เปิด “โลกการเงินใหม่” สะดวกสบายในยุคดิจิตอล

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/605291

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 14 เม.ย. 2559 05:01

 

นับตั้งแต่ “อินเตอร์เน็ต” ไร้สาย และ “สมาร์ทโฟน” ได้ก้าวเข้ามาในชีวิตคนไทยอะไรๆ ก็ดูเหมือนจะง่ายขึ้น

การติดต่อสื่อสาร ทำธุรกิจการงาน พบปะพูดคุยกับเพื่อนฝูง ทั้งเพื่อนใหม่ หรือเพื่อนเก่าที่ห่างหายไปนาน รวมถึงการหาความรู้ใหม่ๆ ก็สามารถทำได้ผ่าน “โลกออนไลน์” ที่ไร้เส้นกั้นพรมแดน

“โลกการเงิน” ก็เช่นกัน ในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา บัตรอิเล็กทรอนิกส์เช่น บัตรเติมเงิน บัตรเงินสด หรือบัตรแตะยี่ห้ออื่นๆ ที่ใช้ซื้อสินค้าและบริการแทนเงินสด รวมถึงการโอนเงินผ่านตู้เอทีเอ็ม และเคาน์เตอร์ร้านสะดวกซื้อ ถือเป็นพัฒนาการของการชำระเงินไทยที่สร้างความสะดวกสบายให้กับคนไทยมากยิ่งขึ้น

และในยุคที่รัฐบาลไทยกำลังเดินหน้ายกระดับ “โครงสร้างเศรษฐกิจไทย สู่ประเทศเศรษฐกิจดิจิตอล ในอีก 20 ปีข้างหน้า” ตั้งเป้าหมายให้ทุกหมู่บ้านในประเทศได้ใช้ “อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง” ใน 5 ปี รวมถึงการเปิดให้บริการเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สาย 4 จี อย่างเต็มรูปแบบ และแนวโน้มข้างหน้าที่ “สมาร์ทโฟน” ราคาถูกจะเข้ามายึดหัวหาดบ้านเรามากขึ้น ระบบการเงินไทยก็กำลังเปลี่ยนแปลงเช่นกัน

ความฝันของภาคการเงิน คือ การรื้อ โละ ยกเลิก “ระบบเงินสด บัญชีเงินฝาก และการให้บริการหน้าเคาน์เตอร์ธนาคาร” ที่แสนจะยุ่งยาก และค่าใช้จ่ายสูง มาสู่ “เงินอิเล็กทรอนิกส์” และก้าวหน้าไปถึงการใช้ “บัตรประชาชน” แทนบัตรเงินสด ขณะที่การชำระเงินผ่านแอพพลิเคชั่นต่างๆ ทำให้ “สมาร์ทโฟน” ของเรากลายเป็น “กระเป๋าสตางค์เคลื่อนที่”

กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เจ้าภาพหลักของระบบการเงินไทย ตั้งเป้าหมายที่จะทำ “ฝันนี้ให้เป็นจริง” ใน 5 ปีข้างหน้า ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ ระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment) ร่างกฎหมายระบบการชําระเงิน (Payment Systems Act) และแผนพัฒนาระบบการชำระเงินของ ธปท.ฉบับที่ 3 และฉบับที่ 4 โดยลอตแรกจะเห็นผลชัดเจนในช่วง 1 ปี 6 เดือน หรือในเดือน ก.ย.ที่จะถึงนี้

“ทีมเศรษฐกิจ” ติดตามความคืบหน้า “พัฒนาการการชำระเงินยุค 4 จี” ยุคที่เรากำลังเปลี่ยนผ่านสู่ “โลกการเงินดิจิตอล” และการใช้เงินแบบ “แตะ กด รูดปื๊ด” เพื่อก้าว สู่ยุค “ดิจิตอลไทยแลนด์” และ “ดิจิตอล มันนี่” ไปพร้อมๆ กัน

สร้างตัวตนการเงินใหม่ “Any ID”

