ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
http://www.thairath.co.th/content/576954
โดย หมอดื้อ 14 ก.พ. 2559 05:01

จึงน่าจะเป็นไปได้ว่า…การประนีประนอมทั้งสองทฤษฎี กล่าวคือ “สมองสองซีก”…ที่มีหน้าที่จำเพาะเกิดมาแต่เก่าก่อนรวมทั้งการพัฒนาอีกระดับมาเกิดในยุคมีมนุษย์ อาจจะอธิบายสมองสองซีกในคนได้ดียิ่งขึ้น
การสื่อสารกับ “สมองซีกซ้าย”…มาจากมรดกทางวิวัฒนาการของการใช้มือขวา ผ่านทางการปรับพฤติกรรมเรื่องอาหารของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชั้นสูง อย่างไรก็ตาม แม้แต่ “สมองภาษา (the language brain)” ที่จำเพาะของสมองซีกซ้าย เช่น การสื่อสารทั้งภาษาพูด และภาษากาย ความสามารถในการสื่อสารเหล่านั้นไม่ได้เริ่มเกิดขึ้นในมนุษย์
สมองด้านซ้าย…ควบคุมการร้องเพลงในนก ส่วนในสิงโตทะเล สุนัขและลิงนั้น สมองซีกซ้ายคุมการรับรู้ของการร้องเรียกของสัตว์ในสายพันธุ์เดียวกัน ลิงมาร์โมเสทจะเปิดปากร้องเรียกเพื่อนโดยเปิดข้างขวากว้างกว่าข้างซ้าย มนุษย์เราก็ทำแบบเดียวกันในขณะพูด ซึ่งเกิดจากการกระตุ้นของหน้าทางด้านขวามากกว่า โดยสมองซีกซ้ายนั่นเอง ในสัตว์บางประเภทการตอบสนองด้วยเสียงในสถานการณ์ที่มีอารมณ์ร่วมมาก ก็พบว่ามีสัมพันธ์กับสมองซีกซ้ายด้วย ถึงแม้ว่าบางคนจะคิดว่าน่าจะเป็นซีกขวาก็ตาม
ตัวอย่างเช่น เมื่อกบตัวผู้โดนล้อมด้วยคู่ต่อสู้ มันจะส่งเสียงร้องจากการควบคุมด้วยสมองซีกซ้าย เช่นเดียวกันกับในหนู ที่หนูแรกเกิดจะส่งเสียงขอความช่วยเหลือ หรือหนูเกอบิลจะร้องเรียกในเวลาหาคู่ ซึ่งกลุ่มนี้อาจเป็นกลุ่มที่ยกเว้น ในมนุษย์ ลิง และสัตว์ส่วนใหญ่ สมองซีกขวาต่างหากที่เป็นตัวควบคุม เสียงในสถานการณ์ที่มีอารมณ์ร่วมมาก ในขณะที่สมองซีกซ้ายก็ติดอยู่กับงานที่ทำประจำ การสื่อสารทางกายในมนุษย์ก็มีวิวัฒนาการมาเหมือนกัน ลิงชิมแปนซีไม่เพียงแต่ใช้มือขวาจับของ แต่ยังใช้แสดงท่าทางด้วย เช่นเดียวกับกอริลลา ที่จะใช้มือในการสื่อสารร่วมกับศีรษะและปากของมัน การสื่อสารของลิงบาบูนใช้ด้วยการตบพื้น
ความสำคัญของวิวัฒนาการชัดเจนขึ้นเมื่อพบว่า มนุษย์ก็แสดงออกทางภาษากายโดยใช้มือขวามากกว่าเช่นกัน พฤติกรรมเกี่ยวเนื่องกับความถนัดของมือพบตั้งแต่บรรพบุรุษมนุษย์ที่คล้ายลิง ซึ่งเกิดก่อนมนุษย์จะถือกำเนิดขึ้น อาจจะตั้งแต่ 40 ล้านปีก่อน
วิวัฒนาการทางภาษายังคงยากที่จะตอบคำถามพื้นฐานที่ว่า พฤติกรรมด้านการหาอาหาร การออกเสียง การสื่อสารโดยใช้มือขวา ที่ถูกควบคุมโดยสมองซีกซ้ายนี้ ได้พัฒนามาสู่การใช้ภาษาได้อย่างไร มีสมมติฐานว่า เริ่มจากพยางค์ ซึ่งประกอบด้วยพยัญชนะและสระ ซึ่งพัฒนามาจากการขยับกรามส่วนล่าง ซึ่งใช้ในการเคี้ยว การดูดน้ำ และการเลียอาหาร ซึ่งทำให้เกิดการขมุบขมิบปาก ซึ่งกลายเป็นสัญญาณในการสื่อสารขั้นพื้นฐาน ต่อมาการออกเสียงจากหลอดเสียงก็มาผสมผสานกับการขยับปากให้เป็นพยางค์ที่ออกเสียงได้ พยางค์อาจจะใช้เพื่อเป็นสัญลักษณ์ในความหมายเฉพาะตัวแล้วก็สร้างมาเป็นคำ สุดท้ายก็เป็นความสามารถในการสร้างประโยค ซึ่งก็เป็นการรวมอย่างน้อย “ประธาน” กับ “กริยา” ซึ่งก็พัฒนาการมาเป็นภาษานั่นเอง
“สมองซีกขวา”…เพื่อพิสูจน์สมมติฐานในส่วนหลัง จึงจำเป็นต้องดูว่าหลักฐานน่าเชื่อถือเพียงไร ที่กล่าวว่าในสัตว์มีกระดูกสันหลังยุคแรกมีวิวัฒนาการโดยสมองซีกขวาสำคัญในด้านการตรวจ และตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นเหนือความคาดหมาย และความจำเพาะของสมองซีกขวามีวิวัฒนาการ และเปลี่ยนแปลงรูปแบบไปด้วยวิธีใด การค้นพบที่สนับสนุนทฤษฎีนี้มาจากการศึกษาปฏิกิริยาของผู้ล่าในสัตว์หลายประเภท
