เปิดเนื้อหา ก.ม.ปราบโกงสามชั่วโคตร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160328/224850.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม 2559
เปิดเนื้อหา ก.ม.ปราบโกงสามชั่วโคตร

เปิดเนื้อหา ก.ม.ปราบโกงสามชั่วโคตร : โดย…ประภาศรี โอสถานนท์ สำนักข่าวเนชั่น

                    ปัญหาการคอร์รัปชั่น ถือเป็นปัญหาเรื้อรังฝังรากลึกในสังคมไทยมาเป็นเวลายาวนาน ซึ่งการปราบปรามปัญหาคอร์รัปชั่นถือเป็นนโยบายหลักที่รัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต้องทำ
                    ขณะที่สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ที่เป็นหนึ่งในแม่น้ำ 5 สาย ได้มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบขึ้นมา เพื่อหาแนวทางในป้องกันการทุจริต โดยคณะกรรมาธิการมีการศึกษากฎหมายที่เกี่ยวข้อง และได้มีมติที่จะเสนอ ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม พ.ศ…. หรือที่รู้จักกันในชื่อของ “กฎหมายปราบโกงสามชั่วโคตร” ต่อที่ประชุม สปท.เพื่อส่งให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาต่อไป
                    สำหรับกฎหมายฉบับนี้ไม่ใช่ของใหม่ วรวิทย์ ศรีอนันต์รักษา โฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เล่าให้ฟังว่า ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ี้เคยผ่านความเห็นชอบของ สนช.มาแล้วในปี 2550 แต่มีบุคคลกลุ่มหนึ่งได้ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การดำเนินการจัดทำร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ เนื่องจากองค์ประชุมไม่ครบ จึงทำให้ร่างพ.ร.บ.นี้ไม่มีผลบังคับใช้
                    ต่อมาในสมัยสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ได้หยิบมาปัดฝุ่นใหม่ แต่ก็มีข้อท้วงติงว่า ร่างพ.ร.บ.นี้ให้ดำเนินเอาผิดกับผู้ที่กระทำผิดทั้งพ่อแม่ ลูก หลาน วงศาคณาญาติ รวมเจ็ดชั่วโคตร โดยจะมีคนโดนดำเนินคดีอย่างน้อย 84 คน อาทิ พ่อ แม่ ลูก หลาน พี่น้อง ลูกพี่ลูกน้อง พี่เขย พี่สะใภ้ ลุง ป้า น้า อา ปู่ ย่า ตา ยาย ของทั้งของภรรยาและสามี รวมทั้งคู่สมรส พี่น้องต่างมารดา พี่น้องต่างบิดา เป็นต้น ซึ่งถือว่า เป็นการ “หว่านแห” มากเกินไป คนที่ไม่รู้เรื่องก็โดนไปด้วย เกินความจำเป็นและแรงเกินไป ควรมีขอบเขตให้จำกัดมากกว่านี้ จึงได้มีการปรับเปลี่ยนให้เหลือสามชั่วโคตร ประกอบด้วย บุพการี หมายถึงพ่อ แม่ ลูก และคู่สมรสของลูก
                    “กฎหมายนี้ต้องออกมา เพราะที่ผ่านมา คำว่า “ขัดผลประโยชน์” ไม่ได้มีเขียนไว้ชัดเจน จึงอาจมีการตีความกันกว้างขวาง ทำให้ข้าราชการไม่มีเครื่องป้องกันตัว ไม่รู้ว่าต้องทำอะไร ซึ่งเมื่อกฎหมายนี้ออกมาก็จะเกิดเป็นแนวปฏิบัติให้ข้าราชการ นักการเมือง ปฏิบัติได้” โฆษกกรรมาธิการ อธิบายเหตุผล
                    สำหรับร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้มีทั้งหมด 20 มาตรา มีหลักการและเหตุผล คือ ปัจจุบันยังไม่มีความชัดเจนและครอบคลุมในการป้องกันและแก้ไขการกระทำในลักษณะที่เป็นการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนร่วม จึงต้องกำหนดหลักเกณฑ์ให้ชัดเจนและมีมาตรการป้องกันและแก้ไขการกระทำนั้นให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นและครบถ้วน
                    ทั้งนี้สาระสำคัญของร่างฉบับนี้ได้กำหนดคำนิยามของคำว่า “เจ้าหน้าที่รัฐ” ให้หมายถึง ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ผู้ดำรงตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่น พนักงานหรือบุคคลที่ปฏิบัติหน้าที่ในรัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกท้องถิ่น
                    นอกจากนี้ยังกำหนดคำนิยามของคำว่า “ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” ให้หมายความว่า นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฏร สมาชิกวุฒิสภา ข้าราชการการเมือง ข้าราชการรัฐสภาฝ่ายการเมือง ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เจ้าหน้าที่รัฐซึ่งดำรงตำแหน่งอื่นตามที่ ป.ป.ช.กำหนด
                    ส่วนคำว่า “คู่สมรส” ให้หมายรวมถึง กรณีชายและหญิงซึ่งอยู่กินกันฉันสามีภรรยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรส
                    “ญาติ” หมายความว่า บุพการีของตน ผู้สืบสันดานของตน คู่สมรสของบุตรของตน