ทั้งนี้ ภายใต้ยุทธศาสตร์ National e-Payment หรือการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ ซึ่งผ่านที่ประชุมคณะรัฐมนตรีไปเมื่อปลายปี 2558 ที่ผ่านมา จะประกอบด้วยงานที่ต้องเร่งดำเนินการ 5 ด้าน

1.ด้านโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน 2.การขยายการใช้บัตรแทนเงินสด 3.ระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ 4.ระบบ e-Payment ของภาครัฐ และ 5.การส่งเสริมและประชาสัมพันธ์การให้ความรู้ด้าน e-Payment แก่คนในประเทศ

โดยส่วนที่สัมพันธ์กับ “โลกการเงิน” จะเป็น 2 เรื่องแรก คือ การวางโครงสร้างพื้นฐานของระบบชำระเงิน สร้าง Any ID หรือตัวแทนของบัญชีเงินฝาก 4 ประเภท คือ Any ID ที่มาจากเลขที่บัตรประชาชน Any ID ที่มาจากหมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่ Any ID ที่มาจาก e-Wallet ID หรือเลขที่บัตรเงินสด และ Any ID ที่มาจากอีเมล แอดเดรส

อย่างไรก็ตาม 1 หมายเลขของ Any ID จะผูก หรือแทนเลขที่บัญชีเงินฝากของประชาชนได้ 1 บัญชีเท่านั้น ซึ่งหลังจากประชาชนไปแจ้งลงทะเบียนกับธนาคารพาณิชย์ที่เรามีบัญชีเงินฝากอยู่ เพื่อสร้างฐานข้อมูลกลางของระบบแล้ว เราจะสามารถใช้ Any ID ของเราแทนหมายเลขบัญชีเงินฝากในการฝาก ถอน โอนเงิน ชำระค่าสินค้าและบริการ รวมถึงทำธุรกรรมทางการเงินอื่นๆ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการชำระค่าสินค้าและบริการออนไลน์ ผ่านระบบอี-คอมเมิร์ซ และอี-บิสซิเนส ให้สะดวกมากขึ้น และช่วยเร่งกำลังของการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยมากขึ้นด้วย

โดยในขณะนี้อยู่ระหว่างการสร้างฐานบัญชี Any ID กลางเพื่อเชื่อมโยงทุกระบบเข้าด้วยกัน ซึ่งรัฐบาลคาดว่าในเดือน ก.ค.ที่จะถึงนี้ จะสามารถเปิดให้คนไทยลงทะเบียน ผู้มีบัญชีเงินฝากกับหมายเลข Any ID เป็นครั้งแรก

กระเป๋าเงินยุคใหม่ “บัตรประชาชน–มือถือ”

หลังจากนั้น เป้าหมายในระยะต่อไป คือ วางโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อการใช้ “บัตรประชาชน” และ “สมาร์ทโฟน” แทนเงินสดในการใช้จ่ายซื้อข้าวของ บริการ รวมทั้งชำระค่าสาธารณูปโภค และติดต่อกับภาครัฐ แบบเดียวกับบัตรเงินสด หรือบัตรเดบิต โดยไม่ต้องมีบัญชีเงินฝาก

เพียงแค่ใช้วิธีโอนเงิน หรือเติมเงินเข้าไปในบัตรประชาชน ผ่านระบบธนาคาร หรือเคาน์เตอร์ร้านสะดวกซื้อ ซึ่งจะทำให้คนไทยทั่วประเทศสามารถนำบัตรประชาชนไปใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการในร้านค้าที่รับบัตรดังกล่าวในการชำระเงินได้ทันที ทำให้แม้อยู่ในพื้นที่ห่างไกล และที่ผ่านมาไม่สามารถเข้าถึงบริการจากธนาคารพาณิชย์ “ใช้บัตรแทนเงิน ไม่ต้องพกเงินสด สะดวกปลอดภัยไม่ต่างจากคนเมือง”

