเสียง ฯเพื่อให้อกเสียงไม่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 แสนบาท ทั้งนี้ศาลอาจสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดไม่เกิน 5 ปีด้วยก็ได้ หรือถ้าเป็นกรณีการกระทำผิดของคณะบุคคลตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10ปี และปรับตั้งแต่ 20,000-200,000บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด 10ปี นอกจากนี้ได้มีการแก้ไขชื่อร่างพ.ร.บ. การออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ….เป็นร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ….

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นได้อภิปรายเรียงสำดับรายมาตรา โดยสมาชิกส่วนใหญ่อาทิ นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ นายตวง อันทะไชย นายนิพนธ์ นราพิทักษ์กุล ได้อภิปรายท้วงติงเนื้อหาในมาตรา 7 อย่างหนักถึงกรณีที่กมธ.แก้ไขหลักการตามร่างกฎหมายเดิม โดยตัดคำว่า “รณรงค์” ในการออกเสียงร่างรัฐธรรมนูญทิ้งไป ทำให้ไม่สามารถแสดงความเห็นรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญได้ ทั้งที่เป็นการแสดงความเห็นโดยสุจริตใจ ถือเป็นการละเมิดสิทธิประชาชนในการแสดงความคิดเห็น

พล.อ.สมเจตน์ ชี้แจงว่า การแสดงความเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญ ทุกคนทำได้ ไม่ปิดกั้น แต่การรณรงค์ถือเป็นการชักจูงให้รับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ อาจนำไปสู่ความขัดแย้งในประเทศ จึงไม่อยากให้นำประเด็นรับหรือไม่รับมาสร้างความขัดแย้งให้ประเทศอีก คนที่จะรณรงค์ได้มีแค่กกต.เท่านั้นที่ต้องรณรงค์ให้ประชาชนมาใช้สิทธิออกเสียงมากที่สุด ฝ่ายอื่นๆไม่สามารถรณรงค์ได้ แม้แต่กรธ.ก็ทำได้แค่ชี้แจงข้อดีร่างรัฐธรรมนูญ ส่วนฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยทำได้แค่พูดข้อเสียเช่นกัน การพูดว่าให้รับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ถือว่าชี้นำ จะสุ่มเสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมายประชามติ การใส่ไว้จะเสียหายอะไร

อย่างไรก็ตามสมาชิกสนช.หลายคนยืนยันไม่เห็นด้วยกับเนื้อหามาตรานี้ ทำให้ต้องแขวนมาตรา 7 ไว้ เพื่อพิจารณามาตราอื่นก่อน จากนั้นนายพรเพชรสั่งพักการประชุม เพื่อหารือแก้ไขเนื้อหามาตราที่ยังมีปัญหา ซึ่งภายหลังเปิดประชุมสนช. อีกครั้ง กมธ.แจ้งต่อที่ประชุมว่า ยินยอมแก้ไขข้อความในมาตรา 7 จากเดิมที่ระบุว่า “บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการออกเสียงโดยสุจริตและไม่ขัดต่อกฎหมาย” เป็น “บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเผยแพร่ความคิดเห็นเกี่ยวกับการออกเสียงโดยสุจริตและไม่ขัดต่อกฎหมาย” เพื่อให้บุคคลสามารถเผยแพร่ความคิดเห็นของตนเองที่มีต่อร่างรัฐธรรมนูญได้ แต่ต้องเป็นไปโดยสุจริตและไม่ขัดกฎหมาย

ทั้งนี้หลังจากที่ประชุมอภิปรายครบทุกมมาตราแล้ว ที่ประชุมได้ลงมติเห็นชอบร่างพ.ร.บ.การออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ….ในวาระ 3 ด้วยคะแนน 171 ต่อ 1 งดออกเสียง 3 เสียง ให้มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายต่อไป โดยใช้เวลาพิจารณานานกว่า 5 ชั่วโมงครึ่ง

 

