ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160401/225131.html
ส.ว.อำนาจใหม่-ใหญ่กว่าเดิม? : สำนักข่าวเนชั่น
เมื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับสมบูรณ์ที่เตรียมนำไปใช้ประชามติถูกประกาศออกมาอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 29 ม่ีนาคม ที่ผ่านมา ทำให้หลายคนถึงบางอ้อว่า ทำไมคณะรักษาความสงบแห่งชาติถึงต้องการให้มี ส.ว.แบบสรรหาทั้งสภา
หนแรกก็มีการตั้งคำถามว่า มี ส.ว.ทั้งสภาแล้วจะเป็นอย่างไร เพราะเบื้องแรกที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญบอกนั้น แม้จะให้ ส.ว.ที่มาจากการสรรหา ตามที่ คสช.ต้องการ แต่ไม่ได้มอบอำนาจพิทักษ์รัฐธรรมนูญและอำนาจอภิปรายไม่ไว้วางใจไว้ให้ ทำให้หลายคนมองว่าต่อให้มี ส.ว.ที่ควบคุมได้ก็ไม่มีความหมาย
ครั้งนั้นมองกันถึงขนาดที่ว่าอาจเป็นเพราะ “มีชัย” ออกอาการ “เฮี้ยว” ไม่ยอมทำตามข้อเสนอของ คสช. และใส่ลูกเล่นทางกฎหมาย จนมีคนปล่อยข่าวว่าเกิดความขัดแย้ง แต่พอเห็นบทบัญญัติแล้วก็จึงถึงบางอ้อและต่อจิ๊กซอว์ได้ว่า สิ่งที่ให้นั้นเพียงพอต่อความต้องการของผู้ร้องขออย่างเหลือเฟือ
เบื้องแรก เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า ส.ว.สรรหาที่เรียกกันนั้น จะแบ่งเป็นสามส่วน แต่ทุกส่วนมีศูนย์รวมอยู่ที่ คสช.และอำนาจของกองทัพ
ในบทเฉพาะกาล ระบุว่าในวาระเริ่มแรกให้มี ส.ว. 250 คน โดยกลุ่มที่ 1 ให้ คสช.ตั้งกรรมการสรรหาขึ้นมาไม่น้อยกว่า 9 คน แต่ไม่เกิน 12 คน คัดเลือกผู้ที่จะเป็น ส.ว.มาจำนวน 400 คน จากนั้น คสช.ก็จะเป็นคนคัดด้วยตัวเองจนเหลือ 194 คน
กลุ่มที่ 2 ให้ กกต.เลือก ส.ว.โดยวิธีการเลือกไขว้ โดยเลือกมา 200 คน และให้ คสช.อีกเช่นกันที่เป็นคนเลือกในรอบสุดท้ายเหลือ 50 คน
และกลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มที่ล็อกตำแหน่งไว้ชัดเจน 6 ตำแหน่งคือ 1.ปลัดกระทรวงกลาโหม 2.ผู้บัญชาการทหารสูงสุด 3.ผู้บัญชาการทหารบก 4.ผู้บัญชาการทหารเรือ 5.ผู้บัญชาการทหารอากาศ และ 6.ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
เมื่อองค์ประกอบเป็นเช่นนี้ จึงพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า ส.ว.ที่ถูกเลือกมานั้นมีต้นธารมาจากที่เดียวกันทั้งหมด ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงว่าจะคิดเหมือนกันและเห็นไปในทางเดียวกัน และไม่แปลกที่จะถูกมองว่าคือร่างทรงของ คสช.
