ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160404/225281.html
‘หลักสูตรอบรมนักการเมือง’คุ้ม-ไม่คุ้มเสี่ยง : ขยายปมร้อน โดยประพันธ์ จินดาเลิศอุดมดี สำนักข่าวเนชั่น
แนวคิดเรื่อง “หลักสูตรอบรมนักการเมือง” หรือที่เรียกกันติดปากว่า หลักสูตรปรับทัศนคตินักการเมืองที่เห็นต่างจากคสช.และรัฐบาลนั้น
หลุดออกจากปากของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นครั้งแรกเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
แนวคิดเรื่องการเปิดหลักสูตรอบรมนักการเมืองของคสช.นั้น เกิดขึ้นหลังจากที่คสช.ได้ติดตามความเคลื่อนไหวของนักการเมืองที่เคยถูกเชิญตัวมาปรับทัศนคติแล้วหลายครั้ง แต่ยังคงมีพฤติกรรมเหมือนเดิม
ข้อสรุปเบื้องต้นของกรอบและแนวทางการจัดทำหลักสูตรนั้น พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ในฐานะเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แย้มให้ฟังว่า คสช.จัดทำหลักสูตรเสร็จสิ้นและพร้อมเปิดอบรมนักการเมืองแล้ว เบื้องต้นคาดว่าอาจจะใช้ระยะเวลาในการอบรมตามหลักสูตรขั้นต่ำประมาณ 7 วัน แต่ยังไม่ขอเปิดเผยลงลึกในรายละเอียด
แต่ย้ำว่า หลักสูตรนี้จัดทำขึ้นสำหรับกลุ่มบุคคลที่ยังไม่เข้าใจการทำงานของรัฐบาลและคสช. ซึ่งขณะนี้มีรายชื่อบุคคลที่คาดว่าต้องเข้ารับการอบรมอยู่แล้ว
คงไม่ต้องถามว่าจะมีใครบ้าง เพราะไม่แคล้วก็คงเป็นบุคคลกลุ่มเดิมๆ ที่เคยถูกเรียกไปปรับทัศนคตินั่นแหละ นอกจากนี้ ยังมีการเตรียมสถานที่สำหรับจัดอบรมไว้แล้วทั่วประเทศอีกด้วย
มาดูที่เนื้อหาของการอบรมกันบ้าง หัวข้อที่ถูกกำหนดไว้เบื้องต้นในหลักสูตรนั้น อาทิ การบริหารราชการแผ่นดิน ธรรมาภิบาล ศีลธรรม คุณธรรม และจริยธรรม
แต่ถ้าว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว ใคร..ที่เรียกว่าเหมาะสม ใคร..ที่ถือว่าคุณสมบัติครบ สำหรับการรับหน้าที่วิทยากรหรืออาจารย์ใหญ่ในหลักสูตรอมรมนักการเมืองครั้งนี้
อะไรที่จะเป็นตัวตัดสินว่า มีความเหมาะสมกับการเป็นต้นแบบการบริหารราชการแผ่นดินที่ดี เป็นต้นแบบของผู้ที่ยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล ตลอดจนศีลธรรม คุณธรรม และจริยธรรม
เพราะแน่นอนว่า อย่างน้อยคนที่จะมารับหน้าที่วิทยากรหรืออาจารย์ประจำหลักสูตรนั้น หากคิดที่จะสอนผู้อื่น ก็ต้องเคยประสบความสำเร็จมาก่อนนั่นเอง
สอนเรื่องการบริหารราชการแผ่นดิน อย่างน้อยก็น่าจะต้องเคยแก้ไขปัญหาของบ้านเมืองได้เป็นผลสำเร็จมาก่อน ซึ่งถ้าหากว่าเราไม่หลอกตัวเอง ต้องยอมรับว่า ที่ผ่านมาดูเหมือนว่าประเทศไทยจะมีคนที่เคยบริหารประเทศชนิดที่เรียกว่า บ้านเมืองสงบเรียบร้อยนั้น แทบจะนับคนได้เลยทีเดียว
