ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160330/224981.html
เปิดสาระร่างรธน.ฉบับประชามติคงอำนาจ คสช.-ครม.-สนช. จนลงหลังเสือ : สำนักข่าวเนชั่น โดย ขนิษฐา เทพจร
หมายเหตุ / ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) นำโดย นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. ได้จัดทำแล้วเสร็จและส่งมอบให้รัฐบาลเพื่อจัดการออกเสียงประชามติตามกระบวนการต่อไปเมื่อวันที่ 29 มีนาคม ที่ผ่านมา เนื้อหาต่อไปนี้เป็นสาระสำคัญของร่างฯ ที่กำหนดไว้ในหลายหมวดที่ได้ปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมจากเดิม รวมทั้งบทเฉพาะกาลที่บัญญัติว่าด้วยการอยู่ในอำนาจของ ครม. สนช. และคสช.
ส่วนของคำปรารถ มีสาระสำคัญถึงปัญหาการปกครองที่ไม่มีเสถียรภาพหรือราบรื่น เพราะปัญหาข้อขัดแย้งและเป็นวิกฤติที่เกิดจากรัฐธรรมนูญที่หาทางออกไม่ได้ รวมถึงเป็นเพราะพฤติกรรมของผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามหลักของกฎหมาย มีพฤติกรรมทุจริต ฉ้อฉลหรือบิดเบือนอำนาจ รวมถึงขาดความรับผิดชอบต่อประเทศและประชาชน ทำให้การทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องสร้างกลไกด้านต่างๆ เพื่อให้ประเทศสงบสุข ลดขัดแย้งและมีมาตรการแก้ไขวิกฤติ ทั้งนี้การดำเนินการตามกลไกได้ตั้งความหวังว่า เมื่อประชาชนร่วมมือกับภาครัฐตามแนวทางประชารัฐภายใต้หลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยและประเพณีการปกครองที่เหมาะสมกับสถานการณ์และลักษณะสังคมไทย รวมถึงอยู่บนหลักความสุจริต สิทธิมนุษยชน และหลักธรรมาภิบาล จะทำให้ประเทศขับเคลื่อนอย่างมั่นคงยั่งยืน ตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ขณะที่เนื้อหาในร่างรัฐธรรมนูญฯ ที่จัดทำแล้วเสร็จ มีทั้งสิ้น 279 มาตรา โดยมีเนื้อหาที่สำคัญ ดังนี้
หมวด 1 บททั่วไป ได้เพิ่มอำนาจให้ศาลรัฐธรรมนูญ, ประธานสภาผู้แทนราษฎร, ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร, ประธานวุฒิสภา, นายกฯ, ประธานศาลฎีกา, ประธานศาลปกครองสูงสุด, ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และประธานองค์กรอิสระ พิจารณาร่วมกันเพื่อหาข้อยุติกรณีที่การกระทำใดๆ ไม่มีบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญรองรับ ทั้งนี้ได้กำหนดหลักเกณฑ์การวินิจฉัยด้วยว่าให้ใช้เสียงข้างมากตัดสิน แต่หากมีคะแนนเสียงเท่ากันให้สิทธิประธานในที่ประชุม ซึ่งถูกเลือกกันภายในที่ประชุมออกเสียงชี้ขาด พร้อมกำหนดให้คำวินิจฉัยดังกล่าวนั้นให้เป็นที่สุด และมีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ ซึ่งเป็นเนื้อหาที่ปรับเพิ่มเติมจากมาตรา 7 รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550
หมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย มีสาระที่เพิ่มเติมจากร่างเบื้องต้น โดยนำความจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มาบัญญัติไว้ อาทิ เพิ่มความคุ้มครองสิทธิหรือเสรีภาพของปวงชนชาวไทยตามเจตนารมณ์ที่เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ แม้จะไม่มีการตรากฎหมายใช้บังคับ สำหรับบุคคลที่ถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพสามารถยกบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญเพื่อใช้สิทธิทางศาลหรือยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้คดีในศาลได้ รวมถึงกำหนดให้บุคคลที่ได้รับความเสียหายจากการละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพจากการกระทำผิดทางอาญาของบุคคลอื่น มีสิทธิได้รับการเยียวยาหรือช่วยเหลือจากรัฐที่กฎหมายกำหนด, สิทธิของบุคคลต่อการรับบริการสาธารณสุข