ขณะที่ด้าน “สมาร์ทโฟน” อินเตอร์เน็ต เอ็ม แบงก์กิ้ง และอินเตอร์เน็ต แบงก์กิ้ง ขณะนี้มีการพัฒนาแอพพลิเคชั่น ทั้งของธนาคารพาณิชย์ ผู้ประกอบการโทรศัพท์มือถือ และเครือข่ายออนไลน์จำนวนมาก ที่พร้อมจะอำนวยความสะดวก เปลี่ยนสมาร์ทโฟนของเราให้เป็น “กระเป๋าสตางค์ หรือบัตรเงินสด” ในการซื้อสินค้าและบริการ รวมทั้งการใช้ระบบ “คิวอาร์โค้ด” ในการชำระเงิน

ทั้งนี้ ตามแผนพัฒนาระบบชำระเงิน ฉบับที่ 3 ของ ธปท.แนวทางการพัฒนาบริการระบบการชำระเงินและโครงสร้างพื้นฐานด้านการชำระเงิน มุ่งเน้นการส่งเสริมและพัฒนาบริการการชำระเงินเพื่อสนับสนุนการเข้าสู่ยุคดิจิตอลในทุกภาคส่วน ส่งเสริมให้ประชาชน ภาคธุรกิจและภาครัฐใช้ประโยชน์จาก e-Payment อย่างแพร่หลาย

ประชาชนจะได้รับบริการการชําระเงิน เช่น โอนเงินชําระเงิน จ่ายบิล ในลักษณะ “Anywhere Anytime Any device : ทําธุรกรรมได้ทุกที่ ทุกเวลา ทุกอุปกรณ์” ตอบสนองไลฟ์สไตล์สังคมดิจิตอล ขณะที่ร้านค้าและกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่สามารถขยายช่องทางการค้า การชำระเงินออนไลน์ทั้งในประเทศ และการซื้อขายลงทุนกับต่างประเทศ

“20 บาท” จ่ายได้ทุกที่ ทุกเวลา

อย่างไรก็ตาม “บัตรเงินสด หรือกระเป๋าสตางค์ออนไลน์” จะไม่มีความหมายใดๆ หาก ไม่มี “ผู้รับชำระเงิน” โดย ธปท.มีแผนที่จะขยายจุดรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ภายใน 1–2 ปีนี้

โดยมีแผนที่จะเพิ่มจำนวนเครื่องรับบัตรในภาพรวม Electronic Data Capture (EDC) และ Mobile Point of Sale (MPOS) จะเพิ่มจาก 300,000-400,000 เครื่อง ในปัจจุบัน เป็น 700,000-900,000 เครื่อง ในอนาคต

ขณะที่พัฒนาให้เครื่องรับบัตรสามารถรองรับ Any ID ได้ทุกประเภท เจาะร้านค้าตั้งแต่รายเล็ก รายน้อยในอำเภอ ไปจนถึงธุรกิจรายใหญ่ โดยคณะกรรมการขับเคลื่อนตาม แผนยุทธศาสตร์ e-Payment ตั้งเป้าหมายให้สามารถใช้บัตรชำระแทนเงินสดได้สำหรับสินค้าราคาตั้งแต่ 20 บาทเป็นต้นไป

ดังนั้น ในอนาคตข้างหน้า เมื่อระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ของรัฐบาลทำงานอย่างเต็มรูปแบบแล้ว หากคนชรา หรือคนพิการ ผู้มีรายได้น้อย หรือผู้ด้อยโอกาสในพื้นที่ห่างไกล หรือในชนบท ได้รับโอนเงินสวัสดิการจากภาครัฐ เข้าสู่บัตรประชาชน ก็สามารถที่จะนำบัตรประชาชนดังกล่าว ไปรูด แตะ กด ชำระสินค้าและบริการได้ในร้านค้าในพื้นที่ที่ติดตั้งเครื่องรับชำระเงิน เพิ่มความสะดวกได้เท่ากับคนเมือง