ทีนี้ลองมาดูเรื่องอำนาจกันบ้าง ซึ่งในที่นี้จะแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคืออำนาจตาม “บททั่วไป” ซึ่งหมายความว่าหากรัฐธรรมนูญประกาศใช้ หลังจากผ่านบทเฉพาะกาลไปอำนาจเหล่านี้จะถือเป็นอำนาจถาวร และอำนาจส่วนที่สองคืออำนาจตามบทเฉพาะกาล หรือเรียกว่าเป็นอำนาจชั่วคราวที่มอบให้ เฉพาะ ส.ว.ชุดแรกตามร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เท่านั้น
อำนาจทั่วไปนั้นจะสอดแทรกอยู่ตามบทบัญญัติในมาตราต่างๆ ประกอบด้วย อำนาจในการกลั่นกรองกฎหมาย ซึ่งถือเป็นกระบวนการปกติในการออกกฎหมาย
นอกจากนี้ ส.ว.ยังมีอำนาจในการแต่งตั้งองค์กรอิสระอีกด้วย ซึ่งถือเป็นอำนาจที่สำคัญ เพราะเป็นต้นทางของกระบวนการสืบสวนสอบสวน และตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ และในอดีตที่ผ่านมาเราก็ได้เห็นว่าองค์กรอิสระนั้นชี้เป็นชี้ตายทางการเมืองได้อย่างไรบ้าง
รวมทั้งยังมีอำนาจในการเข้าชื่อเพื่อยื่นตรวจสอบว่า มีผู้ใดแปรญัตติงบประมาณที่ตนมีส่วนได้ส่วนเสีย ซึ่งถือเป็นบทบัญญัติที่สำคัญของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เพราะหากตรวจสอบแล้วมีการกระทำต้องห้ามจริงโทษนั้นถึงขั้นเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งตลอดชีวิต และต้องพ้นจากตำแหน่งทันที หากทำเดี่ยวก็พ้นเดี่ยว หากทำทั้งสภาก็พ้นทั้งสภา หาก ครม.ร่วมด้วยก็พ้นทั้ง ครม.
ส.ว.ยังมีอำนาจที่จะเปิดอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติอีกด้วย
ขณะที่อำนาจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็มีส่วนร่วมมากกว่าที่ผ่านๆ มาที่กำหนดไว้เพียงใช้เสียงกึ่งหนึ่งของรัฐสภาก็สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ แต่ภายใต้ร่างฉบับนี้จำนวนเสียงกึ่งหนึ่งนั้นไม่ถือว่าเพียงพอ เพราะในกึ่งหนึ่งต้องมีเสียง ส.ว.ที่เห็นชอบไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ทั้งในวาระแรกและวาระสาม
เรื่องนี้เองถูกมองว่าเป็นอำนาจพิทักษ์รัฐธรรมนูญอยู่แล้วโดยไม่ต้องเขียนเพิ่มเติม
ขณะที่อำนาจตามบทเฉพาะกาล น่าสนใจเสียยิ่งกว่า เพราะถือเป็นอำนาจเฉพาะสำหรับผู้ที่มีภารกิจพิเศษสายตรงจากผู้กุมอำนาจสูงสุดในขณะนี้
กรรมาธิการปฏฺิรูป ระบุว่า ส.ว.ชุดนี้ “มีหน้าที่และอำนาจติดตาม เสนอแนะ และเร่งรัดการปฏิรูปประเทศ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามหมวด 16 การปฏิรูปประเทศ และการจัดทำและดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ”
ดังนั้นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์จึงกำหนดไว้ “ให้ ครม.แจ้งความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศต่อรััฐสภาเพื่อทราบทุกสามเดือน”