ตามคาด!สนช.โหวตให้ตั้งคำถามพ่วงประชามติ   

ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาว่า  มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช.ทำหน้าที่ประธาน โดยได้พิจารณาวาระประเด็นคำถามของสนช.ที่จะเสนอต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ในการจัดให้มีการออกเสียงประชามติตามมาตรา39/1วรรคเจ็ด ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว2557โดย นายกล้านรงค์ จันทิก รองประธานคณะกรรมาธิการสามัญพิจารณาศึกษา เสนอแนะ และรวบรวมความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)คนที่1ชี้แจงว่า กรรมาธิการสามัญของสนช.รวมถึงสมาชิกสนช.ที่เสนอมาเป็นรายบุคคล ส่วนใหญ่เสนอเรื่องเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ ส.ว.ให้ร่วมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในระยะเปลี่ยนผ่านได้หรือไม่ อาทิ กมธ.กฎหมาย กระบวนการยุติธรรม และกิจการตำรวจ กมธ.สาธารณสุขกมธ.ต่างประเทศ กมธ.คมนาคม กมธ.ปกครองท้องถิ่น กมธ.วิทยาศาสตร์ และกมธ.พลังงาน นอกจากนี้ ในส่วนของกมธ.พลังงาน และกมธ.วิทยาศาสตร์ ยังเสนอเพิ่มเติมให้รวมอำนาจในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล รวมถึงมีอำนาจในการพิจารณากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเงินด้วยหรือไม่ อย่างไรก็ตาม หลังจากกมธ.สามัญพิจารณาศึกษาฯ ทำหน้าที่รวบรวมความเห็นทั้งหมดแล้ว เห็นว่าควรเสนอคำถามโดยเน้นความเห็นของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.)เป็นหลักในการพิจารณา จึงเห็นว่าควรตั้งคำถามว่าเห็นด้วยหรือไม่ เพื่อให้การปฏิรูปประเทศเป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ ควรกำหนดในบทเฉพาะกาลว่าระหว่าง5ปีแรกตั้งแต่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้ ให้ที่ประชุมร่วมรัฐสภาเป็นผู้พิจารณาเห็นชอบบุคคลสมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกฯ

ทั้งนี้ สมาชิกส่วนใหญ่อภิปรายเห็นด้วยกับการให้ตั้งคำถามพ่วงประชามติ ซึ่งนายพรเพชร ได้ขอมติที่ประชุมว่าเห็นสมควรเสนอประเด็นให้กกต.จัดให้มีการออกเสียงประชามติ ซึ่งที่ประชุมเห็นด้วยที่จะส่งคำถามประชามติต่อกกต.ด้วยคะแนน142เสียง ไม่เห็นด้วย16เสียง งดออกเสียง9เสียง

จากนั้น นายกล้านรงค์ กล่าวว่า ในส่วนของประเด็นคำถาม ที่ประชุมสนช.เห็นชอบหรือไม่ว่าเพื่อให้การปฏิรูปประเทศเป็นไปอย่างต่อเนื่องตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ สมควรกำหนดในบทเฉพาะกาลว่าระหว่าง5ปีแรกนับตั้งแต่มีรัฐสภาชุดแรก ให้ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นด้วย152ต่อ0เสียง และงดออกเสียง15เสียง ทั้งนี้ นายพรเพชร แจ้งว่าเมื่อที่ประชุมเห็นชอบแล้ว ตนจะส่งคำถามพร้อมทั้งหลักการและเหตุให้กกต.เพื่อทำประชามติต่อไป ก่อนสั่งปิดการประชุมในเวลา18.30น.

กรธ.รับได้คำถามพ่วงของสนช.