ขณะเดียวกัน ธปท.ได้ผลักดันศูนย์กลางการชำระดุลอิเล็กทรอนิกส์ ภายใต้เครือข่ายภายในประเทศ (Local Switching) ซึ่งมีต้นทุนการให้บริการที่ถูกลงกว่าในปัจจุบันที่ใช้เครือข่าย ชำระดุลบัญชีระหว่างประเทศค่อนข้างมาก ส่งผลให้ค่าธรรมเนียมการใช้บัตรเดบิต และเงินอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ สามารถถูกลงได้อีกในอนาคต

สำหรับ Mobile Application หรือแอพพลิเคชั่นทางการเงินบนมือถือ และการให้ บริการประเภท In-App Purchases ซึ่งพัฒนาโดยผู้ให้บริการอี-คอมเมิร์ซ ที่ให้บริการชำระเงินออนไลน์ ธปท.กำลังยกร่างแนวปฏิบัติการใช้คิวอาร์ โค้ด สำหรับการชำระเงิน ซึ่งใกล้เคียงกับการสแกนบาร์โค้ด รวมทั้งร่างแนวนโยบายเสริมสร้างความเชื่อมั่นการชำระเงินโดยใช้อุปกรณ์เคลื่อนที่ ภายใต้แผนพัฒนาระบบการชำระเงิน ฉบับที่ 3 ซึ่งจะแล้วเสร็จในปี 2559 นี้

คาดว่าเมื่อการชำระเงินด้วย “สมาร์ทโฟน” สะดวก ง่าย และมีผู้รับชำระมากขึ้น ผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตามจำนวนเบอร์โทรศัพท์มือถือ ซึ่งประเทศไทยใช้กันอยู่ขณะนี้แตะ 100 ล้านเบอร์ทีเดียว

สังคมไร้ “เงินสด” ลดคอร์รัปชัน

มาที่แผนยุทธศาสตร์การชำระเงินของภาครัฐ ทั้งระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ และการสร้างระบบ e–Payment ของภาครัฐ ซึ่งแม้จะไม่เกี่ยวข้องกับ “เงิน” โดยตรง แต่ก็จะช่วยสร้างความสะดวกสบายในการจ่ายเงินที่ต้องติดต่อกับภาครัฐ

โดยระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์นั้น จะทำให้คนจ่ายภาษีสะดวกสบายมากขึ้น ขยายฐานภาษีให้กับภาครัฐมากขึ้น ขณะเดียวกันก็สามารถลดการหลีกเลี่ยงภาษีได้มากขึ้นด้วย นอกจากนั้น ข้อมูลการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบภาษียังช่วยให้ภาครัฐแยกแยะ ผู้มีรายได้สูง และผู้ที่มีรายได้น้อย ซึ่งต้องได้รับการเยียวยาเป็นกรณีพิเศษได้ดีมากขึ้น สามารถจ่ายเงินตรงไปยังผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ ลดการทุจริตคอร์รัปชันของประเทศอีกทางหนึ่ง

ขณะที่การก้าวสู่ e-Payment ของ หน่วยงานภาครัฐอื่นๆ ทุกหน่วยงานจะทำให้งานเอกสาร งานติดต่อกับราชการ รวมทั้งการชำระเงินได้โดยใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์แทนเงิน ง่ายสำหรับประชาชนและภาคธุรกิจมากขึ้น และลดเวลาธุรกรรมลง ส่งผลดีต่อภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในอนาคต

ทั้งนี้ “เป้าหมายของเศรษฐกิจดิจิตอล” คือ การยกระดับโครงสร้างเศรษฐกิจ ไทยในทุกด้าน ทั้งภาครัฐ และภาคธุรกิจสู่ฐานเศรษฐกิจดิจิตอลชั้นนำของโลกภายใน 20 ปี โดยใช้ความสะดวกสบายของนวัตกรรม ของโลก ดิจิตอลเพิ่มมูลค่าของเศรษฐกิจไทยให้สูงขึ้น 25% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) จากวันนี้