หมายความว่ารัฐบาลต้องรายงานต่อหน้า ส.ว.ในทุกสามเดือน และหมายถึง ส.ว.ที่มี ผบ.เหล่าทัพนั่งอยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ที่สำคัญคือหากกฎหมายใดเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับการปฏิรูปให้ ส.ว.ร่วมพิจารณาในฐานะ “รัฐสภา” กล่าวคือเป็นช่องทางพิเศษไม่ใช่กระบวนการปกติ และหากจะผ่านก็จำเป็นต้องใช้เสียงของ ส.ว.ร่วมด้วย
ทั้งนี้กฎหมายว่าด้วยการปฏิรูป ไม่ได้ดูกันง่ายๆ หรือเขียนชัดๆ ว่ามีกี่ฉบับ หากแต่ให้อำนาจในการตีความว่ากฎหมายใดเป็นกฎหมายปฏิรูป หากรัฐบาล หรือ ส.ส. ไม่ระบุว่าใช่ โดยน่าสังเกตว่า ส.ส. หรือ ส.ว.สามารถเข้าชื่อกันได้ และคนที่จะตีความคือคณะกรรมการตีความที่มีสัดส่วนและตำแหน่งน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
ส่วนองค์ประกอบกรรมการ จะประกอบด้วย ประธานวุฒิสภาเป็นประธาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นรองประธาน มีกรรมการคือ ผู้นำฝ่ายค้าน ผู้แทน ครม. และประธานกรรมาธิการสามัญในวุฒิสภา เลือกกันเองเหลือ 1 คน
น่าสังเกตว่ามิได้ให้ประธานรัฐสภาร่วมเป็นกรรมการ ซึ่งตามปกติกรรมการในลักษณะนี้จะมีประธานสภาผู้แทนฯ ในฐานะประธานรัฐสภาเป็นประธาน
เรื่องนี้จะกลายเป็นปัญหา หากกฎหมายที่รัฐบาลมองว่าเป็นกฎหมายสำคัญหรือกฎหมายที่มีนัยต่อการเดินหน้านโยบายแล้วถูกตีความว่าเป็นกฎหมายปฏิรูป และสุดท้ายถูกคว่ำลง โดยเสียงที่มี ส.ว.เป็นหลัก ก็ย่อมทำให้รัฐบาลอยู่ได้ลำบาก
อีกทั้งยังมีอำนาจเรื่องการพิจารณากฎหมายลักษณะพิเศษ ที่เรียกว่าอำนาจควบคุมการบริหารประเทศ อีกสองชนิดคือ 1.กฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมโทษหรือองค์ประกอบความผิด ต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ และ 2.ร่างกฎหมายที่ ส.ว.จำนวน 2 ใน 3 เห็นว่ากระทบต่อกระบวนการยุติธรรม
หากเป็นทั้งสองประเภทนี้ จำเป็นต้องใช้เสียงถึง 2 ใน 3 ของรัฐสภาหรือ 500 จาก 750 เสียงจึงจะผ่านได้ ซึ่งในทางปฏิบัติหากไม่เป็นพวกเดียวกับ ส.ว. โอกาสที่ผ่านจะเป็น 0 ทีเดียว
ส่วนอีกอำนาจที่หลายคนมองว่าแม้จะยังไม่ถึงที่สุดแต่ก็ส่งผลไม่น้อย คืออำนาจในการร่วมพิจารณาในฐานะ “รัฐสภา” เพื่อยกเว้นการใช้บัญชีนายกฯ
จึงมองกันว่าอำนาจเพียงเท่านี้ก็เพียงพอต่อการควบคุมการทำงานของรัฐบาลปกติในระยะเวลา 5 ปี เพื่อสืบทอดเจตนาของ คสช.แล้ว
แต่หลังจากนี้ต้องดูว่าพวกเขาจะหยุดการรุกคืบเพียงแค่นี้หรือไม่ หรือหวังกำไรเพิ่ม เพราะตอนนี้มี สปท.บางคนเสนอญัตติคำถามพ่วงประชามติว่าจะให้ ส.ว. มาร่วมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีด้วย รวมทั้งมีกระแสว่าอาจจะมีคำถามพ่วงเรื่องการให้อำนาจอภิปรายไม่ไว้วางใจกับ ส.ว.ด้วยเช่นกัน
แม้จะไม่ได้เพิ่มแต่เท่าที่มี…ก็เชื่อว่าอำนาจที่มีอยู่ก็ใหญ่จนรัฐบาลใหม่ต้องเกรงใจ