ดังนั้น ถ้าหากเริ่มต้นที่การหาตัวบุคคลต้นแบบที่เหมาะสมไม่ได้แล้วละก็…เรื่องการที่จะให้ประชาชนยอมรับอย่างสนิทใจ หรือความหวังที่จะให้นักการเมืองรับฟังนั้น คงไม่ต้องพูดถึง
แต่ที่น่าจะเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมมากที่สุดก็คือ จากนี้ไปฝ่ายที่หวังจะใช้ผลของการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญมาขยายผลเพื่อลดทอนคะแนนนิยมของรัฐบาลนั้น
คงต้องบอกว่าเหนื่อยแน่ๆ เพราะถูกบีบไว้ด้วยกฎเหล็กของ คสช. รวมถึงร่าง พ.ร.บ.ประชามติที่กำหนดบทลงโทษของการบิดเบือนเนื้อหาในร่างรัฐธรรมนูญเอาไว้
และอาจเป็นไปได้ว่า หากคอร์สอบรมนักการเมืองรอบนี้ยังไม่บรรลุเป้าหมาย การสั่งห้ามทำธุรกรรมทางการเงินนั้น จะเป็นเครื่องมือถัดไปที่ถูกหยิบขึ้นมาใช้
สำหรับ “พรรคเพื่อไทย” และ “คนเสื้อแดง” นั้น เริ่มเห็นแนวทางที่ชัดเจนมากขึ้นแล้ว ผ่านการให้สัมภาษณ์และการออกแถลงการณ์ของพรรคในลักษณะ “หมูไม่กลัวน้ำร้อน”
แถลงการณ์พรรคเพื่อไทยระบุชัดเจนว่า ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญที่ไม่ยอมรับอำนาจของประชาชน ขอให้ประชาชนออกมาลงประชามติ “ไม่รับ” ร่างรัฐธรรมนูญที่ไม่ยอมรับอำนาจของประชาชนและขาดความเป็นประชาธิปไตย
เสนอให้แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557 ก่อนการลงว่า หากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติให้นำรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 มาปรับแก้และประกาศใช้เป็นการชั่วคราว พร้อมกับจัดให้มีการเลือกตั้งภายในไม่เกิน 6 เดือน
หลังจากนั้นให้รัฐบาลจัดให้มีการตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อดำเนินการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมตั้งแต่กระบวนการยกร่างจนถึงการให้ความเห็นชอบด้วยการลงประชามติ
ขณะที่ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. ก็ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ไม่มีหลักสูตรอบรมใดจะทำให้คนคิดเหมือนกันทั้งหมด ที่ผ่านมาไม่เคยมีความเคลื่อนไหวใต้ดิน ทุกอย่างที่พูดทำโดยเปิดเผย
บรรยากาศแบบเรียกคนเข้าค่ายทหาร ดำเนินคดีกับชาวบ้านที่โพสต์รูปขันน้ำสีแดงนั้น ไม่น่าจะเป็นผลดีกับภาพรวม
คงต้องรอดูว่า หลักสูตรอบรมนักการเมืองนั้นจะเป็นเพียงแค่แนวคิด แต่ไม่ถูกนำมาปฏิบัติจริงเหมือนกับหลายๆ เรื่องที่ถูกหยิบยกขึ้นมาก่อนหน้านี้หรือไม่
หลักสูตรปรับทัศนคตินักการเมือง สุดท้ายอาจจะเป็นเพียงแค่เรื่องขู่กันเล่นก็เป็นไปได้ เพราะเอาเข้าจริงๆ แล้วเชื่อเถอะว่า…“หมากกระดานนี้คงไม่มีใครอยากเสี่ยงหรืออยากลองวัดกระแสแน่ๆ”