นายอุดม รัฐอมฤต โฆษกกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวถึงกรณีที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ลงมติเสียงข้างมากให้เสนอคำถามประกอบการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งมีเนื้อหาที่ระบุให้ที่ประชุมร่วมรัฐสภาชุดแรกเลือกบุคคลเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกฯ โดยให้เขียนในบทเฉพาะกาลซึ่งมีเหตุผลสำคัญเพื่อสานต่องานปฏิรูปตามยุทธศาสตร์ชาติ ว่า ในเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญต่อหมวดการปฏิรูป กรธ. ได้บัญญัติเนื้อหาที่ครอบคลุมถึงการดำเนินงานของการปฏิรูปไว้แล้ว ทั้งนี้ตนเข้าใจว่าเหตุผลที่สนช. มีมติให้ส่งคำถามประกอบการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ โดยอ้างอิงถึงการสานต่อปฏิรูปนั้น เป็นประเด็นของวิธีการที่แตกต่างกัน เพราะสนช. อาจมองว่าเมื่อได้ส.ว.สรรหาชุดแรก เพื่อมากระตุ้นและดูแลเรื่องการปฏิรูปแล้ว ดังนั้นควรมีรัฐบาลที่เป็นองคาพยพเดียวกันเพื่อให้งานปฏิรูปเดินหน้าไปได้ตามแผน แต่สิ่งที่กรธ. ประมาณการนั้นมีความแตกต่างจากที่สมาชิก พิจารณาเพราะหากคิดว่าประเด็นดังกล่าวดี คงเขียนไว้ในร่างรัฐธรรมนูญส่วนของบทถาวรแล้ว

“ผมมองว่าประเด็นคำถามนั้น ไม่ใช่สิ่งที่กรธ. จะตอบได้ว่าชอบหรือไม่ชอบ หรือรู้สึกอย่างไร เพราะเมื่อเกิดเป็นคำถามประกอบการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญแล้ว ประชาชนคือผู้ตัดสิน โดยส่วนตัวมองว่าสิ่งที่จะเป็นเครื่องช่วยตัดสินใจในการออกเสียงประชามติในคำถามพ่วงนั้น คงขึ้นอยู่กับว่าประชาชนไว้ใจทหารหรือไม่ ซึ่งหากประชาชนลงมติเห็นชอบกับคำถามพ่วง ก็ไม่ใช่เรื่องยากต่อการแก้ไขเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญ เพราะจะเป็นส่วนของบทเฉพาะกาลที่ต้องเขียให้นายกฯ มาจากการลงมติเห็นชอบจากที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาเท่านั้น ส่วนที่หลายฝ่ายกังวลว่าคำถามพ่วงนั้นจะกระทบต่อการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญหรือไม่นั้นพูดยากเพราะขึ้นอยู่กับสิ่งที่ประชาชนจะตัดสินใจ” นายอุดม กล่าว

สปท.ลงนามMOUจับมือ20องค์กรผลักดันปฏิรูปปท.
เมื่อเวลา 13.30 น. ที่ห้องโถงอาคารรัฐสภา 1 ร.อ.ทินพันธุ์ นาคะตะ ประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือในการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศระหว่างสปท.กับ 20 องค์กรเครือข่าย อาทิ หอการค้าไทย ที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏ สภาพัฒนาการเมือง สภาองค์กรชุมชน สมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย ที่ประชุมสภานิสิตนักศึกษาสัมพันธ์แห่งประเทศไทย และสมาพันธ์ปลัดเทศบาลแห่งประเทศไทย เป็นต้น

นายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธานสปท.คนที่ 1 ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารเครือข่ายร่วมขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ กล่าวว่า บันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือในการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศระหว่างสปท.กับ 20 องค์กรเครือข่าย เพื่อแสดงว่าทั้ง 2 ฝ่าย มีข้อตกลงร่วมกันในการร่วมมือกันผลักดันการปฏิรูปประเทศให้เกิดผลสัมฤทธิ์ โดยผ่าน 3 ภารกิจหลัก คือ 1.สื่อสารสร้างความเข้าใจการปฏิรูปประเทศสู่สมาชิก และสาธารณะ 2.ร่วมสร้างผู้นำการปฏิรูปทุกภาคทั่วประเทศ และ3.ร่วมจัดตั้งและพัฒนาสถาบันการปฏิรูป ครอบคลุม 77 จังหวัด ซึ่งเป็นไปตามยุทธศาสตร์เครือข่ายปฏิรูปทั่วไทย ทั้งนี้ คาดว่าอีก 2 เดือนข้างหน้าจะมีองค์กรเครือข่ายเพิ่มเป็น 50 องค์กร

Leave a comment