ที่กำหนดสิทธิของบุคคลผู้ยากไร้ที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพื่อเข้ารับบริการสาธารณสุขของรัฐ รวมถึงบุคคลมีสิทธิได้รับการป้องกันและขจัดโรคติดต่ออันตรายจากรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และมีเนื้อหาที่เพิ่มขึ้นใหม่ คือ ให้สิทธิของมารดาในระหว่างก่อนและหลังการคลอดบุตรที่ต้องได้รับความคุ้มครองและช่วยเหลือตามที่กฎหมายบัญญัติ เช่นเดียวกับคนที่อายุเกิน 60 ปี ซึ่งไม่มีรายได้เพียงพอแก่การยังชีพ
หมวด 5 หน้าที่ของรัฐ มีเนื้อหาที่ปรับใหม่ อาทิ ให้รัฐจัดให้มีกำลังทหารให้ใช้เพื่อประโยชน์แก่การพัฒนาประเทศ ขณะที่การจัดการศึกษาให้เด็กจำนวน 12 ปี กำหนดให้รัฐต้องพัฒนาเด็กเล็กก่อนวัยเรียนเพื่อให้มีร่างกาย จิตใจ วินัย อารมณ์ สังคมและสติปัญญาให้สมกับวัย โดยรัฐต้องสนับสนุนค่าใช้จ่ายตามความถนัดด้วย ทั้งนี้กำหนดให้จัดตั้งกองทุนเพื่อใช้ในการช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา, กำหนดห้ามให้รัฐดำเนินการใดๆ เพื่อให้กรรมสิทธิ์ของโครงสร้างหรือโครงข่ายตกเป็นของเอกชนเกินร้อยละ 51 ไม่ได้, รัฐต้องทำประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนหรือชุมชนก่อนการดำเนินการโครงการของรัฐ รัฐต้องส่งเสริมให้ประชาชนรวมตัวเพื่อมีส่วนร่วมในการรณรงค์ให้ความรู้ ต่อต้าน หรือชี้เบาะแส โดยได้รับความคุ้มครองจากรัฐตามที่กฎหมายบัญญัติ
หมวด 6 แนวนโยบายแห่งรัฐ อาทิ ให้รัฐส่งเสริมการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เป็นพลเมืองที่ดี มีคุณภาพและมีความสามารถสูงขึ้น รวมถึงกำหนดให้จัดสรรงบประมาณที่คำนึงถึงความจำเป็น ความแตกต่างของเพศ วัย และสภาพของบุคคลเพื่อความเป็นธรรม, กำหนดแนวทางให้รัฐปฏิรูปกฎหมาย โดยกำหนดให้รัฐต้องรับฟังความเห็นจากผู้เกี่ยวข้องก่อนการตรากฎหมายทุกฉบับ และมาตรา 78 เพิ่มเติมขึ้นใหม่ ให้รัฐส่งเสริมประชาชนให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ รวมถึงต้องมีส่วนร่วมต่อการตรวจสอบอำนาจรัฐ ต่อต้านทุจริต และมีส่วนร่วมในการตัดสินใจทางการเมือง และบรรดาการอื่นๆ ที่อาจมีผลประทบต่อประชาชนและชุมชน
หมวด 7 รัฐสภา ส่วนที่ 1 บททั่วไป มีเนื้อหาที่ปรับเพิ่มเติมคือ ในส่วนการปฏิบัติหน้าที่ของประธานรัฐสภา มีกลไกแก้ปัญหาสุญญากาศของรัฐสภา กรณีไม่มีประธานรัฐสภา และประธานวุฒิสภาไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ โดยได้กำหนดให้รองประธานวุฒิสภาปฏิบัติหน้าที่ประธานรัฐสภาได้ ทั้งนี้เพิ่มเงื่อนไขหากรองประธานวุฒิสภาจะมาปฏิบัติหน้าที่ประธานรัฐสภา ต้องเป็นกรณีที่ไม่มีสภาผู้แทนราษฎรอยู่ปฏิบัติหน้าที่ และหากไม่มีรองประธานวุฒิสภาทำหน้าที่ กำหนดให้ ส.ว.ที่อายุมากที่สุดทำหน้าที่ประธานรัฐสภา, ปรับเงื่อนไขการทำหน้าที่ของ ส.ส. หรือ ส.ว. กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญรับวินิจฉัยเรื่องสมาชิกภาพ จากเดิมระบุให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ได้เพิ่มถ้อยคำที่ไม่ให้นับสมาชิกที่หยุดปฏิบัติหน้าที่รวมเป็นจำนวนสมาชิกของสภาเท่าที่มีอยู่
ส่วนที่ 2 สภาผู้แทนราษฎร มีเนื้อหาที่ปรับเพิ่มเติม อาทิ การสมัคร ส.ส. เพิ่มเงื่อนไขให้การทำพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. ต้องกำหนดหลักเกณฑ์ให้ผู้จะสมัครเป็นส.ส. ต้องยื่นหลักฐานแสดงการเสียภาษีเงินได้ประกอบการสมัครรับเลือกตั้งด้วย, ลักษณะต้องห้ามของผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้เพิ่มเนื้อหาห้ามผู้ที่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไม่ว่าคดีจะถึงที่สุดแล้วหรือไม่, การสิ้นสุดสมาชิกสภาของส.ส. ได้ตัดเนื้อหาของการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรงออก, การจัดเลือกตั้งส.ส.แทนตำแหน่งที่ว่างเพราะถึงคราวออกตามอายุของสภานั้น เพิ่มเติมถ้อยคำให้ยกเว้นการจัดเลือกตั้งซ่อมส.ส. หากอายุของสภาผู้แทนราษฎรอยู่เหลือไม่ถึง 180 วัน