ขณะที่ “เป้าหมายของโลกการเงินยุคใหม่ คือ การเข้าสู่สังคมไร้เงินสด” และทำให้ผู้อยู่ในพื้นที่ห่างไกลหรือด้อยโอกาสทางการเงิน เข้าถึงบริการทางการเงินได้ง่าย และเท่าเทียมกับคนเมือง

“ความสบาย” ที่มาพร้อมภัยใกล้ตัว

อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากการพัฒนาของผลิตภัณฑ์ทางการเงินในประเทศ เรายังมีความสะดวกสบายของโลกการเงินยุคใหม่ที่มาจาก “นวัตกรรมทางการเงิน” ที่ข้ามพรมแดนมาจากต่างประเทศ และกำลังเข้ามาตีตลาดการเงินของไทยเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ผลิตภัณฑ์ การให้บริการสินเชื่อ และรับเป็นที่ปรึกษาทางการ เงินด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ” ที่บนโลกออนไลน์ หรือเรียกกันว่า Fintech ซึ่งมาจากคำว่า Finance กับคำว่า Technology ที่จะเน้นการใช้เทคโนโลยีการสื่อสารออนไลน์มาประยุกต์ใช้ในธุรกิจการเงิน การธนาคาร และการลงทุน

ง่ายๆที่สุด เช่น ระบบการซื้อขายหุ้น ขายกองทุนออนไลน์ รวมทั้งการให้คำปรึกษาทางการเงินในการทำธุรกิจอย่างครบวงจรตั้งแต่เริ่มต้นจนประสบความสำเร็จ และในระดับต่อไป คือ การเป็นแหล่งเงิน โดยธุรกิจที่เริ่มต้นกิจการจะสามารถระดมทุน หรือหาแหล่งเงินทุนได้ จากบริการออนไลน์ที่ทำหน้าที่จับคู่ผู้ที่สนใจนำเงินมาลงทุนให้กู้ กับผู้ให้กู้โดยตรง โดยจ่ายตามผลตอบแทนที่ตกลงกันออนไลน์ ไม่ต้องผ่านระบบธนาคารพาณิชย์

แต่อย่างไรก็ตาม เหรียญย่อมมี 2 ด้านเสมอ เพราะภายใต้ “ความสะดวกสบาย” ของการแตะ กด รูด ใช้จ่ายเงินผ่านระบบบัตรเงินอิเล็กทรอนิกส์ การใช้ Any ID หรือ แอพพลิเคชั่นกระเป๋าสตางค์ดิจิตอล รวมไปถึง Fintech ก็เป็นช่องทางให้ “ภัยทางการเงิน” ก็คืบคลานเข้ามาใกล้ตัวด้วยเช่นกัน

ไม่ว่าจะเป็นภัยจากการเจาะระบบฐานข้อมูลการเงิน เช่น ฐานข้อมูล Any ID ระบบคอมพิวเตอร์ภาครัฐ และข้อมูลส่วนบุคคล ขณะที่การหลอกลวงทางการเงินใหม่ๆ ที่มาทั้งจากการหลอกลวง ฉ้อโกงโดยตรง และการใช้โลกออนไลน์เป็นสื่อ “มิจฉาชีพ” ยังคงหมุนเวียนเปลี่ยนหน้ามาหาประโยชน์จากพวกเราอย่างต่อเนื่อง

แต่ถ้าเรามัวแต่กลัว ไม่รับความทันสมัย และไม่เริ่มในวันนี้ ประเทศไทยจะล้าหลังโลกไปเรื่อยๆ ดังนั้น จากนี้จึงเป็นเวลาที่คนไทยต้องเปิดใจเรียนรู้นวัตกรรมการเงินใหม่ๆ ก้าวไปสู่ระบบเงินอิเล็กทรอนิกส์เพื่อให้เราใช้ และประโยชน์ ความสะดวกสบายจาก “โลกการเงินยุคใหม่” แต่ไม่กลายเป็นเหยื่อ หรือเสียเปรียบใครโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์.

ทีมเศรษฐกิจ

Leave a comment