โดยรวมเหตุการณ์ที่เหนือความคาดหมายมากที่สุดในสิ่งแวดล้อมของสัตว์มีกระดูกสันหลังยุคโบราณก็คือ การปรากฏตัวของผู้ล่าที่อาจทำให้สัตว์เหล่านั้นเป็นอันตรายถึงชีวิต
ในปลา สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์ปีก และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม จะตอบสนองด้วยการหลีกเลี่ยงผู้ล่า ซึ่งมองเห็นจากทางซ้ายของลานสายตา ซึ่งหมายถึงด้านขวาของสมอง หลักฐานในมนุษย์มาจากการศึกษาภาพถ่ายทางสมอง มนุษย์ได้มีกระบวนการทางสมองในด้านระบบเตือนภัยในสมองซีกขวา ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับตัวกระตุ้นที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมที่เหนือความคาดหมาย
กล่าวง่ายๆก็คือ สิ่งกระตุ้นที่บอกว่าอันตรายอยู่ข้างหน้า การมีระบบเตือนภัยช่วยให้มนุษย์เรามีเหตุผลในพฤติกรรมที่ดูเหมือนจะอธิบายได้ยากในห้องปฏิบัติการ คนที่ถนัดขวาจะตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นเหนือความคาดหมายได้เร็วกว่าคนที่ถนัดซ้าย
แม้แต่ในเหตุการณ์ที่ไม่ก่ออันตราย สัตว์มีกระดูกสันหลังหลายชนิดก็เฝ้าระวังผู้ล่าด้วยตาซ้าย พฤติกรรมที่สมองซีกขวาจำเพาะต่อการระวังภัยนี้ขยายไปยังพฤติกรรมที่ก้าวร้าวรุนแรงด้วย สัตว์พวกคางคก กิ้งก่าชามิเลียน ไก่ และลิงบาบูน มีแนวโน้มที่จะทำอันตรายสัตว์ตัวอื่นในสายพันธุ์เดียวกัน โดยใช้ด้านซ้ายมากกว่า
ในมนุษย์นั้น พฤติกรรมระวังภัย และหลบหลีกนี้ได้พัฒนามาสู่อารมณ์ทางลบหลายประการ แพทย์ในศตวรรษที่ 19 ได้สังเกตผู้ป่วยที่มาพบด้วยอาการอ่อนแรงของแขนขา ที่สัมพันธ์กับอารมณ์ (hysterical limb paralysis) เป็นมากในด้านซ้ายมากกว่าด้านขวา มีหลักฐานที่แสดงออกว่าการควบคุมสมองซีกขวาในการตะโกน หรือกรีดร้องด้วยอารมณ์นั้น แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับเสียงที่ออกมาตามปกติที่ควบคุมโดยสมองซีกซ้าย นอกจากนี้คนที่มักมีอารมณ์ซึมเศร้าจะพบมากหลังจากที่สมองซีกซ้ายถูกทำลายมากกว่าซีกขวา โดยที่คนที่มีอารมณ์ซึมเศร้าเรื้อรังนั้น สมองซีกขวาจะทำงานมากกว่าสมองซีกซ้าย การจดจำผู้อื่นในสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง สัตว์มีกระดูกสันหลังยุคแรกต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วทั้งในการอยู่ร่วมกันกับพวกของมันเอง และการปรากฏตัวของผู้ล่า สมองซีกขวาของปลา และนกจะรับรู้ และคอยตรวจสอบพฤติกรรมสัตว์ตัวอื่นที่อาศัยร่วมกัน ซึ่งอาจจะต้องใช้ปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็ว ดังนั้นหน้าที่ของสมองซีกขวาในการรับรู้หน้าตาก็ได้รับการถ่ายทอดจากสัตว์มีกระดูกสันหลังชั้นต้นนั่นเอง
ตัวอย่างเช่น มีแค่ปลาไม่กี่สายพันธุ์ในสัตว์มีกระดูกสันหลังยุคแรก ที่สามารถจดจำ ปลาตัวอื่นๆได้ แต่นกโดยทั่วไปสามารถใช้ความสามารถของสมองซีกขวาในการจดจำนกตัวอื่นได้ แกะสามารถจดจำหน้าตาของตัวอื่นๆรวมทั้งมนุษย์ โดยสมองซีกขวามีส่วนสำคัญมาก พฤติกรรมที่คล้ายคลึงกันนี้พบได้ชัดในลิง ความพิเศษของสมองซีกขวาในการจดจำหน้าของคน เมื่อผิดปกติเรียกว่า “Prosopagnosia”.
หมอดื้อ