ส่วนที่ 3 วุฒิสภา ยังคงใช้ระบบเลือกกันเองผ่านผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ และอาชีพ ทั้งนี้ได้เพิ่มเติมเนื้อหาให้การเลือกกันเองดังกล่าวมีความชัดเจน คือ ให้แต่งตั้งระดับอำเภอ ระดับจังหวัด และระดับประเทศ เพื่อให้ ส.ว.เป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยในระดับประเทศ, ปรับลักษณะต้องห้ามของส.ว. กรณีที่เป็นหรือเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง, รัฐมนตรี, สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น ต้องพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวไม่น้อยกว่า 5 ปี ซึ่งลดลงจากเนื้อหาที่กำหนดให้ต้องพ้นตำแหน่งไม่น้อยกว่า 10 ปี ขณะที่ความเป็นสมาชิกพรรคการเมือง เขียนเฉพาะการสังกัดพรรคการเมืองก่อนการได้เข้ารับตำแหน่งเท่านั้น โดยไม่ได้กำหนดว่าต้องพ้นจากความเป็นสมาชิกพรรคไม่น้อยกว่า 10 ปี เหมือนที่บัญญัติไว้เดิม, ตัดส่วนพฤติกรรมที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมอย่างร้ายแรงออกจากเนื้อหาของการสิ้ดสุดสมาชิกภาพ
ส่วนที่ 4 บทที่ใช้แก่สภาทั้งสอง ปรับเนื้อหาให้มีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกประชุมครั้งแรก ภายใน 15 วันนับแต่วันที่ประกาศผลเลือกตั้งส.ส. จากเดิมที่กำหนดไว้ในระยะ 5 วัน, การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี ได้ปรับเนื้อหาเพื่อคุ้มครองเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ได้บันทึกโต้แย้งการจัดทำโครงการหรืออนุมัติงบประมาณเพื่อดำเนินการใดๆ ที่เอื้อประโยชน์ให้กับส.ส. หรือ ส.ว. หรือกรรมาธิการ โดยกำหนดห้ามเปิดเผยรายละเอียดของผู้ที่บันทึกโต้แย้งในชั้นการสอบสวนทุกกรณี
หมวด 8 คณะรัฐมนตรี คงบทบัญญัติไว้ตามร่างเบื้องต้น และคงการเลือกนายกฯ ตามบัญชีของพรรคการเมืองไว้
หมวด 11 ศาลรัฐธรรมนูญ ให้มีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น 9 คน ทั้งนี้ได้ลดวาระการดำรงตำแหน่งจาก 9 ปี เป็น 7 ปี และเป็นได้เพียงครั้งเดียว ส่วนการนั่งพิจารณาและทำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ให้ใช้องค์คณะจำนวนไม่น้อยกว่า 7 คน พร้อมกำหนดให้ใช้เกณฑ์เสียงข้างมากตัดสินในคำวินิจฉัยและเขียนด้วยว่าเมื่อศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องไว้พิจารณาแล้ว ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะปฏิเสธไม่วินิจฉัยโดยอ้างว่าเรื่องนั้นไม่อยู่ในอำนาจศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้
หมวด 12 องค์กรอิสระ ได้ปรับวาระดำรงตำแหน่งของกรรมการในองค์กรอิสระทุกองค์กร มีวาระ 7 ปีเท่ากัน, คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ปรับเนื้อหาของการตรวจสอบการทุจริตการเลือกตั้งที่ กกต.ต้องยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตัง ได้เขียนให้ศาลฎีกาสั่งไต่สวนข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพิ่มเติมจากสำนวนของกกต.ได้เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม, ส่วนคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ปรับคุณสมบัติของผู้มีคุณสมบัติเข้ารับการสรรหาเป็นป.ป.ช. โดยเพิ่มให้มีสัดส่วนผู้ที่เป็นหรือเคยเป็นผู้บริหารระดับสูงในรัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐที่ไม่ใช่ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจไม่น้อยกว่า 5 ปี ด้วย
