เบื้องหลังคสช.เพิ่มอำนาจทหาร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160331/225059.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม 2559
เบื้องหลังคสช.เพิ่มอำนาจทหาร

เบื้องหลังคสช.เพิ่มอำนาจทหาร : ทีมข่าวสืบสวนสอบสวน

             เป็นประเด็นที่ไม่อาจมองข้ามได้ว่า ทำไม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ถึงต้องใช้อำนาจมาตรา 44 เพื่อเพิ่มอำนาจทหารในการปราบมาเฟีย ล้างยาเสพติด เจ้ามือพนัน รวมไปถึงการซ่องสุมอาวุธ ที่จะทำการต่างๆ ที่มิชอบด้วยกฎหมาย

อำนาจทหารที่เดิมก็มีอยู่แล้ว แต่เมื่อได้คำสั่งตามมาตรา 44 เข้าไปก็พุ่งพรวดเทียบเท่ากับเจ้าหน้าที่ตำรวจในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดหลายประการที่เป็นภัยอันตรายต่อความสงบเรียบร้อย หรือบ่อนทำลายระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ

จะว่าเป็นเพราะการทำงานของตำรวจในการปราบปรามผู้มีอิทธิพลที่ผ่านมา ย่อหย่อน เฉื่อยชา ก็พูดไม่ได้เต็มปาก

ความจริงอย่างหนึ่งนั้นมีอยู่ว่า ระยะเวลา 21 วัน ในการปราบปรามผู้มีอิทธิพล ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่เริ่มปิดล้อมจับกุมตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคม ด้วยการสนธิกำลังระหว่างทหาร ตำรวจและพลเรือน โดยการกำกับดูแลของ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าชุดปราบปรามผู้มีอิทธิพล ทำให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับทราบถึงปัญหาและข้อติดขัดในการปฏิบัติงาน

นั่นเป็นเพราะคำสั่งหัวหน้า คสช.ฉบับที่ 3/2558 เรื่องการรักษาความมั่นคงเรียบร้อยและการรักษาความสงบของชาติ ระบุฐานความผิดเพียง 3 ประการ

1.คดีความมั่นคง

2.คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

3.คดีอาวุธสงคราม

คำสั่งที่ว่า ไม่ครอบคลุมกับฐานความผิดของผู้มีอิทธิพลทั้ง 16 กลุ่ม ตามที่ได้กำหนดกฎเกณฑ์เอาไว้

ส่งผลให้เกิดข้อติดขัดในขั้นตอนการปฏิบัติ อาทิ กลุ่มมือปืนรับจ้าง ที่ไม่ได้ใช้อาวุธสงคราม แต่ใช้ปืนธรรมดาหรือปืนเถื่อน กลุ่มปล่อยเงินกู้นอกระบบ กลุ่มกรรโชกทรัพย์ โดยเฉพาะเรื่องยาเสพติด เมื่อคำสั่ง คสช.ไม่ครอบคลุม ก็ต้องไปใช้กฎหมายปกติ ความล่าช้าก็ตามมา กลุ่มเป้าหมายไหวตัวทัน เคลื่อนย้ายหรือทำลายของกลาง บ้างก็หลบหนี

นี่อาจเรียกได้ว่าเป็นเหตุผลที่สาธารณะพอเข้าใจได้ว่าทำไมหัวหน้า คสช. ต้องใช้อำนาจตามมาตรา 44 ออกคำสั่งที่ 13/2559 เรื่องการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดบางประการที่เป็นภยันตรายต่อความสงบเรียบร้อยและบ่อนทำลายระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ

เพราะถ้าใช้คำสั่งเดิมๆ ก็น่าจะทำได้แค่ไล่หนูมุดลงท่อ พอเรื่องเงียบ ก็ออกมาเพ่นพ่านอีก

ครั้นจะไปออกคำสั่งเพิ่มเติมเพื่อให้คำสั่งหัวหน้า คสช.ฉบับที่ 3 สมบูรณ์มากขึ้น ระดับปรมาจารย์ด้านกฎหมายที่ชื่อ วิษณุ เครืองาม ก็กระตุกแขนเสื้อเอาไว้ว่า ขืนทำแบบนั้นก็เท่ากับไปสร้างความสับสน

เพื่อให้ชัดเจน ออกฉบับใหม่ไปเลยเสียดีกว่า!

นั่นคือขั้นตอนตามกฎหมาย แต่ในการปฏิบัติจริง มักเจอปัญหาซับซ้อนมากกว่านั้น บางกรณีทหารได้รับเบาะแสจากประชาชน แต่ก็เข้าไปดำเนินการไม่ได้ เพราะต้องรอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าดำเนินการ ทำให้บางกรณีคว้าน้ำเหลว

แหล่งข่าวจาก คสช. บอกว่า นอกจากปัญหาที่ว่านั้นแล้ว ยังมีเรื่องของการเข้าตรวจค้น ที่จะต้องขอหมายศาลให้อนุญาตในการเข้าตรวจค้นก่อน กรณีนี้จะเป็นปัญหามากในพื้นที่ต่างจังหวัด เพราะเครือข่ายผู้กระผิดนั้นเหลือคณานับ ทำให้ไหวตัวทันก่อนที่เจ้าหน้าที่จะเข้าไป

ผลก็คือ การทำงานในช่วงที่ผ่านมาไม่เป็นที่น่าพอใจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม

เพราะกลุ่มผู้มีอิทธิพลเหล่านี้ล้วนโยงใยกับการเมือง ตั้งแต่ระดับท้องถิ่นไปจนถึงระดับชาติ

หากปล่อยให้การทำงานล่าช้า และค่อนข้างไปในทางล้มเหลวเช่นนี้ ผลกระทบอาจจะเกิดขึ้นกับการลงประชามติ ร่างรัฐธรรมนูญ และจะส่งผลกระทบต่อโรดแม็พที่เหลือของ คสช.

เมื่อติดดาบเพิ่มให้แก่ทหารแล้ว แม้จะยังคงตำแหน่ง หัวหน้าชุดปราบปรามผู้มีอิทธิพลของ พล.ต.อ.ศรีวราห์ แต่ทหารทั้งที่สังกัดกองทัพบกและกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ก็จะเคลื่อนไหวได้คล่องตัวมากขึ้น

“จากนี้ไป เราจะได้เห็นชุดเฉพาะกิจลงไปในพื้นที่ที่มีการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นบ่อยครั้งขึ้น” แหล่งข่าวจาก คสช.ย้ำ

ทั้งหมดนั้นคือเหตุผลของการออกคำสั่งครั้งล่าสุดของหัวหน้า คสช. แต่ถ้ามองในมุมฐานกำลังค้ำอำนาจ ก็จะเห็นว่า อำนาจของหัวหน้า คสช.ในวันนี้แน่นปึ้กมากกว่าวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เสียด้วยซ้ำไป

นั่นเป็นเพราะตำแหน่ง “ผู้บัญชาการทหารบก” ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ครองเก้าอี้ยาวนานถึง 4 ปีนั้น ระเบียบ ระบบและคนในกองทัพ ถูกจัดวางเอาไว้หมดแล้ว

Leave a comment