                    สำหรับลักษณะของการ “ทุจริต” ที่เจ้าหน้าที่รัฐกระทำเข้าข่ายมีส่วนได้ส่วนเสียไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมเพื่อผลประโยชน์ของตนเองหรือบุคคลอื่น ซึ่งเป็นการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวมหรือการใช้ตำแหน่งหน้าที่เพื่อประโยชน์ของตนเองหรือเครือญาติ กำหนดไว้ในมาตรา 5 ซึ่งมีลักษณะของการทุจริตอยู่ 8 ลักษณะ เช่น กำหนดนโยบายหรือเสนอกฎหมายหรือกฎซึ่งเอื้อประโยชน์ต่อกิจการที่ตน คู่สมรส บุตรหรือบิดามารดา มีส่วนได้ส่วนเสียอยู่, นำความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ตนมีต่อบุคคลอื่น มาประกอบการใช้ดุลพินิจในการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นคุณหรือหรือเป็นโทษแก่บุคคลนั้น, ใช้อำนาจหน้าที่ของตนที่มีอยู่ไปมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจโดยอิสระในการใช้อำนาจตามตำแหน่งหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งดำรงตำแหน่งอื่นโดยทุจริตไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม, การใช้เวลาราชการ หน่วยงาน เงิน ทรัพย์สิน บุคลากร บริการ สิ่งอำนวยความสะดวกของทางราชการ หน่วยงาน ไปเพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือผู้อื่น เว้นแต่ได้รับอนุญาตโดยชอบด้วยกฎหมาย, การใช้ข้อมูลภายในที่เป็นความลับ, การริเริ่ม จัดทำ หรืออนุมัติโครงการของรัฐโดยทุจริตเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อตนเองและบุคคลอื่น, ให้สัมปทาน ทำสัญญา หรือทำนิติกรรม เพื่อเป็นประโยชน์แก่บุคคลหนึ่งบุคคลใด, การใช้ตำแหน่งหน้าที่ส่งผลต่อการ บรรจุแต่งตั้ง เลื่อนขั้นเงินเดือน โอน ย้าย ทั้งนี้ให้ใช้บังคับกับการกระทำของคู่สมรส บุตรของเจ้าหน้าที่ ขณะที่ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากเจ้าหน้าที่รัฐก็ให้ถือว่าบุคคลนั้นมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดและรับโทษเช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่รัฐ
                    โฆษกคณะกรรมาธิการได้ยกตัวอย่างพฤติกรรมที่เข้าข่ายลักษณะความผิดการโกง ทุจริต เช่น ตระกูลทำบ้านจัดสรร ตัวเองเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ มีการเอื้อประโยชน์ด้วยการออกกฎหมายไปยกเว้นภาษีอสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้โครงการบ้านจัดสรรขายดี หรือกรณีที่นำรถหลวงไปใช้ นำไปให้ภรรยาหรือบุตรใช้ ก็เข้าข่ายความผิดนี้ หรือกรณีโยกงบหลวงไปตัดถนนเพื่อตนเอง รวมทั้งการแทรกแซงการทำงานของลูกน้องก็เข้าข่ายเช่นกัน
                    ขณะที่บทลงโทษเจ้าหน้าที่รัฐกระทำการตามมาตรา 5 นั้น จะมีโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี และปรับตั้งแต่ 40,000–400,000 บาท แต่หากว่าเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งกระทำความผิดเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีโทษจำคุกตั้งแต่ 2-15 ปี และปรับตั้งแต่ 80,000-600,000 บาท และยังครอบคลุมไปถึงคู่สมรสหรือญาติของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่กระทำความผิดดังกล่าวด้วย โดยให้มีโทษเช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่รัฐ
                    จะเห็นได้ว่า ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ได้กำหนดลักษณะความผิดที่ชัดเจน และบทลงโทษค่อนข้างหนักสำหรับเจ้าหน้าที่รัฐที่กระทำความผิด
                    แต่ก็ยังมีคำถามว่า เมื่อกฎหมายออกมาบังคับใช้จะสามารถปราบโกงเจ้าหน้าที่รัฐและนักการเมืองได้มากน้อยแค่ไหน “วรวิทย์” ให้คำตอบว่า เมื่อมีกฎหมายฉบับนี้ขึ้นมาทุกฝ่ายจะได้มีแนวปฏิบัติ และข้าราชการก็จะมีความสบายใจในการทำงาน ส่วนนักการเมืองจะ “กลัว” หรือไม่นั้น ก็ไม่แน่ใจเพราะนักการเมืองชอบ ”เสี่ยง” อีกทั้งกฎหมายฉบับนี้ที่จะต้องออกมาเนื่องจากประเทศไทยได้ให้สัตยาบันในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ศ.ศ.2003 (พ.ศ.2546) โดยกรรมาธิการจะเสนอร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุม สปท.เร็วๆ นี้
                    “กฎหมายฉบับนี้ถือว่าไม่แรง เพราะไม่ใช่เรื่องลงโทษ แต่เป็นเกณฑ์ที่ต้องปฏิบัติ หากไม่ทำต้องโดนลงโทษ ซึ่งสังคมไทยเป็นสังคมอุปถัมภ์ มีความกตัญญู มีน้ำใจ มีความเอื้ออาทร แต่เมื่อเข้าสู่ระบบราชการ หรือระบบการเมือง ต้องมีความชัดเจน แต่เราแยกกันไม่ออก เพราะเอื้ออาทรกลับส่งผลกระทบต่อคนอื่นทำให้เสียสิทธิ ดังนั้นต้องตรงไปตรงมา“ นายวรวิทย์ กล่าวตบท้าย พร้อมย้ำว่า หากเป็นในสถานการณ์บ้านเมืองที่ปกติ ยากที่กฎหมายฉบับนี้จะออกมา เพราะนักการเมือง ”เสียวสันหลัง” ซึ่งกฎหมายนี้ “คนดีไม่ต้องกลัว แต่คนทุจริตต้องระวัง”
——————–
(เปิดเนื้อหา ก.ม.ปราบโกงสามชั่วโคตร : โดย…ประภาศรี โอสถานนท์ สำนักข่าวเนชั่น)

Leave a comment