หมวด 15 แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ปรับเนื้อหาของการลงคะแนนเสียงเห็นชอบ โดยกำหนดให้ต้องมีคะแนนเสียงของพรรคการเมืองฝ่ายค้านไม่น้อยกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ของสมาชิกพรรคทั้งหมดรวมกัน จากเดิมที่กำหนดให้ใช้เสียงทุกพรรคการเมืองต้องมีสมาชิกพรรคไม่น้อยกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ ลงคะแนนเห็นชอบ
บทเฉพาะกาล ให้เว้นการใช้บทบัญญัติว่าด้วยการห้ามบุคคลดำรงตำแหน่งทางการเมือง มาบังคับใช้กับ รัฐมนตรี, ข้าราชการการเมืองที่ตั้งเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ของ ครม., หรือเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ของ คสช. หรือ สนช.ด้วย ขณะที่บทว่าด้วยการให้ ครม.ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ให้ปฏิบัติหน้าที่อยู่จนกว่าจะมี ครม.ที่ตั้งใหม่ปฏิบัติหน้าที่ ทั้งนี้ได้กำหนดให้รัฐมนตรีที่ปฏิบัติหน้าที่ต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตราที่เขียนในร่างรัฐธรรมนูญ แต่ได้ยกเว้นในส่วนการสิ้นสุดเพราะสภามีมติไม่ไว้วางใจ, รวมถึงคุณสมบัติที่ต้องมีความซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์, ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง, การใช้ตำแหน่งที่ก้าวก่ายแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อประโยชน์ตนเอง ของผู้อื่นหรือพรรคการเมือง, ความเป็นหุ้นส่วนหรือห้างหุ้นส่วน
ขณะที่การทำหน้าที่ของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) นั้น ได้ปรับให้ปฏิบัติหน้าที่ 120 วัน จากเดิมที่กำหนด 1 ปี เพื่อให้สอดคล้องกับการกำหนดออกกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ต้องทำให้เสร็จภายใน 120 วันนับจากที่รัฐธรรมนูญประกาศใช้, ขณะที่การทำกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญโดย กรธ. และ สนช.นั้น ได้ปรับระยะเวลาทำกฎหมายลูก ทั้ง 10 ฉบับ ส่วนของ กรธ.ให้แล้วเสร็จไม่เกิน 7 เดือน และส่งให้สนช.พิจารณาและกำหนดให้ สนช.พิจารณาให้แล้วเสร็จก่อนพ้นจากตำแหน่ง โดยมีระยะเวลาทำกฎหมายแต่ละฉบับไม่เกินกว่า 60 วัน
ส่วนการเลือกตั้ง ส.ส.ให้จัดการเลือกตั้งภายใน 150 วันหลังจากที่กฎหมายลูกที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง 4 ฉบับแล้วเสร็จ ขณะที่การสรรหา ส.ว.ชุดแรกจำนวน 250 คน ตามการแต่งตั้งของคสช. และให้มีวาระ 5 ปีพร้อมกำหนดให้ ส.ว.ชุดแรกมีหน้าที่ติดตาม เสนอแนะ และเร่งรัดการปฏิรูปประเทศ โดยให้ ครม.แจ้งความคืบหน้าทุก 3 เดือน ทั้งนี้ได้เขียนข้อยกเว้นสำหรับกรณีที่เกิดปัญหาเกี่ยวกับการเลือกนายกฯ ในบัญชีของพรรคการเมืองว่า หากไม่สามารถดำเนินการตามกระบวนการปกติได้ ให้นำเรื่องเสนอต่อที่ประชุมรัฐสภาเพื่อให้ลงมติเว้นการใช้บัญชีนายกฯ ของพรรคการเมือง เพื่อให้สามารถเลือกบุคคลที่อยู่นอกบัญชีเป็นนายกฯ ได้ ส่วนการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการองค์กรอิสระที่มีอยู่ก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญให้อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ขณะที่ร่างกฎหมายที่สำคัญที่กำหนดให้ ครม.ปัจจุบันทำให้เสร็จภายใน 1 ปี ได้แก่ กฎหมายว่าด้วยยุทธศาสตร์ชาติ, กฎหมายว่าด้วยการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม, กฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ และกฎหมายว่าด้วยความร่วมมือของประชาชนต่อการปราบปรามทุจริต
